กฎหมายป้องกันการผูกขาดตปท - พรบ.ป้องกันผูกขาดที่เป็น"เสือ"กระดาษ
กฎหมายไทยมีพรบ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 ที่ปรับปรุงมาจากกฎหมาย 2552 แต่กฎหมายดังกล่าวนั้น
ไม่เคยนำมาใช้อย่างจริงๆจังๆ กว่าจะนำมาใช้ก็ทำให้กลุ่มนายทุนครองควบคุมต้นน้ำ -กลางน้ำ-ปลายน้ำ ทั้งหมด
สร้างอาณาจักรความร่ำรวยอย่างมากมายมหาศาล สร้างมาตรฐานของความเหลื่อมล้ำครั้งแล้วครั้งเล่า อะไรที่ทำให้นายทุนยักษ์ใหญ่สามารถทำได้ มีเหตุผลอยู่ประการใหญ่ คือ
ภาคการเมืองมิได้นำกฎหมายมาใช้อย่างจริงจัง ทั้งยังส่งเสริมให้กลุ่มนายทุนมีอำนาจมากมากขึ้น ผ่านการแทรกแซงทางเศรษฐกิจและตลาด เครื่องมือสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตคือ การใช้กฎหมายส่งเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ขจัดคู่แข่งทางการค้า วิวัฒนาการนับตั้งแต่การเมืองพฤษภาทมิฬ กลุ่มนายทุนเริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ผ่านการเข้ามาเล่นทางการเมือง หรือส่งบุคลากรลงเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ อาทิเช่นการใช้อำนาจเงินซื้อนักการเมือง เมื่อสามารถกุมอำนาจกำหนดทิศทางผ่านเชิงนโยบายและกฎหมายของรัฐ ก็ง่ายต่อการดำเนินการต่อไป ในขณะที่ต่างประเทศได้มีออกกฎหมายเพื่อป้องกันการผูกขาดเหมือนเช่นของไทย แต่สิ่งที่แตกต่างกัน "การเอาไปปฏิบัติอย่างจริงจัง" ไม่ใช่ทำให้กฎหมายนั้น เป็นเพียงแค่ " เสือกระดาษ" เท่านั้น
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่างประเทศอเมริกา ที่ออกกฎหมายAntitrust Laws โดยกฎหมายดังกล่าวได้ให้ความสำคัญในการป้องกันผูกขาดของกลุ่มนายทุน ประกอบด้วย3หลักเกณฑ์ 1.Sherman Act of 1890 2. พระราชบัญญัติเคลย์ตันปี ค.ศ.1914 3. พระราชบัญญัติคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางปี ค.ศ.1914
สามกฎหมาย ได้ใช้รูปแบบครอบคลุมดังนี้
1.การใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ (Abuse of Dominance)
2.การควบรวมธุรกิจ (Merger)
3.การตกลงร่วมกันเพื่อลดการแข่งขัน (Collusive Practice)
4.การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practice) และ
5. พฤติกรรมอื่นๆ ที่มีบทบัญญัติเฉพาะแยกออกไป
เหตุการณ์ที่มีการใช้กฎหมายจัดการผูกขาดของอเมริกาที่เป็นข่าวโด่งดังทั่วโลกคือ
1.เคส ‘Standard Oil’ บริษัทน้ำมันของอภิมหาเศรษฐี John D. Rockefeller ซึ่งใหญ่มากจนผูกขาดตลาดของอเมริกาได้แบบสมบูรณ์ สุดท้ายศาลตัดสินให้ ‘แตกบริษัท’ ออกมา 34 บริษัทในปี ค.ศ.1911 ภายใต้ชื่อที่คุ้นเคยอย่างเช่น Exxon, Chevron
2.เคส ‘AT&T’ บริษัทให้บริการเครือข่าย ที่ถูกศาลตัดสินว่าผูกขาดเช่นกัน ทำให้สุดท้ายต้องแตกเป็น 7 บริษัทในปี ค.ศ.1974
ใขณะที่ยุโรปประเทศที่พัฒนาแล้วก็ให้ความสำคัญกับป้องกันผูกขาด ช่วยให้ธุรกิจรายเล็กสามารถอยู่รอดได้
อาทิเช่น
-ปี ค.ศ.2009 ‘Intel’ โดนปรับ 1,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ฐานผูกขาดตลาดชิปคอมพิวเตอร์ เพราะใช้ส่วนลดพิเศษ
-สั่งปรับ ‘Google’ ในปี ค.ศ.2018 ที่ 2.42 พันล้านยูโร หรือราว 9.5 หมื่นล้านบาท ฐานฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการผูกขาด เพราะ Google Shopping เสนอข้อมูลสินค้าที่จ่ายเงินให้กูเกิลอยู่บนสุดทุกครั้งในหน้าค้นหา เวลาผู้บริโภคค้นหาข้อมูลที่ตนต้องการ
ในขณะที่เอเชียอย่างจีนก็จะมีเรื่องราวรัฐบาลจีนจัดการปรับ ‘Alibaba’ ของจีน ที่มีมูลค่ากว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ เพราะอาลีบาบากีดกันไม่ให้คนขายไปขายของกับแพลตฟอร์มอื่น ด้วยการผูกให้ใช้แต่ช่องทางการชำระเงินตัวเอง ถือว่าเป็นเคสสำคัญ และเป็นบรรทัดฐานของประเด็นการผูกขาดในจีน ที่กฎหมายเพิ่งออกมาครบ 10 ปี ในขณะที่สิงคโปร์ก็จัดนายทุนเคสของการควบรวม ‘Grab X Uber’ นั้น ถูกคำสั่งตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 13 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยให้เหตุผลว่า การควบรวมทำลายระบบตลาดอันเป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในเรื่องค่าโดยสารที่สูงขึ้น และการเอาเปรียบเรื่องรายได้หรือค่าคอมมิชชั่นของคนขับรถรับจ้าง เนื่องจากในเวลานั้น Grab ก็ครองตลาดสิงคโปร์ไปราว 80% แล้ว ทำให้ไม่มีคู่แข่งอื่นมีโอกาสต่อสู้ได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดหากเอามาลองเทียบกับประเทศไทยนั้นแล้ว เราจะเห็นกฎหมายบางประเทศนั้นใหม่กว่าของเราแน่นอน แต่ประเด็นสำคัญคือไม่ได้อยู่การออกกฎหมายนั้นช้าหรือเร็ว แต่อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายเสียมากกว่า การปล่อยปละละเลยคือความผิดพลาดที่ทำให้การสร้างความเติบโตของการผูกขาดจนมันยากแก่การแก้ไข ทำได้เพียงประคับประคองไม่ให้เกิดการผูกขาดมากกว่านี้ การผูกขาดทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับล่าง-ระดับปานกลาง รวมไปถึงการสร้างค่านิยม พฤติกรรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มองสิ่งไม่ปกติ ให้เป็นเรื่องปกติ ความน่ากลัวในอนาคตไม่ใช่การกินรวบแค่ต้นน้ำ-กลาง-ปลายน้ำ แต่จะเป็นผูกขาดไปจนถึงระดับ "ตาน้ำ" เลยทีเดียว
ข้อมูลเคสเหตุการณ์จากThe matter