การเก็บภาษีพลาสติกใหม่จะช่วยลดขยะได้ หากรวมอยู่ในสนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติกระดับโลก
คนงานในโรงงานรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้ในประเทศตุรกี พลาสติกส่วนใหญ่ที่เคยผลิตมาถูกฝังหรือเผา © Cemal Yurttas/Anadolu via Getty Images
การเก็บภาษีจากพลาสติกใหม่ (virgin plastic) ได้รับการเสนอว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะพลาสติกทั่วโลก หากถูกรวมอยู่ในสนธิสัญญาระดับโลกที่กำลังพิจารณาอยู่
มาตรการทางภาษีที่คล้ายกันได้ถูกนำมาใช้ในบางภูมิภาคแล้ว เช่น ในปี 2021 สหภาพยุโรปได้แนะนำการเก็บภาษีจากขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่ได้ถูกรีไซเคิล โดยกำหนดอัตราไว้ที่ €0.80 (ประมาณ 1.30 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ 29.07 บาท) ต่อกิโลกรัม ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 11.3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปีเมื่อดำเนินการเต็มรูปแบบ (ประมาณ 252.67 พันล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม การรีไซเคิลและการจัดการขยะเพียงอย่างเดียวคาดว่าจะลดมลพิษจากพลาสติกได้เพียง 7% ในระยะยาว ดังนั้น การเก็บภาษีจากพลาสติกใหม่จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเพิ่มเติมที่จำเป็นในการลดการผลิตและการใช้พลาสติก
การเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาระดับโลกเพื่อลดมลพิษจากพลาสติกกำลังดำเนินอยู่ โดยมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการเก็บภาษีจากพลาสติกใหม่ อย่างไรก็ตาม ประเทศต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหานี้
ในขณะที่บางประเทศได้ดำเนินการเก็บภาษีหรือห้ามใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้ว เช่น
สวีเดนที่เคยมีการเก็บภาษีถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ได้ยกเลิกภาษีดังกล่าวในปี 2024 แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการลดการใช้ถุงพลาสติกก็ตาม
การเก็บภาษีจากพลาสติกใหม่จึงเป็นหนึ่งในหลาย ๆ มาตรการที่ถูกพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกในระดับโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการผลิตและการใช้พลาสติก และส่งเสริมการใช้วัสดุที่ยั่งยืนมากขึ้น
ที่มา: https://www.ft.com/content/7f9b3b55-0090-4d71-a78e-853d30c176fe, https://phys.org/news/2024-11-tax-plastic-slash-built-global.html
#############################################################
เหตุใดสนธิสัญญาโลกเกี่ยวกับมลภาวะพลาสติกจึงสร้างความแตกแยกให้กับโลก?
© Unsplash/CC0 Public Domain
การเจรจาเพื่อจัดทำสนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยมลพิษพลาสติกกำลังเผชิญกับความเห็นที่แตกต่างระหว่างประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการลดการผลิตพลาสติกและการปรับปรุงระบบรีไซเคิล ในขณะที่บางประเทศสนับสนุนการลดการผลิตพลาสติกเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ ประเทศอื่น ๆ มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการจัดการขยะและการรีไซเคิลเป็นหลัก
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเจรจานี้ โดยภาคประชาสังคมกว่า 160 องค์กรได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุนสนธิสัญญาที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งเน้นการยุติมลพิษพลาสติกตลอดวงจรชีวิต และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิ และสุขภาพของมนุษย์เป็นหลัก
การเจรจา “
สนธิสัญญาพลาสติกโลก” ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคมนี้ เป็นรอบสุดท้ายก่อนการสรุปสนธิสัญญา โดยมีความคาดหวังว่าจะได้ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความเห็นที่แตกต่างระหว่างประเทศสมาชิกยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จของการเจรจา
สำหรับประเทศไทย การเข้าร่วมและสนับสนุนสนธิสัญญานี้อย่างเต็มที่ จะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติก และส่งเสริมความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยการลดการผลิตและการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ส่งเสริมการใช้ซ้ำและการรีไซเคิล รวมถึงการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
ที่มา: https://phys.org/news/2024-11-global-treaty-plastic-pollution-world.html, https://www.greenpeace.org/thailand/press/53951/joint-statement-from-thai-civil-society-organisations-on-the-negotiations-of-the-global-plastic-treaty
#############################################################
แบบจำลองมหาสมุทรสามมิติแสดงให้เห็นกรดในมหาสมุทรเคลื่อนตัวลึกลงไปมากขึ้นเนื่องจากการปล่อยมลพิษในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น
ส่วนเฉลี่ยทั่วโลกของสถานะสัมบูรณ์ของระบบ CO₂ ในทะเลในปี 2014 และการเปลี่ยนแปลงจากปี 1800 ถึงปี 2014 แถวของแผงแสดงสถานะความอิ่มตัวของอะราโกไนต์ (Ωarag) © Science Advances (2024) DOI: 10.1126/sciadv.ado3103
การศึกษาล่าสุดโดยนักฟิสิกส์สิ่งแวดล้อมจากสถาบัน
ETH Zurich ได้พัฒนาแบบจำลองสามมิติของมหาสมุทรโลก
เพื่อวิเคราะห์ความลึกที่การเพิ่มขึ้นของกรดในมหาสมุทร (ocean acidification) ได้แทรกซึมลงไป อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในบรรยากาศ
การค้นพบหลัก
ความลึกของการเป็นกรด ในปี 2014 การเป็นกรดของมหาสมุทรได้แทรกซึมลงไปถึงความลึกเฉลี่ยประมาณ 1,000 เมตร
ความแตกต่างตามภูมิภาค ในบางพื้นที่ เช่น กระแสน้ำ Atlantic Meridional Overturning Current การเป็นกรดได้แทรกซึมลึกถึง 1,500 เมตร เนื่องจากการหมุนเวียนของน้ำ
ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล
การเพิ่มขึ้นของความเป็นกรดในมหาสมุทรส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลายชนิด โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่มีเปลือกทำจากแคลเซียมคาร์บอเนต เช่น ปลาหมึกแก้ว (pteropods) ซึ่งเปลือกของพวกมันอาจละลายในน้ำที่มีความเป็นกรดสูงขึ้น
ความสำคัญของการศึกษา
การวิจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในมหาสมุทรและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเล การตระหนักถึงความลึกและขอบเขตของการเป็นกรดในมหาสมุทรเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนามาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล
การเพิ่มขึ้นของ
CO₂ ในบรรยากาศไม่เพียงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อเคมีของมหาสมุทร การศึกษานี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อป้องกันผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล
ที่มา: https://phys.org/news/2024-11-3d-ocean-acidification-deeper-atmospheric.html
#############################################################
แบบจำลองเชิงแนวคิดแสดงให้เห็นบทบาทของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกในจุดเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ นักวิทยาศาสตร์เตือนน้ำแข็งขั้วโลกละลายไวกว่าที่คาด
พบจุดเปลี่ยนน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาแห่งใหม่ ขณะที่การศึกษาระบุว่าเราประเมินการละลายต่ำเกินไป © David Merron Photography/Getty Images
การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร
Nature Communications Earth & Environment เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกในการคาดการณ์
จุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate tipping points) การทำความเข้าใจพฤติกรรมของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคืออะไร?
จุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหมายถึงเกณฑ์ในระบบของโลกที่เมื่อถูกข้ามผ่าน จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่และมักไม่สามารถย้อนกลับได้ ตัวอย่างเช่น การละลายของแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
บทบาทของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก เช่น กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา ถือกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจจุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากมีเกณฑ์อุณหภูมิที่ต่ำมาก ซึ่งเมื่อเกินกว่านั้น สภาพของพวกมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับจุดเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในระบบภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของแผ่นน้ำแข็งเหล่านี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และจำเป็นต้องมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในการสร้างแบบจำลองและการสังเกต
ผลการวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้แบบจำลองแนวคิดเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อศึกษาว่าส่วนประกอบหลักในระบบภูมิอากาศของเรามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร และจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากภาวะโลกร้อนที่ระดับ 1.5°C และ 4.0°C พวกเขาพบว่าแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อความไม่แน่นอนอย่างมากในการคาดการณ์จุดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การวิเคราะห์ความแปรปรวนของโซโบลที่ 1.5°C © Communications Earth & Environment (2024) DOI: 10.1038/s43247-024-01799-5
ความสำคัญของการวิจัยนี้
การวิจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงความเสี่ยงที่สำคัญต่อสังคมมนุษย์ในศตวรรษหน้า และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมุ่งเน้นการวิจัยไปยังพื้นที่ที่มีส่วนร่วมมากที่สุดต่อความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของเรา การลดความไม่แน่นอนในพฤติกรรมของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกผ่านการสร้างแบบจำลอง การสังเกต และความเข้าใจทางทฤษฎีเป็นสิ่งสำคัญ
ผลกระทบต่อประเทศไทย
แม้ประเทศไทยจะอยู่ห่างไกลจากขั้วโลก แต่การละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งของประเทศไทย เช่น การกัดเซาะชายฝั่งและน้ำท่วม นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลต่อรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งอาจนำไปสู่สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในประเทศไทย
ดังนั้น การทำความเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมและปรับตัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มา: https://www.tcijthai.com/news/2022/9/current/12532, https://phys.org/news/2024-11-illuminates-role-polar-ice-sheets.html
#############################################################
การศึกษาวิจัยใหม่ยืนยันว่า แร่ธาตุในน้ำพุร้อนมีส่วนสำคัญต่อการเกิดสิ่งมีชีวิตในยุคแรกบนโลก
© Pixabay/CC0 Public Domain
การศึกษาล่าสุดยืนยันว่าแร่ธาตุในน้ำพุร้อนมีบทบาทสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่นำไปสู่การกำเนิดชีวิตบนโลก ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นการศึกษา
แร่ไอรอนซัลไฟด์ (iron sulfides) ที่พบในปล่องไฮโดรเทอร์มอลใต้ทะเลลึก ซึ่งเชื่อว่าช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาทางเคมีที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่าแร่ชนิดเดียวกันนี้ในน้ำพุร้อนบนบกก็มีศักยภาพในการส่งเสริมปฏิกิริยาการ
ตรึงคาร์บอน (carbon fixation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารอินทรีย์
นักวิจัยได้สร้างห้องทดลองจำลองสภาวะของน้ำพุร้อนในยุคแรกของโลก โดยใช้แร่ไอรอนซัลไฟด์สังเคราะห์และฉายแสงที่เลียนแบบแสงอาทิตย์ในยุคนั้น พร้อมทั้งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนผ่านห้องทดลอง ผลการทดลองพบว่าแร่เหล่านี้สามารถผลิตเมทานอล ซึ่งเป็นผลผลิตจากการตรึงคาร์บอน แสดงให้เห็นว่าแร่ไอรอนซัลไฟด์ในน้ำพุร้อนบนบกอาจมีบทบาทสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่นำไปสู่การกำเนิดชีวิต
การค้นพบนี้ช่วยเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่และกระบวนการที่ชีวิตอาจเริ่มต้นบนโลก โดยชี้ให้เห็นว่าน้ำพุร้อนบนบกอาจมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ปล่องไฮโดรเทอร์มอลใต้ทะเลลึก นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสใหม่ในการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดชีวิตและปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องในสภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย
ที่มา: https://phys.org/news/2024-11-minerals-hot-key-chemical-reaction.html
#############################################################
การเจรจาเรื่องการกลายเป็นทะเลทรายเริ่มขึ้นในซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนเรื่องไฟไหม้
ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก © via phys.org
การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD COP16) ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยั้งการเสื่อมโทรมและการแปรสภาพเป็นทะเลทรายของพื้นที่ขนาดใหญ่ทั่วโลก การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากปัญหาการเสื่อมโทรมของที่ดินส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์หิมะตกในทะเลทรายซาอุดิอาระเบียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้ง เป็นภูเขาหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ผลพวงจากโลกเดือด Cr. Saudi press Agency (SPA)
สถานการณ์ปัจจุบัน
การเสื่อมโทรมของที่ดิน ปัจจุบัน พื้นที่กว่า 40% ของที่ดินทั่วโลกประสบปัญหาการเสื่อมโทรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพ
เป้าหมายการฟื้นฟู ในการประชุมครั้งก่อนที่ประเทศไอวอรีโคสต์ในปี 2565 มีการตั้งเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม 1 พันล้านเฮกตาร์ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความจำเป็นต้องเพิ่มเป้าหมายเป็น 1.5 พันล้านเฮกตาร์ เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ความพยายามของซาอุดีอาระเบีย
การฟื้นฟูที่ดิน ซาอุดีอาระเบียตั้งเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม 40 ล้านเฮกตาร์ โดยคาดว่าจะฟื้นฟูได้หลายล้านเฮกตาร์ภายในปี 2573 จนถึงปัจจุบัน ได้ฟื้นฟูแล้ว 240,000 เฮกตาร์ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การห้ามตัดไม้ผิดกฎหมาย และการขยายจำนวนอุทยานแห่งชาติจาก 19 แห่งในปี 2559 เป็นมากกว่า 500 แห่งในปัจจุบัน
ความสำคัญของการประชุม
การประชุม UNCCD COP16 มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน รวมถึงรัฐมนตรีจากหลายประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะเร่งฟื้นฟูที่ดินและพัฒนามาตรการเชิงรุกในการรับมือกับภัยแล้ง นายอิบราฮิม เทียว เลขาธิการบริหารของ UNCCD กล่าวว่า "ความมั่นคงทั่วโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่ใช่แค่ในแอฟริกาหรือตะวันออกกลางเท่านั้น"
ประเทศไทย มีพื้นที่ที่มีความเสี่ยงรุนแรงต่อภาวะการเป็นทะเลทรายกว่า 6.9 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของพื้นที่ ทั้งประเทศ แบ่งออกเป็นพื้นที่ราบ 2.4 ล้านไร่ และพื้นที่สูง 4.5 ล้านไร่ ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเข้าใจเพื่อนำไปสู่การป้องกันไว้ล่วงหน้า และการเผยแพร่ข้อมูลเชิงพื้นที่มาใช้เพื่อเตือนภัยจะสามารถ ลดระดับความรุนแรงของพื้นที่เสี่ยงภัยต่อภาวะการเป็นทะเลทรายลงได้ โดยเฉพาะการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือพื้นที่แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกพืชเกษตรเชิงเดี่ยว การเผาป่า เป็นต้น © via thairath.co.th
ผลกระทบต่อประเทศไทย
ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของที่ดินและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย การเข้าร่วมและสนับสนุนการประชุม UNCCD COP16 จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหานี้ นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
การดำเนินมาตรการที่เหมาะสมและการร่วมมือระหว่างประเทศจะช่วยลดผลกระทบจากการเสื่อมโทรมของที่ดินและการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลก
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-desertification-saudi-arabia-experts.html, https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2790774