ไม่ใช่วงการเหล้า แต่วงการน้ำเมาทั้งหมดนี่ยากมากๆ
ผมเคยทำเบียร์ครับ หลังๆไม่ได้ทำแล้วก็เลิกตามแล้ว
แต่ได้ยินว่าล่าสุดสามารถขายเป็น keg (ถังเหล็ก)ได้

ตอนที่ทำปัญหาเรื่องการทำตลาดมีเยอะมาก เพราะไม่สามารถโฆษณาได้ จะวางขายก็ติดเรื่องสแตมป์(ขวด หรือ กระป๋อง)แล้วแต่ร้านเลยว่าจะให้วางขายมั้ย ต่อให้ตอนนี้ขายเป็นkegได้ ปัญหาก็ยังมีอยู่มากเพราะไม่ใช่ทุกร้านมีที่กดเบียร์สด ร้านส่วนมากชอบขายเป็นขวดกัน (เบียร์แบบ keg มีอายุ ต้องแช่อุณหภูมิที่เหมาะสม อยู่ได้ไม่เกินเดือนหลังกดครั้งแรก) ร้านส่วนมากไม่ลงทุน หรือ space ไม่พอ ถ้าไม่ใช่ร้านเบียร์คราฟโดยเฉพาะ

สรุปปัญหาของวงการเบียร์
1.แพง เพราะ Economy of scale สู้เจ้าใหญ่ไม่ได้ Keg ไม่สามารถเวียนได้นอกพื้นที่ จำกัดเฉพาะพื้นที่ใกล้ๆ ถ้าเอาแบบใช้แล้วทิ้ง Cost ก็จะเยอะอีก ถ้าร้านซื้อเบียร์สด เจ้าตลาดมาขาย ราคาถูกกว่าคราฟเบีบร์บางทีเกือบ 100%
2.ถ้าจะ OEM ตอนนี้ supply ในไทยไม่พอมีไม่กี่โรง รอหลายเดือน ถ้าไปประเทศเพื่อนบ้าน รวม cost ค่าขนส่ง/ภาษีต่างๆแล้ว สู้กับเจ้าตลาดยังไงก็ยับ
3.ถ้าจะทำเองแบบ low cost แล้วสู้ ต่างจังหวัดยังไงก็ไม่เกิดเพราะมันแพง ร้านไม่เยอะ (ยกเว้น connection ดี วางขายร้านเจ้าใหญ่ประจำจังหวัดได้)
4.ต้นทุนเบียร์ที่แพงตามประเภท (ipa/pale ale) ส่วนนึงมาจาก hop ซึ่งไทยมีเหล่า brewer ที่พยายามทำฟาร์มอยู่ แต่รัฐไม่สนับสนุน สุดท้ายก้ต้องนำเข้า ซึ่งทำให้ต้นทุนเบียร์ดีๆมันสูง เทียบกับเจ้าใหญ่ซื้อเป็นตัน ยังไงก็ทำได้ดีกว่า ต้นทุนถูกกว่า เข้าถึงง่ายกว่า จริงๆควรสนับสนุนลดภาษีสรรพสามิตถ้าใช้ hop ในไทย เพื่อสนับสนุน ecosystem
5.บรรจุขวด/กระป๋องไม่ได้ เพราะใหญ่ไม่พอ(ต้องใช้ทุนเยอะในการทำโรงบรรจุ+ต้ม) ตลาดเลยจำกัดในพื้นที่ ไม่งั้นก็ต้องเสี่ยงขาย

สรุป คราฟเบียร์รายเล็กก็จะยังแพง เพราะต้นทุนไม่มีวันสู้ได้ market ในพื้นที่ไม่พอ ก็ต้องขายแพงขึ้นให้พออยู่ได้ พอมันเข้าถึงคนจำนวนมากไม่ได้ อย่างมากก็เป็น otop รายพื้นที่ ยกเว้นแต่จะทุนหนาจริงถึงจะ scale ได้ ที่ทำๆอยู่ก็แค่ช่วยสร้าง awareness craft beer ให้รายใหญ่มาทำตลาด mass เฉยๆ

ปล.สำหรับสุรา กฏหมายผ่านก็ดีครับ หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่มันอิหยังวะมากกับการที่เหล่า brewer ต้องซื้อเครื่องกลั่นที่จำกัดแรงม้า แล้วใช้ฟืนเผาต่อในกระบวนการต้มเพื่อให้แรงม้ามันไม่เกิน(ทั้งๆที่ปจบ.เครื่องกลั่นโง่ๆของจีน 60k กลั่นรักษาอุณหภูมิได้อย่างดี) ให้ได้สุราชุมชนที่เรากินกันทุกวันนี้ ถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนไม่ได้ วงการสุราไม่มีวันเกิดแน่นอน

เจ้าเล็กก็ใช้ขวดเจ้าใหญ่ได้นิ แถวบ้านผมใช้ขวดเบียร์​เสือใส่เหล้าอะ

ดูจบยังครับ

ก็ขนาดขวดเท่า ขวดมิริน หรือ สาเก กำลังดี

พรบ สุราก้าวหน้าประกอบด้วย 2 พรบ

1. สรรพสามิต -​ไม่ยาก
2. ควบคุมแอลกอฮอ -​ อันนี้ตัวโหดเลย น่าจะสู้กันหนัก

ยังครับอยู่ข้างนอก สรุป​ให้หน่อยครับพี่

ถ้าทำขายจริง ถูกต้องตามกฏหมาย มันมีแค่ขนาดแบนกับกลม ซึ่งถูกผูกขาดโดยเจ้าใหญ่ มันเกี่ยวกับกฏหมายและสรรพสามิต ส่วนถ้าจะเอาขวดขนาดใหม่ไปขึ้นทะเบียนก็นานโดนดอง Process ทำขายจริงๆ มันต้องถุกต้องตามกฏหมายทุกอย่างครับ ไม่ใช่ไปเอาขวดคนอื่นเขามาใส่แล้วขายหลบๆซ่อนๆเหมือนแต่ก่อนครับ

ไม่ใช่วงการเหล้า แต่วงการน้ำเมาทั้งหมดนี่ยากมากๆ
ผมเคยทำเบียร์ครับ หลังๆไม่ได้ทำแล้วก็เลิกตามแล้ว
แต่ได้ยินว่าล่าสุดสามารถขายเป็น keg (ถังเหล็ก)ได้

ตอนที่ทำปัญหาเรื่องการทำตลาดมีเยอะมาก เพราะไม่สามารถโฆษณาได้ จะวางขายก็ติดเรื่องสแตมป์(ขวด หรือ กระป๋อง)แล้วแต่ร้านเลยว่าจะให้วางขายมั้ย ต่อให้ตอนนี้ขายเป็นkegได้ ปัญหาก็ยังมีอยู่มากเพราะไม่ใช่ทุกร้านมีที่กดเบียร์สด ร้านส่วนมากชอบขายเป็นขวดกัน (เบียร์แบบ keg มีอายุ ต้องแช่อุณหภูมิที่เหมาะสม อยู่ได้ไม่เกินเดือนหลังกดครั้งแรก) ร้านส่วนมากไม่ลงทุน หรือ space ไม่พอ ถ้าไม่ใช่ร้านเบียร์คราฟโดยเฉพาะ

สรุปปัญหาของวงการเบียร์
1.แพง เพราะ Economy of scale สู้เจ้าใหญ่ไม่ได้ Keg ไม่สามารถเวียนได้นอกพื้นที่ จำกัดเฉพาะพื้นที่ใกล้ๆ ถ้าเอาแบบใช้แล้วทิ้ง Cost ก็จะเยอะอีก ถ้าร้านซื้อเบียร์สด เจ้าตลาดมาขาย ราคาถูกกว่าคราฟเบีบร์บางทีเกือบ 100%
2.ถ้าจะ OEM ตอนนี้ supply ในไทยไม่พอมีไม่กี่โรง รอหลายเดือน ถ้าไปประเทศเพื่อนบ้าน รวม cost ค่าขนส่ง/ภาษีต่างๆแล้ว สู้กับเจ้าตลาดยังไงก็ยับ
3.ถ้าจะทำเองแบบ low cost แล้วสู้ ต่างจังหวัดยังไงก็ไม่เกิดเพราะมันแพง ร้านไม่เยอะ (ยกเว้น connection ดี วางขายร้านเจ้าใหญ่ประจำจังหวัดได้)
4.ต้นทุนเบียร์ที่แพงตามประเภท (ipa/pale ale) ส่วนนึงมาจาก hop ซึ่งไทยมีเหล่า brewer ที่พยายามทำฟาร์มอยู่ แต่รัฐไม่สนับสนุน สุดท้ายก้ต้องนำเข้า ซึ่งทำให้ต้นทุนเบียร์ดีๆมันสูง เทียบกับเจ้าใหญ่ซื้อเป็นตัน ยังไงก็ทำได้ดีกว่า ต้นทุนถูกกว่า เข้าถึงง่ายกว่า จริงๆควรสนับสนุนลดภาษีสรรพสามิตถ้าใช้ hop ในไทย เพื่อสนับสนุน ecosystem
5.บรรจุขวด/กระป๋องไม่ได้ เพราะใหญ่ไม่พอ(ต้องใช้ทุนเยอะในการทำโรงบรรจุ+ต้ม) ตลาดเลยจำกัดในพื้นที่ ไม่งั้นก็ต้องเสี่ยงขาย

สรุป คราฟเบียร์รายเล็กก็จะยังแพง เพราะต้นทุนไม่มีวันสู้ได้ market ในพื้นที่ไม่พอ ก็ต้องขายแพงขึ้นให้พออยู่ได้ พอมันเข้าถึงคนจำนวนมากไม่ได้ อย่างมากก็เป็น otop รายพื้นที่ ยกเว้นแต่จะทุนหนาจริงถึงจะ scale ได้ ที่ทำๆอยู่ก็แค่ช่วยสร้าง awareness craft beer ให้รายใหญ่มาทำตลาด mass เฉยๆ

ปล.สำหรับสุรา กฏหมายผ่านก็ดีครับ หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่มันอิหยังวะมากกับการที่เหล่า brewer ต้องซื้อเครื่องกลั่นที่จำกัดแรงม้า แล้วใช้ฟืนเผาต่อในกระบวนการต้มเพื่อให้แรงม้ามันไม่เกิน(ทั้งๆที่ปจบ.เครื่องกลั่นโง่ๆของจีน 60k กลั่นรักษาอุณหภูมิได้อย่างดี) ให้ได้สุราชุมชนที่เรากินกันทุกวันนี้ ถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนไม่ได้ วงการสุราไม่มีวันเกิดแน่นอน