ฟังคนรวยๆ ผู้บริหาร สัมภาษณ์ต่างพูดว่าไม่เห็นด้วยกับ Work Life Balance และมองว่า Work Hardดีกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ

มันก็พูดยากจริงๆนะครับ

เอาใกล้ๆตัว ศิลปินพี่ปูก็ได้ ถ้าแกหยุดคนเดียวผมว่าเหลือสบายๆ

แต่ก็ยังทำงานเกือบทุกวัน ยิ่งสูงขึ้นภาระก็มากขึ้น
คนรอบข้างมากขึ้น คนที่หวังกับเราก็มากขึ้น

ผมทำงานหนัก แต่ก็ชอบออกเที่ยวธรรมชาติ
แต่ธรรมชาติของผม ติดต่อได้ตลอด อย่างน้อยสัญญาณมือถือ
ก็ต้องมี เรื่องด่วนๆเราตัดสินใจให้ได้

ตอนนี้ จะ 40 แล้ว ทำงานเกือบทุกวันเลยครับ
แค่แบ่งเวลาเก่งขึ้น และใช้คนทำงานแทนเราเก่งขึ้นกว่าเดิม
มากกว่าฮะ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าทำงานหนักภาพในหัวแต่ละคนต่างกัน และคำว่าประสบความสำเร็จภาพในหัวแต่ละคนก็ต่างกันเช่นกัน

ถ้าคำว่าความสำเร็จ = การก้าวไปถึงระดับ C-level , การเป็นเจ้าของกิจการยอดขายพันล้าน ,พาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ มันคงจะมาชิว Work life balance เข้างาน 9 โมงเช้าเลิกงาน 6 โมงเย็น ออฟไลน์ทันทีหลังเลิกงานไม่ได้แน่ คู่แข่งในตลาดพร้องแซงเสมอ ถ้าใครทำได้คุณโชคดีเหมือนถูกหวยแหละ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้

แต่ถ้าคำว่าประสบความสำเร็จคือ การที่ไม่ต้องเครียด ใช้ชีวิตเรียบง่ายได้ ไม่ต้องอยู่ในสังคมระดับสูงก็มีความสุข แบบนี้ผมว่า work life balance สำคัญ

อันนี้ความเห็นผมเฉยๆ นะ

เจ้านายเก่าผมทำงานในฝันอ่ะ

เอาจริงๆ ส่วนใหญ๋ถ้าเราอยากมีเงินเป็น100ล้านอ่ะ worklifebalanceมันไม่ได้ไง
ทำงานแค่8ชั่วโมงมันไม่พอ แต่สุดท้ายการทำงานหนักอย่างเดียวมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสำเร็จ
มันมีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย

ก็เค้ารวยเพราะเค้าทำงานหนักยังไงล่ะ

ยกเว้นไม่อยากรวย ก็ไม่ต้องทำตามที่เค้าบอก

ก็เวิคไลฟ์บาล้านไป ไม่มีใครว่าอะไร ความสุขหรือเป้าหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เพราะผู้บริหารองค์กร กำกับบริษัทแข่งกับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหารายได้จะมามัว work life balance มีหวังไม่มีจุดยืนในตลาดการแข่งขัน

องค์กรอยากรีดเวลาทำงานจากคุณในเมื่อเขาเหมาจ่ายรายเดือนไปแล้วเป็นเหตุผลลึกๆของทุกองค์กร

แต่ถ้าองค์กรจ่ายคุณเป็นรายชั่วโมง เขาคงไม่แคร์พนักงานคนที่อยากทำงานชั่วโมงน้อยๆหรอก สุดท้ายองค์กรจะหาคนที่พร้อมทำงานหลายชั่วโมงมาแทนที่

เค้าสอนให้เราทำงานให้เค้าฮะ แต่ถ้าเรามีโอกาสเลือกทางเราเอง w l b สำคัญมาก เราจะได้ใช้ชีวิตให้คุ้มและมีความสุขกับที่เกิดมากทั้งที

ผู้บริหารบางท่านมองว่าเป็นการบอกคนอื่นให้ work hard จะทำให้ได้เรื่อง man power ที่คุ้มค่ากว่าที่จ้างครับ

เอาจริงเรื่องพวกนี้แค่เห็นแนวคิดและประเมินนิดหน่อยมันก็คิดได้ละนะ

อยากประสบความสำเร็จ

มันก็ตรงไปตรงมานะ

มุมมองลูกจ้างต้องมี work life balance
คนบริหารต้องคิด ต้องแก้ปัญหาต้องแบกลูกจ้าง ต้องทำงานแทบไม่หยุด
ยกเว้นคุณมีตัวแทนที่เชื่อใจได้ 100% ก็เอาเงินลงไปแล้วนั่งเฉยๆ
นักลงทุนอะ เงินเราลงทุนเอง จะให้ลูกจ้างแบกหรือ มันไม่สนหรอก สนแต่สิ้นเดือนได้เงินไหม

คำถามมัน 2 ประเด็นนะ
"Work Hard ดีกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ" อันนี้เป็นประเด็นที่แน่นอนอยู่แล้ว
"ไม่เห็นด้วยกับ Work Life Balance"

ก็ไม่เสมอไปนะครับ คนรวยหลายคนในเจนเกือบ เบบี้บูมเมอร์ก็สไตล์ WLB หลายคน
ที่ไม่เห็นเยอะเท่ากลุ่มหลัง ก็เพราะเค้าอยู่ในโหมด Life balance แล้วไง

ส่วนสาย Work Hard ตลอดมันเห็นมีเยอะ ก็เพราะยังชอบที่จะอยู่ในโหมด Work ตลอดชีวิต จึงเห็นบ่อย
และไม่ว่าจะกลุ่มไหน ผมมั่นใจว่า99% มันก็ Work Hard ไม่ลืมหูลืมตากันมาก่อนทั้งนั้นแหละ

ส่วนสาย Work Hard ตลอดชีวิตมันก็มีคนแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จขนาดไหน
เพราะเค้าสนุกกะงาน ชอบทำงาน อยู่เฉยไม่ได้
ยกตัวอย่างก็คุณธนินทร์นี่แหละ น่าจะเป็นหนึ่งในเต้ยในทางนี้เลย อีก5ปีก็90แล้ว
แกยังลงมาคุมเด็กจบใหม่ พวกmanagement traineeเองทุกรุ่น และทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด

หรือถ้าจะเชื่อชาลี มังเกอร์ก็แนะนำว่า ให้Word hardจนมี 2-3ล้านก่อน(เหรียญ)
แล้วถึงค่อยชิลลงมาได้ เค้าเคยแนะนำไว้แบบนั้น

Work Life Balance บางทีมันเป็นคำคูลๆของคนไม่ขยันครับ
Work Hard สำหรับคนที่ประสบความสำเหร็จแล้วอาจจะแปลว่าทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาครับ
แต่คิดว่า Work Hard ยังไงก้ทำให้ประสบความสำเหร็จได้เมากกว่า เพราะคนประสบความสำเหร็จก้ต้อง Work Hard มาก่อนค่อย Work Life Balance

แต่คิดว่า Work Hard ยังไงก้ทำให้ประสบความสำเหร็จได้เมากกว่า เพราะคนประสบความสำเหร็จก้ต้อง Work Hard มาก่อนค่อย Work Life Balance

-----มันต้องWork Hard+Work Smartด้วยใช่ไหมครับ

ช่วงยุคก่อน Work Life Balance เขาจะมีทัศนคติว่าต้องเป็น Work Hard Play Hard ทำงานหนักและปาร์ตี้สุด

ส่วนผมไม่เอาหรอก ผมอยากรวยเพราะอยากมีชวิตสบาย แต่ถ้ารวยแล้วต้องทำงานหนักยิ่งกว่าพนักงานออฟฟิศ ก็ลดลงดีกว่า
อย่างที่ทำงานหนักๆแล้วส่งต่อให้ลูกหลานสบาย ไม่ใช่ทาง ทำงานก็ขอได้ใช้เงินหาความสุขให้ตัวเองมั่งเหอะ