Top Comment [RE: วิกฤติแห่งยุค เด็กจบใหม่ตกงานยกแผง ตลาดแรงงานเปลี่ยน]
ปัญหาของตลาดแรงงงานช่วงนี้คือ AI แต่ไม่ใช่ว่า AI ทดแทนคน อันนั้นยังอีกนาน
แต่หลายบริษัทแม่งไม่รู้ว่า AI คืออะไร แต่เจือกจะอยากใช้ AI ในบริษัทของตัวเองจนกำหนดตำแหน่งไม่ถูก
อย่างเช่นเป็นวิศวะเคมีงี้ ปกติก็ใช้การคำนวณออกแบบพวกแพลนท์ ถ้ารันแพลนท์ก็เรียนรู้วิธีการ operate ไป ต่อยอดสเกลก็อาจจะใช้ Simulator ช่วยเอา
แต่พอบริษัทแม่มเห่ออยากจะมี AI ก็รับวิศวะเคมีจบใหม่เข้ามา แต่บอกให้สร้าง AI ที่สามารถเรียนรู้แล้วก็ปรับค่าต่างๆในโรงงานได้อัตโนมัติงี้ คือของพวกนี้มันไม่ได้เสกกันง่ายๆ ต้องยัดข้อมูลลงไปกี่สิบปี แล้วความแม่นยำมันก็สู้คนไม่ได้ เอาแค่ให้มันลองรันซิมูฯบางทียังปรับผิดปรับถูก เอา่ไปใช้งานจริงคงมีข่าวแพลนท์ระเบิดทุกวัน
พวกรายย่อยก็เหมือนกัน คือเข้าใจแหละว่าต้นทุนมันสูงในการจ้างพนักงานใหม่ก็เลยอยากเอา AI มาใช้ทดแทนตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ ประเด็นคือหลายอย่างมากแม่งใช้ไม่ได้ ไอที่อยู่ก็ไม่อยากขัดใจก็ทำออกมาลวกๆให้พอใช้งานได้ ให้หัวหน้าให้เจ้าของบริษัทเขาเอาไปอวดได้ สรุปแม่มบางทีแค่เป็น if else logic ธรรมดาๆเนี่ยแหละ แต่ทำหน้า UI ให้สวยๆบอกเป็น AI
อันนี้คือพูดถึงพวกงานสาย White Collar ทั้งหลาย
ถ้าพวก Blue Collar (กลุ่มใช้แรงงานและค้าขาย) พวกนี้แปรผันตามโรงงานก็โดนผลกระทบพอๆกัน
ไม่เจอปัญหางี่เง่าแบบด้านบนที่บ่นมา ก็เจอปัญหากดค่าแรงขี้แตกเพราะไม่มีอะไรจะไปสู้กับจีนได้
บางบริษัทก็เลือกจะใช้ "AI" มาแทน ซึ่งบางทีก็ทำไรไม่ได้เลย โดนหลอกซื้อสำเร็จรูปมาแล้วก็ต้องมาลำบากให้วิศวกรภายในมานั่งจูนให้มันพอทำอะไรได้บ้าง ไม่ให้ระดับบนๆเสียหน้าว่าซื้อมาแล้วใช้งานไม่ได้
อีกเรื่องนึงที่ต้องบ่นจริงๆสำหรับเด็ก Z จริงๆคือ "เอ็งเป็นอะไรนักหนาวะเรื่องทำตามระเบียบเนี่ย"
เจอเยอะชิบหาย แม่งชอบมี Mindset แปลกๆว่า "ถ้าไม่ได้เขียนเป็นกฎไว้ ตูทำได้หมด"
อย่างเช่น เขามีขั้นตอนการทำไว้ A-B-C-D อยู่ด้วยเหตุผลเชิงเซฟตี้หรือ QC
แม่งจะชอบทำอะไรแบบซิกแซก ทำ B,C ก่อนเพราะมันง่ายบ้าง มันไวกว่าบ้างงี้ แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งแก้งาน ถ้าหนักๆเลยก็ต้องรื้อทำใหม่หมด
แล้วก็งงกับความมือหนักปากหนัก คือพูดขอโทษหรือขอบคุณไรงี้ไม่เป็น บางทีทำงานพลาดจนเขาเดือดร้อนกันหมดก็ไม่พูดสักคำ พอไล่จี้มากๆก็หงุดหงิด เฟียสใส่อีก
ที่ ironic ชิบหายคือดันเป็นอาการแบบเดียวกับพวกใกล้ๆเกษียณแล้ว (Gen X ต้นๆ)
หลังๆเลยต้องมานั่งคัดตั้งแต่สัมฯ ให้นั่งเขียนโลจิคการทำงานให้ดู เอาเหตุและผลที่เลือกวิธีนี้ๆ
เพราะ 80% ที่ต้องคัดออกคือหาเหตุผลไม่ได้นอกจากแค่ว่า "ก็มันง่ายสุด" ไม่ก็ "ก็มันไวสุด"
หรือบางทีก็แค่ตกม้าตายเพราะเราถามแบบพลิกแพลงนิดเดียวก็ไปไม่เป็น ขนาดยอมให้เปิดมือถือหาคำตอบแล้ว เช่น สมมติว่าวิธีการทำกะเพราหมู เราแค่ถามว่าลองเปลี่ยนหมูเป็นไก่ แล้วเลือกใช้ความร้อนที่สูงขึ้นเพื่อให้สุกไวขึ้นงี้ จะทำให้เราได้ลูกค้าเยอะขึ้นไหมเพราะผัดเร็วขึ้น หรือมีความเสี่ยงที่มันจะสุกไม่เท่ากัน อันตรายต่อลูกค้า?
คือแค่นี้บางทีก็นั่งนิ่งแล้ว เราถึงขนาดบอกว่าเห้ยใช้มือถือช่วยหาได้นะ ChatGPT อะไรงี้ก็ได้ เพราะเราอยากเห็น Logic การได้คำตอบซึ่งไม่ใช่คำตอบเป๊ะๆ (ไม่ได้คัดไปมาสเตอร์เชฟโว้ยยยย
)
ก็ไม่ยอมหา เหมือนแบบอะไรที่อยู่นอกสิ่งที่เตรียมมา = blank page/ error 404
เลยเหนื่อย ถ้าสมมติเด็กใหม่ๆจบมาอยากหางานได้ พยายามแก้ไขปัญหาตรงนี้นิดนึง คือรุ่นนี้มันเรียน remote น้อยลงแล้วอะ ไม่น่ามีปัญหาเหมือนเด็กรุ่นก่อนหน้านี้ที่พอมันไม่ได้เจอคน มันก็ถกปัญหา แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เก่งเท่าพวกที่มานั่งเรียนในห้องแล้วมีเพื่อนช่วยกันแก้ไขได้ หรือมีอาจารย์พร้อมถามงี้
Edit : เรื่อง WFH กับ Work life balance ก็เหมือนกัน ไอเราก็เข้าใจว่ามันเป็นโลจิคที่ถูกต้องแหละ
แต่หลายตำแหน่งมันเป็นงานที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอะ ถ้าเอ็งจะเอาแนวคิดที่ว่า "ถ้าไม่มีตูแล้วงานเดินไม่ได้คือวางแผนกันไม่ดี" มาเป็นหลักงี้ เอ็งก็ต้องเข้าใจว่าบริษัทเขาก็สามารถที่จะคิดได้ว่า "งั้นเลือกจะไม่มีเอ็งแต่แรกดีกว่าไหม?"
เพราะเคยเจอบางทีแม่มเลิกงานปุ๊ปทิ้งงานเลย ไม่มีการบรีฟไม่มี่การส่งงานต่อให้อีกคนที่มารับต่อ โทรตามก็ไม่กระตือรือร้นจะรับสายเท่าไหร่ คือบางทีแค่ทิ้งโน้ตไว้ก็ได้อะว่าทำอะไรไว้บ้างวันนี้ แล้วมีอะไรที่อีกคนต้องรับรู้
หลังๆต้องออกเป็นกฎให้มันทำ แรกๆก็ทำได้ หลังๆเริ่มลืมบ้างอะไรบ้าง จนทนไม่ไหวเอามันเสียบในห้องประชุม ดีว่ามันรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รีบกลับมาทำเหมือนเดิม ไม่งั้นคือได้หาคนใหม่แทนแล้ว เพราะงานมันสะดุด
ส่วนเรื่อง WFH ถ้ามีวินัยก็ทำไปเหอะ แต่ส่วนมากแล้วที่เจอไม่ค่อยได้วินัยเท่าไหร่ หลังๆก็เลยใช้ว่าถ้าพ้นโปรค่อยให้ WFH ได้อาทิตย์ละครั้งเอา