[RE: การบริการหลังการขายของรถยนต์ นี่เป็นภาระหรือกำไรของศูนย์]
ถ้าหมายถึง warranty มันอยู่ในราคารถอยู่แล้วหนิ
แต่ถ้าหมายถึงการกินระยะยาวจากการเข้า service อะไรพวกนี้ก็แล้วแต่ค่าย
Toyota มันรู้ว่าอุปกรณ์มันทนทานและกินค่าอะไหล่ยากก็ไปหาเอาจากราคารถแต่แรก
Honda ก็คล้ายกันแต่อีเจ้านี้ราคาอะไหล่ก็แพง ราคารถก็แพง แดกสองทาง จีเนียส
Nissan อะตัวเก่งเลย ตั้งแต่ยุคกอห์นแล้ว ช่วงลดต้นทุนหนักๆเพราะบริษัทขาดทุน กลายเป็นว่าอะไหล่ทุกชิ้นเปราะบางหมด ยี่ห้ออื่นเขาใช้ได้ 5 ปี ของนิสสันงี้อาจจะแค่ 2-3 ปีต้องเข้าไปเปลี่ยนแล้ว ก็คือราคาอะไหล่(อาจจะ)ไม่ได้แพงบ้านแตก แต่กินบ่อยๆกินยาวๆ
มิตซูกับซูบี้ไม่มีข้อมูล
ส่วนรถจีนเขาไม่ได้สนใจตรงนี้อยู่แล้ว รถ EV "เล่าลือ" กันว่าไม่ต้องเข้าศูนย์อะไรสักหน่อย
เขาก็เลยตัดโครมทิ้งส่วนบริการหลังการขาย แล้วประเทศมันได้เรื่อง Economy of scale อยู่แล้ว (ผลิตเยอะยิ่งถูก)
สมมติตั้งว่าคันนึงเอากำไร 50k บาทงี้ สมมติตีหยาบๆว่าต้นทุนรถ 500k บาทนะ (สมมตินะสมมติ)
ค่ายญปมันต้องโปะเรื่องบริการหลังการขาย ค่าอะไหล่ ค่าเช่าโกดังเก็บอะไหล่ ค่าโลจิสติกในการขนอะไหล่มาลงศูนย์ ฯลฯ
ราคาไหลไปอาจจะ 650k-700k
กลับกันค่ายจีนมันอาจจะลดต้นทุน 500k ลงไปได้อีกด้วย EoS กดไปเหลือ 400-450k ก็ได้
ค่าใช้จ่ายน้อยลงไปอีกเพราะไม่มีบริการหลังการขาย (หรือแทบเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้)
ไอโกดังที่ชอบพาสื่อไปถ่ายรูป กินข้าวเลี้ยงข้าวฟรี บลาๆที่เวลามีรถจีนมีปัญหาใหญ่ๆทีนึงก็เชิญสื่อไปทีนึงงี้
อาจจะทำให้รถราคารวมเหลือแค่ 550k ก็ได้
ไม่ได้แย้งว่ารถญปไม่เอาเปรียบ เพราะออปชั่นบางทีมุงก็ตัดซะแบบสื่อยังมองหน้าเลยก็มี (หรือบางทีหัวหน้าระดับปฏิบัติงานก็มองหน้าผู้บริหารหลังจากอ่านสเปคก็มี) แต่เหตุผลที่รถจีนมันถูกกว่าเนี่ยเขาก็พูดกันมาหลายปีแล้ว เพียงแต่มันก็คนส่วนน้อยที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร บางคนก็ไม่แคร์เท่าไหร่ด้วยซ้ำ
ก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อมือถืออะ ผมเองก็ซื้อมือถือจีนแทนที่จะเป็นเกาหลีหรือโซนี่ เหตุผลง่ายๆคือผมรับได้เรื่องไม่มีบริการหลังการขาย (ไม่นับอัพเดทอะไรนี่นะ) ถ้าแบตเสื่อมก็แกะเปลี่ยนเองได้ หรือไม่ก็ยอมจ่ายของศูนย์เอา (แพงหน่อยแต่อุ่นใจกว่า) เพียงแต่หลายคนมันไม่เก็ทก็คิดว่ามือถือเกาหลีหรือโซนี่เอาเปรียบงี้ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะไม่ใช่ทุกคนจะหาข้อมูลเชิงลึกขนาดนั้นกัน