แฟนคุณ อาจจะคิดว่า คุณมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะจ่ายค่าสินสอด แต่ไม่ยอมจ่าย หรือเปล่า
คุณลองเปิดเผย บช.ทรัพย์สินแสดงให้เธอดูว่า...คุณมีเท่านี้ ให้ได้เท่านี้ แสดงความจริงใจให้เธอเห็น
ถ้ามากกว่านี้ ต้องไปกู้เป็นหนี้เป็นสิน
มันไม่ใช่การเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ถูกต้อง

แต่งงาน แล้วสร้างภาระสร้างหนี้ ให้คุณต้องมาแบกอยู่คนเดียว...
ก็เกินไปนะ...

ลองประนีประนอมให้เขายอมลดค่าสินสอด
ถ้ากลัวเสียหน้า ก็ไปเช่ากองสินสอดเอาก็ได้
หรือ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งช่วยออกไปก่อน เสร็จงานค่อยคืน

แต่ถ้าเขาไม่ยังยินยอมอีก...เราก็ขอเลื่อนงานแต่ง
ถ้าจะให้ไปกู้เพื่อแต่ง...ผมไม่เห็นด้วยเหมือนกัน

ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีครับ


ปล.1 ถ้าปัญหานี้เกิดกับผม...ผมจะขอเลื่อนงานแต่งไปก่อน....คบกันไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะพร้อม หรือ ใครทนไม่ไหว ขอเลิกราไปเอง...

ปล.2 ลองดูรายการโหนกระแส วันนี้ก็ได้ครับ
ปัญหาเรื่องคู่แต่งงานเหมือนกัน เจ้าสาวขอ แสน5 แต่เจ้าบ่าวมีให้ 5 หมื่น

สินสอดเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าไร้สาระที่สุดครับ ถ้าท่านกับแฟนไม่โอเคกับเรื่องนี้และคิดเห็นแบบเดียวกัน ผมว่าไม่ต้องจัดการแต่งเลยครับ ไปจดทะเบียนสมรสกันเองสองคนไปเลย หรือไม่ต้องจดเลยก็ได้ การแต่งงานคือการเริ่มสร้างชีวิตคู่ ไม่ใช่การมาชดใช้หนี้ที่ทำเพื่อสร้างชีวิตคู่ครับ

ถ้าท่านกับแฟนมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องนี้ คงต้องเปิดใจกันตรงๆไปเลย จะไปทางไหน การเริ่มต้นชีวิตด้วยการติดลบ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตคู่ของท่านดีขึ้นเลย ถ้าไม่ได้จริงๆก็คุยกันครับ ไม่ต้องแต่ง จดทะเบียนอย่างเดียวก็พอ หรือไม่จดทะเบียนเลยก็ได้

อย่างแย่สุดก็ไปกันไม่รอด มีหลายคู่ที่เป็นแบบนั้นครับ สุดท้ายของเป็นกำลังใจให้ท่านนะ

ความเห็นใน SS ไปทิศทางขนาดนี้ผมว่าถ้าท่านยังคิดแบบเดิมก็โชคดีครับ รักคนอื่นก็ต้องรักตัวเองด้วยครับผมอาจพูดแรงนะครับ แต่อย่า ซือบือ ขนาดนั้นในหลายๆเรื่องครับ มองระยะยาวด้วยครับ ตอนนี้กลับไปคุยกับแฟนอีกทีนะครับ แสดงความกล้า แสดงความเป็นผู้นำหน่อย งงตรงทำไมไม่คุยสินสอดให้เสร็จก่อนคิดอะไรอยู่ไปติดต่อประสานเรื่องอื่นก่อน ส่วนตัวผมว่าระยะยาวท่านมีเหนื่อยแน่ๆครับ

ถ้าผู้ใหญ่กลัวเสียหน้านัก
มันมีธุรกิจให้เช่าสินสอดนะครับ
เอาเงินล้าน กับทองไปตั้ง พอเลิกเงินก็ส่งคืน
เหมาะสมกับคนหน้าบางแบบนั้นดีครับ

เอาแบบนี้ไหมครับ

ถ้าฝั่งนู้นอ้างห่วงภาพลักษณ์ก็เคลียร์กันก่อนว่าจะกู้เงินด่วนมาโปะหน้างานนะ ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น

จากนั้นก็ยืมญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเอาครับเงินทองวางหน้างาน จบงานแล้วคืนทันทีไม่มีหนี้สินใดๆ

หลักประกันชีวิตคู่คือใบสมรส และเงินทองที่หามาได้ด้วยกัน

ขอถามหน่อย บ้านผู้หญิงใช่ทางภูมิภาคหนึ่ง ที่มีประเด็นเรื่องนี้บ่อยๆป่ะครับ


ถอยเถอะครับ .. เลื่อนไป
เรื่องการ์ดแจกไปแล้ว ก็โทรบอกรายคนไปเลย ว่าขอเลื่อนก่อนนะ เหตุผลก็อ้างไปครับ เรื่องสุขภาพ หรือมีญาติป่วยฉุกเฉินอะไรก็ว่าไป

นี่น่าจะเป็นมู้ที่คนตอบเยอะมากๆ ในรอบหลายๆปี ที่ความเห็นไปในทางเดียวกันหมด

อีกย่างมันไม่จบแค่ใข้หนี้หลังงานแต่งนะครับ ลำพังตัวงานแต่งเองนี่ มีจิปาถะที่พร้อมจะล้นออกจากงบอีกมหาศาลครับ ที่เดี๋ยวท่านต้องแบกไว้เองอีก

ตอนนี้ ภาระมีผ่อนบ้านแล้ว เงินเดือน 20,000 ผมตีเลย ผ่อนบ้านท่านน่าจะโดนแถวๆ 8,000+ เหลือเงินใช้ เก็บ 12,000

ไปกู้มาอีก 700,000 [สินสอด 5 แต่ง 2 ]
ผ่อนอีก 7,000 ต่อเดือน เหลือใช้ 5,000 ต่อเดือน

แล้วแปลนจะมีลูกอีก .. ไม่พอครับ ลำพัง 5000 แค่เลี้ยงตัวเอง ยังแทบไม่เหลือพอใช้ซื้อความสุขอื่นๆเลย
ไหนอาจจะมีผ่อนรถ ซื้อรถใหม่ในอนาคตอีก หรืออะไรฉุกเฉินขึ้นมาเรื่องสุขภาพ ฯลฯ

ถ้าเค้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ยอมเสียเวลาตรงนี้ สำหรับแค่ความสัมพันธ์ 2 ปีไปดีกว่าครับ
ดีกว่าต้องไปแบกหนี้อีกเป็น 10 ปี ซึ่งระหว่างนี้ ท่านมีบ้านแล้ว มีที่พร้อมลงหลักปักฐาน เชื่อว่ายังมีผู้หญิงที่ดี และรอสร้างอนาคตไปกับท่าน มากกว่าสร้างหนี้อยู่แล้วครับ

ขอให้ตัดสินใจอย่างรอบคอบนะครับ

บ้านผมอยู่ภาคเหนือครับ ไม่แน่ใจว่าที่อื่นเค้ามีปัญหาแบบนี้กันบ้างไหม แต่คนรอบตัวผมที่รู้จัก ไม่มีใครเจอแบบนี้เลยครับ ทุกคนหาทางออกด้วยกันได้ แต่ผมไม่ง่ายเลย

เพิ่งมาอ่าน ๆ ดู ผมก็กำลังจะแต่งงานเหมือนกัน แต่งในเดือนนี้แหละ
ของผมดีกว่าคุณเยอะ ไม่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ แต่อยากจะแนะนำหน่อยเรื่องการเป็นหนี้ ไม่สนุกเลย
แล้วจะบอกให้ว่า ทำงานมีเงินเดือนชนเดือนแบบนี้ เป็นหนี้ตอนนี้ก่อนแต่ง ไม่ใช่เรื่องที่จะกัดฟันแล้ว
ผ่านไปได้แน่นอนครับ จริงๆ ไม่อยากตัดสินใจอะไรให้นะครับ แต่อยากให้ลองคิดดูยาวๆ จริงๆ เรื่องนี้
ถ้าท่านมีจุดยืนแล้วว่าไหวที่เท่าไหร่ แค่นี้ท่านคือยืนในจุดที่ได้เปรียบแล้วครับ ถ้าเค้ายังไม่ยอมก็ยัง
ไม่ต้องแต่งครับ ไปจดทะเบียนกันก่อนก็ได้(แต่ถ้าเจ้าสาวไม่ยอมจดก็ไม่เป็นไร ปล่อยไป ทีละเรื่อง)
ส่วนที่บอกว่าได้เปรียบคือ ฝ่ายหญิงก็อายุเยอะแล้ว ยังไงๆ ฝั่งญาติเค้าก็ร้อนกว่าเราอยู่แล้ว
เราอย่าไปร้อนตาม ถ้าฝืนไปแต่ง ปัญหาชีวิตรุมเร้าแน่นอน เงินไม่พอกิน
ดีไม่ดี ไม่พอใช้หนี้รายเดือนด้วย อนาคตรายจ่าย ภาษีสังคมมันจะงอกมาอีก ยิ่งมีลูกอีก ภาระก็เพิ่ม
ท่านคิดหรอว่าถ้าชีวิตไปอยู่จุดนั้น จะรักษาสภาพครอบครัวได้ บ้านแตกตอนมีลูกนี่เรื่องใหญ่นะครับ สงสารเด็ก
ท่านแบกภาระตอนนี้ไปจนตลอดชีวิตไม่ได้หรอก ทรมานตัวเองไป 3ปี 5ปีแต่สุดท้าย สิ่งที่มันพังยังไงก็พัง
ต่างกันแค่ พังตอนนี้ หรือทรมานไปหลายปีก่อนจะพัง ทนตอนนี้ได้แค่ยื้อเวลา ไม่มีทางออก นอกจากนาคตท่านจะถูกหวยรางวัลที่ 1อ่ะ...

สิ่งที่ผมแนะนำตอนนี้นะ ท่านมีจุดยืนที่สามารถทำได้แล้ว ยึดตรงนั้นให้แน่นครับ คุยเรื่องนี้ให้เคลียร์ก่อน
ถ้ายังไม่เคลียร์ ห้ามแต่งครับ แต่ถ้าท่านมองว่าไม่อยากคุยแล้วก็ปล่อยจอยเรื่องนี้ไปก่อนได้ครับ
เรื่องที่เร่งคือ พวกออแกไนซ์ หรือการ์ดแจก การเตรียมงาน ต่างๆ เลื่อนไปให้หมดเลยครับ หรือยกเลิกไปก็ได้ อย่าเอามาขีดเส้นบีบตัวเอง อันนี้มันคือส่วนที่บีบญาติฝั่งเจ้าสาวให้ยอมรับความจริงครับ สู้ๆ นะครับ

แต่ยังไง ๆ ผมก็ย้ำว่า ตอนนี้ท่านได้เปรียบอยู่ดี อย่าไปสร้างหนี้เด็ดขาด อย่าไปจำนองจำนำอะไร
แม้แต่อนาคตเค้าจะเสนอจะให้เช่าสินสอดมาวาง ผมยังไม่แนะนำเลย เพราะผมไม่ไว้ใจญาติฝั่งเจ้าสาวแล้ว
ถ้าเกิดเค้าไม่คืนจะทำยังไง ช่วงนี้มีคนบิดเงินเช่าเยอะ เพราะไม่ยอมคืนนี่แหละ สุดท้ายไปขอผ่อนร้านเช่ากัน
ก็จบที่เป็นหนี้อยู่ดี ถ้าเค้าจะกลัวเสียหน้าก็ให้เค้าเอาเงินมากองโปะเอง เราออกค่าจัดงานแล้วจะให้แบกทุกอย่างไม่ได้ อย่าเอาเงินไปละลายในงานแต่งเด็ดขาด จะสร้างครอบครัว พื้นฐานต้องมั่นคง จะเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องคิดกว้าง ๆ ครับ ทำยังไง ที่เราจะพาครอบครัวไปรอดได้

ถ้าสุดท้ายไม่มีใครยอมใคร ก็เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ กับทำใจในสิ่งที่มันจะเกิดครับ

ถ้าเริ่มต้นยังทุกข์ และโดดเดี่ยวขนาดนี้ ประโยคนี้โดนใจจี๊ดเลยคับ

กู้มาแต่งอย่าหาทำคับ สุดท้ายก็อยู่ที่ท่านตัดสินใจคับเป็นกำลังใจให้ล่ะกัน

เอ่ออออ จะว่ายังไงดี
ผมว่าการแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องของคน2คนก็จริงนะ แต่หลักๆเลยคนที่อยู่ด้วยกันมันมีแค่2คนอ่ะครับ
และมันควรต้องคุยกันได้ ถ้าเค้ารักท่านจริง เรื่องสินสอดมันควรเห็นทิศทางเดียวกันอ่ะ เค้าควรไปคุยกับครอบครัวเค้าได้
ยกตัวอย่างของผมเลย ผมกับแฟนตัดสินใจจูงมือไปจดทะเบียนกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
จนคนอื่นมาเห็นตอนแฟนผมโพสลงfacebookเย็นวันนั้นนั่นแหละ พ่อ-แม่ทั้ง2ฝั่งก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามว่าตัดสินใจกันดีแล้วใช่ไม๊
แล้วเค้าก็ไม่ได้เรียกร้องให้จัดงานแต่งอะไร แต่หลังๆผมกับแฟนก็เออ ทำเป็นพิธีซักหน่อยก็ได้
งานเล็กๆให้มันดูว่าแต่งกันอย่างเป็นทางการ ในงานไม่มีสินสอดเลยครับ ย้ำว่าไม่มีเลย ไม่รับซองด้วย
ทั้งๆที่ถ้าฝั่งแฟนจะเรียกก็เรียกได้นะ เท่าไหร่ทางบ้านผมก็น่าจะไม่มีปัญหา
แต่นั้นแหละ ของผมโชคดีที่ผู้ใหญ่รับรู้ว่ารักกันจริง ไม่เน้นหน้าตา ไม่เน้นคำคนอื่น ใครจะว่าลูกชายไม่มีสินสอดแต่งสาวแกไม่แคร์
ทั้งๆที่ป๊าผมก็ใหญ่โตในอำเภอ ในวงการอุตสารกรรมของเค้าแหละ แต่เค้าไม่ได้แคร์คำคนอื่นเลยครับ เค้ามองแค่คน2คนที่จะอยู่ด้วยกัน

ใดๆเลยคือผมอยากจะสื่อว่า ถ้าทัศนคติของคนทั้ง2ครอบครัวมันตรงกันมันจะไม่เกิดปัญหาอ่ะ
แต่ที่อ่านๆมาทางฝ่ายหญิงเหมือนจะห่วงเรื่องหน้าตา+ภาพลักษณ์เป็นเหตุผลหลักๆ
ผมไม่รู้ว่าต่อให้ท่านผ่านงานแต่งไปได้อยู่ไปนานๆมันจะมีปัญหารึเปล่า นานเข้าท่านต้องมาแบกค่าใช้จ่ายทางบ้านแฟนพ่วงมาอีกรึเปล่า
เพราะถ้ามันเป็นอย่างงั้นเหนื่อยนะครับ ถ้ามันอยู่ด้วยความอึดอัดชีวิตคู่มันไม่มีความสุขอ่ะ
จริงๆถ้าเค้าอยากจะแค่กลัวเสียหน้า ลองหาเช่าสินสอดมันก็น่าจะพอมีช่องทาง
แต่นี่จะเอามาเป็นหลักประกัน ซึ่งคิดว่าต้องเป็นเงินเย็นถาวรอีก แม่งเหนื่อยมากนะครับ
ลองคิดดีๆ งานผมว่าเลื่อนไปก่อนดีกว่า ไว้คุยเรื่องนี้เข้าใจกันเมื่อไหร่ค่อนคิดถึงงานแต่งใหม่ เรื่องกู้ผมไม่สนับสนุนครับ
แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ถอยเถอะครับ เพื่อตัวท่านเอง

ขอเสริม เห็นมีเม้นนึงบอกว่า ให้เสนอกู้ร่วมดู

ผมว่าไอเดียดี

ไม่ใช่อยากให้กู้จริงๆนะ

แต่เป็นการทดสอบดูได้ว่า ผู้หญิงเห็นแก่ตัวหรือเป็นมิจฉาชีพหรือไม่

ถ้าไม่ยอมกู้ร่วม

ชัดละ

สนับสนุนให้เลิกเด็ดขาดครับ คุณโดนผู้หญิงหลอก

เผลอๆเคยหลอกแต่งกินค่าสินสอดมาแล้วหลายคนละ ไปสืบประวัติดู

ให้กู้มาแต่ง
แล้วเงินเดือนท่าน20k ยังไม่ทันเริ่มมีหนี้เกือบล้าน

หลายๆ ท่านแนะนำไปเยอะแล้ว ผมขอสั้นๆแล้วกันครับ ถ้าเขารักท่านจริง

เขาจะยินดีพูดคุยรับฟังและแก้ปัญหาไปพร้อมกันท่านครับ

เลือกหนทางที่ท่านจะมีความสุขครับ คนเราเกิดมาเพื่อมีความสุข ถ้ามีอีกคนแล้วทุกข์อย่ามีครับ อย่าขุดหลุมฝังตัวเองยึดตัวเองเป็นหลัก ทำให้ตัวเองมีความสุขโดยที่ไม่เบียดเบียนใครพอละครับชีวิตนี้