ชาว SS มีความเห็นอย่างไรครับ

'วิมานหนาม' ในชีวิตจริงของคู่รัก LGBTQ+ คนนึงจากโลกไป อีกคนหนึ่งต้องจากร้านไป...

คุณบาสและคุณตุ้ยเป็นคู่รักที่คบหากันมานานกว่า 5 ปี สร้างร้านคาเฟ่เล็ก ๆ มาด้วยกัน จนวันหนึ่งคุณตุ้ยจากไป...จนได้เกิดวิมานหนามเวอร์ชั่นชีวิตจริงขึ้น

คุณบาสบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองต้องพบเจอหลังคนรักจากไปผ่านเพจของคาเฟ่ที่ตัวสร้างขึ้นมากับมือ Loom Cafe'

เมื่อวันที่ 14 มกราคม คุณบาสได้โพสต์ข้อความขอบคุณลูกค้าที่เคยมาใช้บริการผ่านเพจเฟซบุ๊กของร้าน

"ผมแอดมินบาสที่เริ่มต้นสร้างลูมคาเฟ่
กับคุณเขมราษฎร์(พี่ตุ้ย)เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่สนับสนุนมาตลอด
ตอนนี้ผมได้ออกจากตรงนั้นมาแล้ว
จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆจาก Loom Cafe'
และที่พัก ที่ อ.บ้านไร่ นะครับ #วิมานหนาม"

พร้อมกับเรื่องราวที่แทบจะยิ่งกว่าวิมานหนามในภาพยนตร์เสียอีก

"จำได้ว่า ได้แจ้งเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม
ว่าจะออก สิ้นเดือน ม.ค. พร้อมกับขอของที่ ได้สร้างมา
ไปเป็นเครื่องมือทำมาหากิน
ซึ่งได้สร้างมาด้วยน้ำพัก น้ำแรง ทุ่มเททั้งใจ
และกายทั้งหมด ตลอด 5 ปี ซึ่งมูลค่าเทียบได้ไม่ถึง 5%
ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งขอแล้วและบอกไม่ให้
แต่ให้จ่ายหนี้ ถึงจะให้ที่ดินเปล่าๆ ซึ่งไม่มีอะไรเลย

แม้แต่น้ำ ไฟ ถือว่าให้ฟรีไม่น่าจะใช่
และหนี้ตัวนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการบริหารร้านผิดพลาด
แต่เกิดจากการที่พี่ตุ้ยต้องการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ
ซึ่ง รายได้หลักมาจาก คาเฟ่ มาจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่าง
ทั้งดอกเบี้ยธนาคาร ไม่เช่นนั้น คงโดนยึดไปแล้ว
และถ้าไม่แจ้ง ก็คงไม่ได้ทราบว่า

ได้เตรียมผู้ที่จะลงทุนทำคาเฟ่ และที่พักไว้อยู่แล้ว
แค่รอเวลา ทางนั้นพร้อม ไม่ได้คิดหวังว่า
อยากได้ ที่ทั้งหมด ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของทั้งหมด
ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่สร้างร่วมกันมา
ทั้งชื่อเสียง ทุกๆ อย่าง ระหว่างทาง 5 ปี
ก็ช่วยกันสร้างมาตลอด ไม่ได้นั่งงอมือ งอเท้า อยู่เฉยๆ
ไม่ได้ขออะไรมากมาย"

และในวันที่ 21 มกราคม 2568 ก่อนวันที่สมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน ทางคุณบาสก็ได้โพสต์บอกเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมว่า

"ไม่มีบทเรียนไหนที่สอนเราได้ดี เท่ากับ บทเรียนที่เราเคยเจอมาด้วยตัวเอง #วิมานหนาม ขอบคุณประสบการณ์ 5ปีที่ทำธุรกิจคาเฟ่และที่พักใน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

ขอบคุณปัญหาที่เข้ามาตลอดให้เราแก้ไข ทำให้เราได้โตขึ้น เมื่อก่อนจะคิดว่ายิ่งร้านใหญ่ขึ้นปัญหาก็ยิ่งใหญ่ตาม แต่มีคนนึงเคยบอกว่าปัญหาไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่แค่ปัญหาใหม่ๆที่เรายังไม่เคยเจอ วันนี้เราโชคดีเจอเร็วแล้วผ่านมาได้

ขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่สนับสนุน ลูมคาเฟ่(บาสกับพี่ตุ้ย) กันมาตลอด ขอบคุณสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทัยธานี UTPA พันธมิตรผู้ประกอบการทุกท่าน

ขอบคุณทีมงานที่เคยร่วมงานกันและผู้คนที่อยู่ในบ้านไร่ เป็นอำเภอที่มีเสน่ห์มากอยู่แล้วหลงรัก ตอนนี้ผม(บาส)ได้ออกมาจากตรงนั้นแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับลูมคาเฟ่แล้ว"


เคคดิต : จ๊อกๆ

ผมในฐานะที่มีน้องเป็น LGBTQ นะ สองคนนั้นเขาก็มีกิจการเป็นของตัวเอง ถ้าหากน้องผมเป็นอะไรขึ้นมา สินเดิม ผมเอาคืนหมดครับ แต่อะไรที่เขาสร้างมาด้วยกัน ผมไม่เอาหรอก

เป็นผม จะเปิดใหม่ แม่งตรงข้ามนั่นแหละ ให้มันรู้กันไป

ผมว่าประเด็นปัญหามันเกิดจากการไม่ได้เขียนมรดกไว้มากกว่า

อย่างในเรื่องวิมานหนาม ตัวละครพูดว่า ใบโฉนดเปรียบเหมือนทะเบียนสมรสของทั้งสองคน อันนี้คือเพราะเขาแต่งกันไม่ได้เพราะกฏหมายไม่รองรับ

แต่เคสนี้ ผมอ่านจากเนื้อหากระทู้ ผมคิดว่า เพราะแฟนเขาก็ไม่ได้เขียนมรดกเอาไว้ด้วย

ต่อให้เป็นคู่รักช-ญ เกิดปัญหาแบบนี้ก็เป็นเหมือนกันเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ช่องว่างของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า เขาทั้งสองแต่แรกเดิมทีอยากแต่งกันไหม แล้วก็เรื่องมรดกได้คิดจะจัดการไว้ไหมด้วย

เพราะถ้าอยากแต่งกันแต่กฏหมายไม่รองรับก็เสียใจด้วยครับที่กฏหมายออกไม่ทัน


ปล. ผมไม่รู้เรื่องกฏหมายครับ ดูตามกระทู้เกี่ยวกับมรดกในSSกับในหนังวิมานหนามเลยพอเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น

อีดิทเพิ่มเติมเจอละ เรื่องช-ญ ขอแบ่งทรัพย์สินได้

https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/protect-my-family/asset-ownership-for-unmarried-partners


คำถามของผมแล้วก่อนสมรสเท่าเทียม คู่รัก ช-ช ขอแบ่งทรัพย์สินไม่ได้หรอครับ? หรือไม่นับว่าเป็นคู่รักตามกฏหมาย

จริงๆ ก็สามารถจดบริษัท หุ้นกันก็ได้

แต่พอไม่มีอะไรเป็นหลักฐานสักอย่าง ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายอะ

ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเจ้าของร้าน เค้าประสงค์ให้ร้านนี้เป็นของแฟนเค้า

พลาดเองด้วย มีกม.หลายอย่างที่จะทำให้ตัวเองได้เป็นหุ้นส่วนหรือได้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นๆ

แต่ก็นั่นแหละ กมสมรสเท่าเทียมก็เป็นอีก1รายการที่ช่วยไดเ

เหตุการณ์นี้ถือว่าเกิดขึ้นเพราะเกิดก่อนสมรสเท่าเทียม

ผมก็มองว่าไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว เนื่องจากมันก็เกิดขึ้นตลอดกับคู่รักเพศใดๆก็ตาม
ที่ทำธุรกิจร่วมกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสอยู่แล้ว

กรณีแบบนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการ

1. จดทะเบียนสมรส

2. จัดการมรดก

3. จัดการกิจการในฐานะบริษัท มีหุ้นส่วนชัดเจน ที่มาของทรัพย์สินชัดเจน

แบ่งไม่ได้ครับเพราะไม่มีกฏหมายรับรอง เหมือนเป็นแค่คนนอก ถ้าคนตายไม่ทำพินัยกรรมไว้ก็ไม่ได้อะไร

ทรัพย์สินตกไปถึงทายาท ถ้าไม่มีลูกหรือภรรยา-สามีก็จะเป็นของพ่อแม่พี่น้อง

พี่เขยผมทำงานด้านกฎหมายแกบอกคนไทยไม่ค่อยคิดเรื่องทำพินัยกรรม

จริงๆทำไว้จบเลย อยากให้อะไรใครก็ลงไว้จบ พวกทายาทจะได้ไม่ต้องมาแย่งกัน

บ้านไหนคุยกันลงตัวก็จบ บ้านไหนไม่จบก็แย่งกัน ฟ้องร้อง บางทีฆ่ากันตายเป็นข่าวก็เยอะแยะ