ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Mar 2020
ตอบ: 7019
ที่อยู่: บ้าน
โพสเมื่อ: Tue Mar 04, 2025 10:45
[RE: ทำไมถึงบอกได้เงินเท่าไหร่ ก็ไม่พอ]
ผมว่ามันมองได้หลายมิตินะครับ
1. อย่างแรกเลย รายได้เพิ่มขึ้น "ส่วนใหญ่"มันมาพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น พออายุเพิ่มขึ้น ภาระหลายๆอย่างมันก็มากขึ้นครับ เช่นแม่ผมก็แก่ไปทุกวัน ค่าประกันสุขภาพมันก็เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก่อนตรวจสุขภาพปีละครั้งก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นทุก 6 เดือน กระทั่งประกันตัวเองก็ขึ้นทุกปี... เรื่องพวกนี้ไลฟ์สไตล์เราไม่เคยเปลี่ยน แต่ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มด้วยตัวมันเอง
2. ต่อมาพอรายได้มันเพิ่ม มันก็มาพร้อมตำแหน่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศ) หรือเป็นเจ้าของกิจการที่ทีมก็ต้องใหญ่ขึ้น ภาษีสังคมมันก็เพิ่มขึ้นเช่น งานแต่ง งานศพ ฯลฯ เรื่องพวกนี้คุณหนีไม่พ้นอยู่แล้ว จะมาใส่ 100-200 ตอนเป็นพนักงานตัวเล็กๆมันก็ไม่ได้ เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าใหญ่หรืออะไร แต่เรามีมากกว่า เราก็ควรจะช่วยเหลือให้เหมาะสมด้วยเหมือนกัน
3. คุณภาพชีวิตก็เช่นกัน ตอนผมรายได้ห้าหมื่นกว่า ผมก็อยู่บ้านหลังละสามล้านในหมู่บ้านแบบเกือบๆห้าร้อยหลัง คุณภาพสังคมมันก็ไม่ได้ดี จอดรถหน้าบ้าน หมาแมววิ่งกันมั่วซั่วไปหมด เราเองก็อยากจะหนีจากตรงนั้น ซึ่งนั่นก็มี"ราคา"ที่ต้องจ่ายของมัน หรือกระทั่งรถยนต์ ถ้าคุณเคยใช้รถญีปุ่นช่วงล่างแบบขับแล้วเด้งๆ มาเป็นรถยุโรปที่นั่งแล้วสบายกว่า พวกนี้ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์เลยนะ มันคือคุณภาพชีวิตชัดๆ
4. เงินลงทุนก็มากขึ้น ผมเก็บเงินมากกว่าเดิม เพราะก่อนหน้านี้ตอนเราเงินไม่พอ เราก็เก็บน้อยไง แบบแต่ก่อนอาจจะเก็บแค่ 15% ตอนนี้ก็เขยิบมาเก็บ 20% เพื่อชดเชยตอนเด็กกว่านี้ที่เรายังหาเงินได้ไม่มากพอ
อย่างผม ผมกินอะไรแทบไม่ต่างจากเดิมเลย กินข้างทางเหมือนเดิม กินห้าง กินร้านหรูในปริมาณพอๆกับเดิม แต่งตัวเหมือนเดิม accessories ก็พอกับเดิม ตั้งแต่ตอนเงินเดือนแสนนิดๆจนมาถึงตอนนี้ ผมก็ใช้เงินในชีวิตประจำวันประมาณเดือนละ 30k เท่าเดิม lifestyle inflation มีผลต่อจากใช้เงินผมน้อยมากถ้าเทียบกับข้อ 1-3 ด้านบน
ฉะนั้น ผมว่าแต่ละคนมีมุมมองต่อเรื่องนี้ต่างกันครับ
"Your energy introduces you before you even speak."
"Be the same person privately, publicly, personally."
"Science explain people, but could not understand them."
“Keep a little fire burning, however small, however hidden.”
"Nullum magnum ingenium sine mixtura dementiæ fuit”