ตามหัวมู้ เน้นขายแบต(กรณีเทียบเคียงกับหมึกปริ๊นเตอร์)ครับ

ถ้าเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง รถไฟฟ้าจะเหมือน โน้ตบุ๊กหรือสมาร์ทโฟน มากกว่าสำหรับผมเก่าไปใหม่มา ตอนแรก ๆ รถไฟฟ้า (เหมือนสมาร์ทโฟนยุคแรก) มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เช่น ความจุแบตเพิ่มขึ้นเร็ว มอเตอร์แรงขึ้น เทคโนโลยีชาร์จเร็ว ฯลฯ

สรุปว่า รถไฟฟ้าก็เหมือนโน้ตบุ๊ก/สมาร์ทโฟน มากกว่า เพราะมันมีรอบการพัฒนา เทคโนโลยีเก่าตกรุ่น และพอถึงจุดหนึ่งก็แทบไม่มีอะไรให้พัฒนาเพิ่มแล้วนอกจากการจูนเล็ก ๆ น้อย ๆ

มันไปทางซื้อใหม่เลยมากกว่าครับ เพราะมันหักลบกับค่าน้ำมันอีกทีด้วย
ทำให้ซื้อใหม่ยังไงก็คุ้ม แม้มือสองจจะราคาตก

แบตเสื่อมเทียบกับกิโลเมตรที่วิ่งถือว่าน้อยมาก

กว่าแบตจะเสื่อมหมด จนขับไม่ได้ ไม่รู้อีกกี่ปี

กว่าแบตจะเสื่อมก็น่าจะหลายปี

แต่กลัวว่าถ้าแบตเสื่มแล้วมันจะเป็นเหมือนไอโฟนไหม แบตเหลือ40-50% เครื่องดับ ถ้ารถเป็นนี่ดับกลางทางซวยเลย

ไม่เหมือนหรอกครับ

แต่ผมคิดว่าเทคโนโลยีมันยังพัฒนาได้อีกเยอะ รุ่นใหม่ๆที่ออกมามันจะก้าวกระโดดกว่ารถน้ำมัน ที่พัฒนาจนถึงจุดที่แทบจะตันแล้ว รุ่นเก่าๆมันก็เลยตกเร็ว

ความคิดผม รถไฟฟ้ายังไงก็คุ้มกว่า ตั้งแต่ Gen แรกๆ อย่าง GWM หรือ ATTO3 ผมว่าสัดส่วนที่มีปัญหามันน้อยมากกกนะครับ และอีกอย่างรถน้ำมันใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ใช้งานพอใกล้ๆแสนโลก็เริ่มจุกจิกๆล่ะ

มันเหมือนมือถือ หรือ โน๊ตบุ๊คมากกว่า อะ มีแบตเหมือนกัน มีการเสื่อมเหมือนกัน ขายได้ราคาบ้างไม่ได้บ้าง ซื้อใหม่มากกว่าซ่อม
นอกเรื่อง
จุดคุ้มทุน มันจะต้อง
เอาระยะทางการใช้ x อัตราการใช้พลังงาน = บาทต่อกิโลเมตร
+ ราคาขายต่อ + ค่าซ่อมบำรุง + ค่าซื้อ เอามาเทียบรถน้ำมัน + ค่าติดตั้งที่ชาร์จ(ถ้าชาร์จบ้าน)
อันนี้ไม่คิดถึงว่าต้องจอดรอนานกว่า ต้องเสียเวลาแพลน(ข้อดีทำให้เป็นคนรู้จักแพลนชีวิตมากขึ้น ข้อเสียคือเสียเวลาพักผ่อนไปแพลนหาปั๊มในแต่ละทริป) ไม่คิดเรื่องการรออะไหล่ หรือ คุณภาพงานบริการหลังการขาย
แล้วมาหักลบเอาเองว่าตัวเองจะใช้คุ้มไหม หรือจะอยู่กับน้ำมันต่อไปส่วนผมไม่มีบ้านให้ชาร์จไฟบ้าน จึงยังไม่คุ้มกับการจะใช้รถไฟฟ้า รวมถึงได้บิลน้ำมัน เดือนละ 60 ลิตร แต่ถ้าไม่มีใบเสร็จก็ต้องไปขอๆ เขาเอา มันยังไม่ใช้ไม่คุ้ม และยังมีปัญญาจ่ายอยู่ เมื่อเทียบกับความไม่คุ้ม จึงยังน้ำมันต่อไป เพราะเป็นคนมีเวลากับแฟนน้อย เพราะอยู่ไกลกันด้วย ไว้มีบ้านแล้วอยู่กับแฟนค่อยมารื้อแพลนซื้อไฟฟ้าใหม่
สุดท้ายก็คือ คิดความคุ้มค่าให้ครบ ก่อนจะซื้ออะไร คนทุกคนไม่จำเป็นจะต้องซื้อของเหมือนกัน เพราะต่างคนต่างมีเหตุผล ไม่มีผิดถูก

ไม่เหมือนเลยสักอย่าง มันก็เหมือนรถสันดาบทั่วไปนี่แหละ

แบตเสื่อม เป็นแสนโลยังไม่ถึง 10% จะเปลี่ยนแบตทำไม การสึกหรอของวัสดุก็น้อยมากเพราะไม่มีความร้อนจากเครื่องยนตร์ มอเตอร์ลูกนึงทนวิ่งได้เป็น 2-3 แสนโลอย่างต่ำ (warranty 8ปี 200k) พวกรถสันดาบวารันตีกันแสนโลเอง 3 ปี ด้วย

มันคือสันดาบที่ทนกว่านั่นแหละ

คุณภาพแบตฯ กับ ประเภทแบตฯ แตกต่างกันสุดๆ แล้วตอนนี้งานวิจัยออกมาแล้วด้วยว่า อายุแบตฯ รถไฟฟ้า จะมากกว่าการทดสอบของบริษัทมากกว่า 40% เลยทีเดียว จาก 10 ปี น่าจะไปถึง 14-15 ปี ขั้นต่ำได้เลย สำหรับการขับแบบใช้งานทั่วๆไป

ลองไปดูรถน้ำมันเดี๋ยวนี้นะครับ

มันบังคับเข้าศูนย์เลย
ต้องเข้าไปรีเซ็ตระยะการเข้าศูนย์ใหม่
และระยะเวลาการเข้าศูนย์ เดี๋ยวนี้สั้นลงและถี่ลงกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง honda เมื่อก่อนเข้าศูนย์ที่ 10,000 ถึง 15,000 กิโล
เดี๋ยวนี้บังคับที่ 5,000 ถึง 7,500 โล

มันมีค่าใช้จ่ายแฝงขึ้นเยอะมาก

อย่าไปคิดแต่เรื่องแบตของรถไฟฟ้าอย่างเดียว
รถน้ำมันมันก็มีค่าใช้จ่ายตรงนี้

และในอนาคตอันใกล้ รถน้ำมันเพียวๆ 100% จะไม่มีขายแล้ว
จะเหลือแต่รถไฮบริด
คุณจะหลีกหนีเรื่องค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่ตรงนี้ไม่ได้เลย
เมื่อถึงเวลานั้น รถน้ำมันก็มีค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่เหมือนกัน