เบน เดวิส ผู้ซึ่งพึ่งหายเจ็บกลับมาและไม่มี แมตช์ฟิตใดๆ ล่อไป 14.9กิโล 120นาทีเต็ม
ในขณะที่ ถ้าทายอันดับ 1 ผิด 2 กับ 3 ไม่น่าผิดนั่นก็คือ
อันดับ 2 : ศุภนันท์ บุรีรัตน์ 14.4 กิโลเมตร
อันดับ 3 : นิโคลัส มิคเกลสัน 13.8 กิโลเมตร

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย จริงๆ ศุภนันท์ ผมเห็นตอนเจอกับญี่ปุ่น ก่อนเกมส์ มีหลายช่องเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ว่านี่คือนักเตะที่โคตรฟิตคนนึงของไทย ทำคะแนนทดสอบความฟิตแต่ละฐานในสโมสรได้ที่ 1 เกือบหมดเลยมั้งถ้าจำไม่ผิด นั่นทำให้ผมอยากดูเค้า

และฟิตขนาดนั้น เกมส์ที่ผมโฟกัสเกมส์แรกคือเจอญี่ปุ่นนัดนั้นเซฟทำได้แค่วิ่งก้มหน้าตามปีก เพราะฟิตวิ่งไหว แต่วิ่งไม่ทัน ทำไมถึงจำได้เพราะฟังข้อมูลก่อนเกมส์นี่แหละเลยสังเกต พอไปบอลเอเชีย ก็เหมือนเดิม ฟิต แต่เวลาโดนสวนคือก้มหน้าวิ่ง ไล่ตามอย่างเดียว ภาพซ้อนแบบนี้ทุกนัดคือพลังงานสูงแต่ยังเล่นบอลเซ้นส์ไม่ค่อยดี

พอมาระดับอาเซียน ชัดเลยว่า ความฟิตโดดเด่นมาก นัดล่าสุดนี่คือคนที่ผมเห็นว่าเคลื่อนที่เยอะอยู่ พอๆกะนิโก้
ยังเอาบอลขึ้นหน้าไปบุกได้อยู่โดยที่ขาไม่อ่อนเกินไป แล้วพอฟิตท้ายเกมส์มันยิ่งชัดว่าเล่นได้อยู่แค่ไม่กี่คน เซ้นส์บอลอะไรไม่ต้องใช้ บอลอาเซียนวัดกันที่ถึกจริงถ้าถึกก็โดดเด่นได้เลย


ส่วนเบน เดวิส ตอนไปมองโกเลีย นี่คือนักเตะที่สภาพร่างกายฟิตที่สุดในทีม วัดจาก GPS และข้อมูลทั้งหมด อันนี้โค้ชโย่งบอกเอง เอาจริงนี่คือคนที่รักษาสภาพร่างกายได้ดีคนนึงเลย และก่อนบินไปเวียดนามน้องก็สัมภาษณ์ว่า สภาพตัวเองยังไม่ 100 แต่อยากเล่น เต็มที่ช่วยทีม

เอาจริงในเกมส์ไม่ได้เคลื่อนที่โดดเด่น เพราะน่าจะเป็นเพราะไม่ได้วิ่งแนวเส้นตรงขึ้นลงแบบแบ๊ค แต่น่าจะเพราะเน้นจ๊อกเคลื่อนที่ไปรอบๆ คอยรับบอล หรือ ทำมุมรับบอลกับเพื่อนมากกว่า ไปดูฮีตแมพมาน้องเคลื่อนที่เหมือน box to box เลยไปทุกที่แถวๆกลางสนาม และที่ดูในเกมส์ ไม่ค่อยเห็นเล่นแนวลึกเท่าไหร่ แต่ลูกแทงหลุดลูกนึงก็เข้าตาอยู่

เบนวิ่งเยอะจริง ผมนั่งดูอยู่ในสนามยังกะไว้แล้วเลยว่าวิ่งเยอะสุดในทีมแน่ๆ อยู่เต็มเกมด้วย

นิโก้เคยฟังสัมภาษณ์รายการนึงว่าตั้งแต่เยาวชนโค้ชจะให้วิ่งเกมนึงต้องได้ประมาณ 14-15 km เรียกว่า 120 นาทีต้องไม่หมด

เคยสัมกับช่องแตงโมครับ ช่วงแรกๆ เค้าบอกเลยลีคเค้าวิ่ง 14 15 โล สมัยนั้นที่เรามาโฟกัสเรื่องระยะทางอยู่ ผ่านไปไม่นาน ญี่ปุ่นไป โฟกัส จำนานการ สปริ้นทร์ หรือ ความเข้มข้นแล้ว ส่วนนิโก้ที่ลีคเค้าวิ่งระดับนั้นไหวผมว่าเพราะน้องชินกะสภาพอากาศแบบนั้น มาบ้านเราอากาศคนละแบบ ได้ราวๆนี้ก็ถือว่าเยอะมากครับ แต่ดูน้องหมดจริงๆเหมือนกัน

ศุภนันท์ ที่ยังต้องเอาติดเพราะความฟิตนี้ละ แต่จะให้เล่นบอลโยน ก็ไม่ได้ดี บอลจ่ายเรียดๆก็เฉยๆ เกมส์รับก็มีหลุด ผมว่า นฤบดินทร์ หรือ โด ยังดีกว่าด้วยนะ แต่พอเจ้าตัวลงเล่นเต็มที่ทุกนัด ผมบ่นประจำ แต่พอมองความเต็มที่เจ้าตัวนี้ เต็มที่จริงๆ วิ่งขึ้นลงสุด

ผมว่าอยู่ที่สโมสรด้วยนี้ละ ว่าจะพัฒนาความฟิตได้ขนาดไหน นักเตะบุรีรัมย์ไทยว่าฟิตๆ พอไประดับเอเชียกับทีมชาติก็มีหมดๆไปบ้างละ

นี่คือคนที่พึ่งข้อเท้าพลิก กลับมาเล่น

รีบๆฟิตนะเบน ยิงเหงียนหน่อยเว้ย

จริงๆที่เค้าวิ่ง 15 km ต่อนัดเนี่ยเค้าไม่ได้ซ้อมวิ่งจ๊อกกิ้งนะครับ เค้าซ้อมสปริ้นเรซนี่แหละครับ และที่เค้าต้องให้นักบอลต้องฟิตระดับเกิน 100% ต่อการวิ่ง 1 นัดก็เพื่อให้เป็นต่อเวลามีทีมมาซื้อจะได้พร้อมใช้เลย ซ้อมจ๊อกกิ้ง 20 km มันเอามาใช้ในสนามบอลไม่ได้เลย

โค้ชที่เคยทำงานด้วยในสโมสรมายันอีกเสียงว่าทั้งซ้อม ทั้งเกมส์จริง เคลื่อนที่เยอะติดอันดับต้นๆตลอด แปลว่าถ้าไม่เจ็บคือคนฟิตคนนึง

ผมก็หมายถึงวิ่งต่อนัด ซึ่งแปลว่า นับจากในเกมส์นะครับ ไม่ได้พูดถึงการซ้อมว่าซ้อมแบบไหน ข้อมูลที่ผมเอามาบอกจากที่นิโก้เล่ามันนับรวมทั้งจ๊อกทั้งสปิร์นทร์ ซึ่ง ณ ตอนนั้นบ้านเรา กำลังฮิต ด่านักบอลเรื่องระยะทางการวิ่งต่อเกมส์อยู่ เพราะได้อิทธิพลมาจากบอลเจลีคด้วย ตัวเลขฮิต มันมาจากปากเจ ว่าบ้านเราวิ่ง 8 เจลีค เกิน10 ไป12 ไรงี้ ช่วงนั้นนิโก้มา บอกบอลสแกนวิ่ง 14 คนเลยฮือฮา

และผ่านไปไม่นาน เจลีคเค้าไม่มาสนเรื่องระยะต่อเกมส์แล้ว เค้าสนจำนวนสปริ้นทร์ จำนวนการกลับตัวฉับพลันเวลาเสีย turn อะไรแบบนี้ครับ

เวลามีรูปหรือคลิปจังหวะจับภาพไปที่เบน หน้าตามันเหมือนไม่เอ็นจอย คนเลยไปติ๊ต่างคิดว่ามันไม่ตั้งใจ ไม่อยากวิ่ง

จริงๆหน้าตาแม่งสไตล์แบบนี้เฉยๆ จริงๆแม่งวิ่งเยอะ ตอนไปดูบีจีเจออุทัย เด่นสุดในฝั่งนั้นแล้ว

จ๊อกมีผลมากครับ มันคือพื้นฐานของทุกระบบ ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ระบบประสาท ยิ่งความเร็วในการจ๊อกมากเท่าไหร่ ต่อยอดเพื่อเพิ่มจำนวนการสปริ้นท์ได้เท่านั้น ยกตัวอย่าง ถ้านักบอลจ๊อกด้วยความเร็วเพซ5ถ้วน แล้วHRอยู่ในระดับ 110-130 กับ เพซ5แต่Hrไป150-160แล้ว จำนวนที่จะสปริ้นท์ได้ต่อเกมส์ต่างกันมากแน่นอน

จริงๆ นักบอลควรจะจ็อกมากกว่า เดินเวลาอยู่ในสนามนะ คล้ายๆ กับมวยที่ต้องฟุตเวิคตลอดเวลา

ขั้นต่ำเลย 90 นาที 12km คือมาตรฐาน

จะมายืนๆ นิ่งๆ เดินๆ มันดูไม่พร้อมที่จะเล่นบอล รับบอลอะ เพื่อนก็หาช่องส่งยาก เพราะไม่รู้ว่าพร้อมเล่นแค่ไหน

ก็ซ้อมทั้ง 2 อย่างแหละ จ๊อกกิ้งกำลังขา สปิ๊นบ่อยๆก็หมดไว แต่ถ้าซ้อมหนักทั้ง 2 อย่างสบายครับ

ฝึกสปริ้นอย่างเดียวหมดก็คือหมด แต่การจ๊อกกิ้งนั้นspeed ต้องเยอะด้วย บางคนไวกว่าเดิม
นนิดเดียวเอง


ผมตอบในฐานะที่เคยวิ่งเช้า 10 โล เย็น 10 โล ผมไม่เคยขาอ่อนไม่เคยหมดแรง ซ้อมมวยเสร็จเตะบอลยังได้เลย จ๊อกกิ้งโคตรสำคัญ มันจะทำให้คุณมีก๊อก 2 ก๊อก 3 ต่อให้คุณไม่ได้ซ้อมมา 10 วันกลับไปซ้อมก็เรียกความฟิตได้ไว ออกกำลังขาจะอยู่กับคุณอย่างยาว

ดังนั้นต้องแยกระหว่างกำลังขาและเรื่องหมดไว นักเตะไทยสอบตกทั้ง 2 อย่าง จ๊อกกิ้งไม่ถึงยืน 120 ไม่ได้นะครับ

ผมก็วิ่งครับ ซ้อมฮาล์ฟและต้อง interval ด้วย และ interval นี่แหละที่ทำให้ผมต่อก๊อก 2 ก๊อก 3 ได้ วิ่งสปริ้นแล้วไม่หมด หายเหนื่อยเร็ว นักเตะไทยซ้อมตรงนี้น้อยและความเข้มข้นในการซ้อมน้อย อากาศร้อนหน่อยก็ไม่เอาแล้วทั้งๆที่ซ้อมในร่มได้

จ๊อกไม่มีประโยชน์ มันใช้กับฟุตบอลไม่ได้

การวิ่งจ็อกเฉยๆไป 15.km เป็น aerobic มันคงที่ตลอด ความเร็ว อัตตราการเต้นของหัวใจ กล้ามเนื้อ

ต่างจากฟุตบอล เป็น anaerobic. ใน15km มีทั้งจ็อกและสปริ้น. เลั้ยงบอลหนี ครองบอล วิ่งไปรับบอล
การเต้นหัวขึ้นลง ความเร็วขึ้นลง. กล้ามเนื้อ