ซื้อกองทุน เพื่อลดหย่อนภาษี มันคุ้มไหมครับ ระยะยาว

คือเห็นคนซื้อกองทุนรวม เพื่อลดหย่อนภาษี ระยะยาว 5-10 ปีงี้สุดท้ายมาท้ายๆกองทุน -20% งี้

แสดงว่าแบบนี้จะซื้อกองทุนไปทำไมกัน หรือมันก็แค่ตามคำเตือนที่รู้ๆกัน ว่าการลงทุนมีความเสี่ยงแค่นั้น

ที่ถามคือผมคิดแค่ว่า อยากลดหย่อนภาษี แต่ก็เหลือแต่กองทุน ที่จะให้ลง ถ้าลงไปเยอะๆมันระยะยาวมันแย่ แบบนี้สู้ยอมเสียภาษีไป แล้วเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น จะดีกว่าไหม เช่น ทองคำ

หรือจริงๆแล้ว กองทุนรวมมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เลือกกองทุน อิง ต่างประเทศ จะดีกว่า ที่เห็นลบๆกันเป็นเพราะส่วนใหญ่คือ กองทุนไทย?

ผมเข้าใจถูกไหม มีความเห็นยังไงกันบ้างครับ รบกวนชี้แนะ หรือให้แนวคิดทีครับ

ขอบคุณครับ

กองทุนมันมีลงทุนหลายอย่าครับ เช่น

- หุ้นไทย
- หุ้นนอก
- ทอง
- พันธบัตร ตราสาน
- หรือรายการข้างบนผสมกันเช่น หุ้น50% ตราสาน50%


ถ้าคิดว่าหุ้นไทยไม่รอดก็หากองที่ลงหุ้นนอนก

ถ้าไม่อยากเครียดตอนเห็นตัวเลขวิ่งขึ้นลงก็ซื้อกองที่ลงแต่ตราสาน (หุ้นกู พันธบัตร) ซึ่งผลตอบแทนระยะยาวมีแนวโน้มใกล้เคียงเงินฝาก แต่น้อยกว่ากองที่ลงหุ้นด้วย

หรือถ้าเราชื่อมั่นในทอง ก็ซื้อกองที่ลงทอง

หรือซื้อทุกอย่สงผสมกันก็ได้

ซื้อกองหุ้นนอกดีกว่า

คุ้มไหม ขึ้นกับอัตราภาษีเงินได้ ของคุณ
ถ้าภาษีเงินได้ของท่าน อยู่ที่อัตรา15% การซื้อกองทุนตราสารทุน(หุ้น) ที่มีความเสี่ยง20%ก็ไม่คุ้ม
ถ้าภาษีเงินได้ของท่าน อยู่ที่อัตรา30% การซื้อกองทุนตราสารทุน(หุ้น) ที่มีความเสี่ยง20%ก็น่าจะคุ้ม

ความจริงอีกอย่างคือ กองทุนขนาดใหญ่ทั้งหลายที่ลงทุนในตลาดหุ้น จะมีผลตอบแทนแทบไม่ต่างจากตลาด
ดังนั้น
ตลาดหุ้นพัง กองทุนหุ้นก็ไม่เหลือ
ขนาด ดร.นิเวศ แกยังซื้อกองทุนltf มาตั้งแต่เริ่ม เพื่อลดภาษี
แต่ว่า ปีนี้ แกขายทิ้งหมดเลย นะจ๊ะ แฮ่แฮ่

อยู่ที่ฐานภาษี + การลงทุนของท่านเลยครับ

ส่วนตัวผมฐาน 30% ยังรู้สึกว่าลงทุนเองคุ้มกว่า

คิดแบบง่ายๆว่าถ้ากองทุนไม่ขาดทุน ก็ต้องลงทุนให้ได้ 6%

แต่ถ้ากองขาดทุนก็ยิ่งน้อยลงไปอีก

อีกอย่างมันลดเสียโอกาสเวลาเห็นแหล่งลงทุนดีๆเพราะมันดึงออกมาแล้วเสียภาษี

ที่ลบๆ กันเพราะหุ้นไทยครับ LTF ไปซื้อตอนดัชนีมันสูงๆ พอมาปีนี้ที่คนขายกันได้หมด มันดันต่ำเตี้ย ขาดทุนกันระนาว ผมลบอยู่ 35%

ุ้หุ้นนอกก็ใช่ว่าจะรอดนะครับ SSF ผมมีซื้อจีน กับเมกาไว้ แต่ไปซื้อตรงดอย ตูมเดียวทั้งก้อน ไม่ยอม DCA ถัวเฉลี่ย ตอนนี้ยังดอยอยู่ ยังดีได้เวียดนามมาถัวไป เหลือ - 9% ตอนซื้อเขาว่าระยะยาวยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ผมชักไม่แน่ใจ

รวมๆแล้ว ลบประมาณแสนนึง 555 แต่ผมขอคืนภาษีได้มาเกินแสนละ ที่เหลือรอลุ้นเอาว่าตอนขายได้ มันจะขาดทุนน้อยลงไหม ไม่หวังกำไรละ ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีประโยชน์ สู้เอามาลงทุนอย่างอื่นดีกว่า เผื่อกำไรจะได้ cover ที่เสียไป

สองปีหลัง ผมเลยเข็ดแล้ว โยกไปกองตราสารหนี้หมด กับซื้อ Thai ESG เห็นพอร์ทแล้วสบายใจ ถึงจะบวกแค่ 2% หมื่นกว่าบาท

ถ้าฐานภาษีสูงๆ ผมว่าคุ้มครับ เพียงแต่ต้องหัดดูจังหวะลงทุน หรือว่าคุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ส่วนตัวผมคิดว่าต่อไปนี้ผมจะซื้อตัวที่เสี่ยงน้อย เอาผลตอบแทนแค่ชนะเงินเฟ้อพอ แต่ได้คืนภาษีมา ถ้าอยากได้ผลตอบแทนแบบ 5% บวก ผมไปลงทุนเลือกหุ้น หรือสินทรัพย์รายตัวดีกว่า แค่ต้องศึกษาเยอะหน่อย

มันเคยมีคนกดๆ ออกมา ถ้าลดหย่อนภาษีเรต 20-25% ถึงจะคุ้มกับค่าธรรมเนียมในไทย

ก็ลองๆ คิดดูเอาเองว่าจริง/ไม่จริง

ลดหย่อนภาษีมันมีตั้งเยอะแยะ

- ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ได้ 100,000 บาท
- ประกันบำนาญ รวมประกันชีวิตแล้ว ได้ทั้งหมดไม่เกิน 300,000 บาท

กองทุนมีสารพัด LTF / RMF / ThaiESG / SFF
ตอนนี้เหมือนจะเหลืออยู่แค่ RMF กับ Thai ESG
ซึ่งทั้งคู่มีกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โอกาสขาดทุนแทบไม่มี (มันมีแหละแต่น้อยมาก)
เช่นกองทุนที่ลงใน ตราสารหนี้ พันธบัตร ทอง

เท่านั้นยังไม่พอ กองทุนลดหย่อนภาษี คือบังคับห้ามขาย ก่อนกำหนด
แต่มันสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างทางได้ เช่นช่วงนี้หุ้นตกก็โยกไปลงในกองตราสารหนี้
พอหุ้นขึ้นก็สลับกลับไปกองหุ้นได้

เขามีคำเตือนอยู่เสมอ
แสดงว่าไม่อ่านเลย
ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดก่อนลงทุน

ถามว่าต้องอ่านอะไรบ้าง ?
1.ข้อมูลของกรมสรรพสามิตรปีนั้นๆ มีกฎเกณฑ์ลดหย่อนภาษีอะไรบ้าง
2.อ่านหนังสือชี้ชวนของกองทุนนั้นๆ
3.อ่านเอกสารข้อมูลเต็มของกองทุนนั้นๆ
3.1 ข้อมูลเต็มที่ต้องอ่านก็มี ระดับความเสี่ยง
3.2 กองทุนนั้นลงทุนสินทรัพย์ประเภทไหน เช่นตราสารหนี้กี่ % ลงหุ้นไทยกี่ % ลงหุ้นนอกกี่ % (สัดส่วนการลงทุน)
3.3 ในรายละเอียดจาก 3.2 มีการลงทุนย่อยๆอีกกี่ % เช่น ลงตราสารหนี้อะไรบ้าง เช่น หุ้นกู้บริษัท A, B, C
3.4 ต้องไปหาข้อมูลต่อว่ารายละเอียดย่อยๆนั้น น่าลงทุนไหม มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน เช่น เขาบอกว่ามีการลงทุนในหุ้นไทย โดยมีอัตราส่วนลงทุนหุ้น CPALL 30% เราก็ต้องไปค้นหาว่า CPALL ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นยังไง บริษัทดำเนินธุรกิจอะไร มีความเสี่ยงแค่ไหนที่เราจะลงทุนหุ้นตัวนี้
3.5 การคาดการผลตอบแทนกี่ %
3.6 ผลตอบแทนของกองทุน หรือราคาย้อนหลัง หรือผลดำเนินการของกองทุนนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งมีข้อมูลย้อนหลังเยอะยิ่งดี ถ้าเป็นไปได้ ควรดูย้อนหลัง 5 ปี เพื่อดูแนวโน้มที่เราจะลงทุนโดยพิจารณาจากการดำเนินการของกองทุนในอดีต
3.7 ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายกองทุน และระยะเวลาสัลเปลี่ยนใช้เวลากี่วัน เช่น T+2
4. ควรเปรียบเทียบกองทุนจากหลายๆกองทุนและจากหลายๆ บลจ ก่อนซื้อ ไม่ใช่เชื่อจากนายหน้าธนาคารแล้วซื้อเลย

ให้มองว่ามันคือการลงทุนชนิดนึง ลดหย่อนภาษีเป็นผลพลอยได้ ถ้าเจอกองทุนที่ถูกใจแล้วมี Class ลดหย่อนภาษีด้วยก็ซื้อเลย

อนาคตจะบวกจะลบมันก็คือกองทุนที่ถูกใจเรา กองทุนที่เราเลือกจะลงทุนเอง

แต่ถ้าไม่มีกองทุนที่ถูกใจ แต่ต้องเลือกซักกองเพื่อลดหย่อนภาษี แบบนี้ก็ต้องเอาฐานภาษีมาพิจารณาด้วย

สมมุติฐาน 20% ซื้อ ThaiESG ไป 100k ได้ภาษีคืนมา 20k สมมุติผ่านไป 5 ปี NAV มันอยู่ที่เดิม มูลค่ายัง 100k เหมือนเดิม แต่เราได้ภาษีคืนมาแล้ว 20k ก็เหมือนลงทุนได้ผลตอบแทนปีละเกือบๆ 4%

ฐานภาษีมากน้อยกว่านี้ก็คำนวณเอา

สมมุติเอาไปลงทุนเอง ผ่านไป 5 ปี จาก 100k อาจจะกลายเป็น 115k ผลตอบแทนดีกว่ากอง ThaiESG แต่พอเทียบภาพรวมกันแล้วแพ้ก็ได้ หรือเอาไปลงทุนเอง 5 ปี อาจจะกลายเป็น 400k ก็ได้

สรุปแล้วคุ้มไม่คุ้ม ขึ้นอยู่กับฐานภาษี ความรู้ความสามารถด้านการลงทุน จังหวะ และดวงด้วยนิดหน่อย

มันมีหลายกองนิ ลบๆนั้นหุ้นไทยป่าว

คำถามคือ ไม่ซื้อแล้วจะลงทุนอะไร

ทอง 5 ปีหลังขึ้นมาจริง แต่เข้าตอนนี้มั่นใจหรอว่าจะขึ้นอีก

ประกันสะสมทรัพย์ ลองคิดเงินเฝ้อดูผมว่าขาดทุนหนักกว่า

อสังหา ทุนสูง liquidity ต่ำ

ที่ดิน ซื้อมาไม่ทำอะไรเสียภาษียับๆอีก

สรุปผมว่ามันต้องเฉลี่ยๆไปกระจายความเสี่ยง

ปล. กองtech SSF ผม +80%นะ กองจีนก็+ เวียตนามก็+ แต่กองไทยก็แตก


้