AI เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญในการทำนายผลการศึกษา
ภาพนี้แสดงให้เห็นสมองและชิปคอมพิวเตอร์ แม้ว่าการศึกษาของเราเน้นที่ประสาทวิทยา แต่แนวทางของเราก็เป็นสากลและควรนำไปประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์ทั้งหมดได้สำเร็จ - Cr. Neuroscience News
การศึกษาล่าสุดที่นำโดยนักวิจัยจาก University College London (UCL) พบว่า Large Language Models (LLMs) สามารถทำนายผลการศึกษาทางประสาทวิทยาได้แม่นยำกว่าผู้เชี่ยวชาญมนุษย์ โดย LLMs มีความแม่นยำถึง 81% ขณะที่นักประสาทวิทยามีความแม่นยำ 63%
ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า BrainBench เพื่อประเมินความสามารถของ LLMs ในการทำนายผลการศึกษาทางประสาทวิทยา โดย BrainBench ประกอบด้วยคู่ของบทคัดย่อการศึกษา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นบทคัดย่อจริง และอีกหนึ่งเป็นบทคัดย่อที่มีการปรับผลลัพธ์ให้ผิดพลาดอย่างสมเหตุสมผล LLMs สามารถระบุบทคัดย่อที่ถูกต้องได้แม่นยำกว่าผู้เชี่ยวชาญมนุษย์
นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้พัฒนา LLM ที่มุ่งเน้นด้านประสาทวิทยาโดยเฉพาะ ชื่อว่า BrainGPT ซึ่งมีความแม่นยำในการทำนายผลการศึกษาถึง 86% การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า AI สามารถสังเคราะห์ความรู้จากวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก และทำนายผลลัพธ์ของการทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์แบรดลีย์ เลิฟ จาก UCL กล่าวว่า "เราคาดว่าในไม่ช้า นักวิทยาศาสตร์จะใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยในการออกแบบการทดลองและทำนายผลลัพธ์ ซึ่งจะช่วยเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์"
การศึกษานี้เน้นย้ำถึงศักยภาพของ AI ในการปรับปรุงการออกแบบการทดลองและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ในหลากหลายสาขา อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจข้อจำกัดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI ในการทำนายผลการศึกษา
ที่มา: https://neurosciencenews.com/ai-llms-neuroscience-data-28154
#################################################################
อุดมการณ์แบบชายแท้ เพิ่มความเสี่ยงการฆ่าตัวตายในผู้ชายถึงสองเท่า
Cr. AboutImages
การวิจัยล่าสุดเผยว่า ผู้ชายที่ยึดมั่นในบทบาทความเป็นชายแบบดั้งเดิม เช่น การเก็บกดอารมณ์และการพึ่งพาตนเอง มีความเสี่ยงที่จะพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ที่มีมุมมองเท่าเทียมถึงสองเท่า การศึกษานี้จัดกลุ่มผู้ชายออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ "Egalitarians" (ผู้ที่มีมุมมองเท่าเทียม), "Players" (ผู้ที่ให้ความสำคัญกับสถานะและความสำเร็จทางเพศ), และ "Stoics" (ผู้ที่เก็บกดอารมณ์และพึ่งพาตนเอง) พบว่ากลุ่ม "Stoics" มีความเสี่ยงสูงสุดในการพยายามฆ่าตัวตาย เนื่องจากทัศนคติและพฤติกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะในช่วงที่เผชิญกับวิกฤตสุขภาพจิต
นักวิจัยแนะนำให้มีการแทรกแซงที่มุ่งเน้นไปยังผู้ชายที่มีลักษณะเหล่านี้ เนื่องจากวิธีการดูแลสุขภาพจิตแบบดั้งเดิมมักไม่สามารถตรวจจับสัญญาณของภาวะซึมเศร้าในกลุ่มนี้ได้ การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณาบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมในการป้องกันการฆ่าตัวตาย
อัตราการฆ่าตัวตายในผู้ชายสูงกว่าในผู้หญิงทั่วโลก โดยหนึ่งในสาเหตุคือความเสี่ยงในผู้ชายมักถูกตรวจพบช้า อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่มีความเสี่ยงเท่ากัน โครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซูริกได้ระบุปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่เพิ่มความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่ยึดมั่นในบทบาทความเป็นชายแบบดั้งเดิม
Cr. AboutImages
การศึกษาระยะยาวในสหรัฐอเมริกาที่มีผู้ชายหนุ่มประมาณ 10,000 คน พบว่าผู้ที่ยึดมั่นในบทบาทความเป็นชายแบบดั้งเดิมมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายมากขึ้นในช่วง 20 ปี บรรทัดฐานเหล่านี้รวมถึงการพึ่งพาตนเอง การควบคุมอารมณ์ และการไม่แสดงความอ่อนแอ ซึ่งสรุปได้ว่าเป็น "
อุดมการณ์ความเป็นชายแบบดั้งเดิม"
ในการศึกษานี้ ทีมวิจัยได้คัดเลือกผู้ชายเกือบ 500 คนจากประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามที่ประเมินอาการซึมเศร้า ความสอดคล้องกับอุดมการณ์ความเป็นชายแบบดั้งเดิม และความคิดและพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย
ผลการวิเคราะห์พบว่า 13% ของผู้เข้าร่วมเคยพยายามฆ่าตัวตาย หนึ่งในสี่รายงานว่าเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า และหนึ่งในห้าระบุว่าเคยรับการบำบัดทางจิตวิทยา การวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่าผู้ชายสามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มตามความสอดคล้องกับอุดมการณ์ความเป็นชายแบบดั้งเดิม
กลุ่มแรก "
Egalitarians" ประมาณ 60% ของผู้เข้าร่วม ไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์ความเป็นชายแบบดั้งเดิม กลุ่มที่สอง "
Players" ประมาณ 15% ให้ความสำคัญกับสถานะและความสำเร็จทางเพศ กลุ่มที่สาม "
Stoics" ประมาณ 25% ยึดมั่นในอุดมการณ์ความเป็นชายแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ การพึ่งพาตนเอง และการเสี่ยงภัย
การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ชายที่ยึดมั่นในบทบาทความเป็นชายแบบดั้งเดิมมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพยายามฆ่าตัวตาย และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรการป้องกันที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถตรวจจับและจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา: https://neurosciencenews.com/masculine-gender-role-suicide-28158
#################################################################
นักวิจัยศึกษาวิธีนำเครือข่ายประสาทขนาดใหญ่เข้าใกล้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของสมองชีวภาพมากขึ้น
Cr. Unsplash/CC0 Public Domain
เครือข่ายประสาทเทียมขนาดใหญ่
นักวิจัยจาก International School of Advanced Studies (SISSA) ได้สำรวจการพัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายประสาทเทียม (neural networks) ที่มีขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบที่มีความใกล้เคียงกับสมองมนุษย์มากขึ้น แม้ว่าเครือข่ายขนาดใหญ่จะมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีกว่า แต่การเพิ่มขนาดอย่างไร้ขีดจำกัดนั้นกลับไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพหรือยั่งยืน เนื่องจากการใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป
การเลียนแบบการเรียนรู้ของสมอง
ทีมวิจัยได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "
การเรียนรู้แบบหลักสูตร" (curriculum learning) ซึ่งเลียนแบบวิธีการเรียนรู้ของสมองมนุษย์ โดยเริ่มจากการฝึกฝนด้วยข้อมูลง่าย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อนเมื่อเครือข่ายเรียนรู้ได้ดีขึ้น วิธีนี้คาดว่าจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้
ข้อจำกัดของเครือข่ายขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม พบว่าเครือข่ายที่มีพารามิเตอร์จำนวนมากอาจไม่ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้แบบหลักสูตร เนื่องจากความ "
สมบูรณ์" ของเครือข่ายทำให้สามารถเรียนรู้ได้โดยพึ่งพาทรัพยากรมากกว่าคุณภาพของข้อมูล ความสมบูรณ์นี้ทำให้เครือข่ายเรียนรู้เร็วขึ้นแต่ไม่เพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
การปรับขนาดเพื่อประสิทธิภาพ
งานวิจัยนี้เสนอว่า การปรับขนาดของเครือข่ายในช่วงเริ่มต้นอย่างระมัดระวังสามารถทำให้การเรียนรู้แบบหลักสูตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์นี้ช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรโดยรวม ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในโลกที่เทคโนโลยี AI ต้องการพลังงานอย่างมาก
ความสำคัญของการศึกษานี้
การค้นพบนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาเครือข่ายประสาทเทียมที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น การปรับขนาดและกระบวนการเรียนรู้ที่คล้ายคลึงกับสมองมนุษย์อาจนำไปสู่ AI ที่มีความสามารถสูงและยั่งยืนในอนาคต
ที่มา: https://techxplore.com/news/2024-11-explore-larger-neural-networks-closer.html
#################################################################
นักวิจัยเผยพวกเขาสามารถ “ปลดล็อกมิติใหม่” ได้หลังจากที่คนสองคน “คุยกัน” ขณะที่ฝันเป็นครั้งแรก
Cr. shapedream.co
นักวิจัยจาก REMspace บริษัทนิวโรเทคในซานฟรานซิสโก ได้บรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญในการสื่อสารระหว่างสองบุคคลขณะฝันแบบรู้ตัว (lucid dreaming) โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเฉพาะ ผู้เข้าร่วมการทดลองสองคนสามารถแลกเปลี่ยนข้อความง่าย ๆ ระหว่างการฝันได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสำรวจศักยภาพของการสื่อสารในโลกแห่งความฝัน
การทดลองนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบข้อมูล polysomnographic ของผู้เข้าร่วมขณะนอนหลับ เมื่อระบบตรวจพบว่าผู้เข้าร่วมคนแรกเข้าสู่สภาวะฝันรู้ตัว ระบบจะสร้างคำแบบสุ่มและส่งผ่านหูฟัง ผู้เข้าร่วมจะตอบสนองต่อคำดังกล่าวในฝัน และการตอบสนองนั้นจะถูกบันทึกไว้ จากนั้น ข้อความที่บันทึกจะถูกส่งไปยังผู้เข้าร่วมคนที่สองเมื่อเขาเข้าสู่สภาวะฝันรู้ตัว และเขาสามารถยืนยันข้อความนั้นหลังจากตื่นขึ้น
นี่อาจเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยีแห่งความฝัน Cr. X/@MichaelRaduga/REMspace
Michael Raduga ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ REMspace กล่าวว่า "
เมื่อวานนี้ การสื่อสารในฝันยังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ พรุ่งนี้ มันจะเป็นเรื่องปกติที่เราไม่สามารถจินตนาการชีวิตโดยปราศจากเทคโนโลยีนี้ได้" เขาเชื่อว่า "
การนอนหลับแบบ REM และปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การฝันรู้ตัว จะกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ถัดไปหลังจาก AI"
ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นเกือบห้าปี REMspace กำลังมุ่งเน้นไปที่ความท้าทายถัดไป คือการสื่อสารแบบเรียลไทม์ในฝันรู้ตัว แม้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ซับซ้อนกว่า แต่ทีมงานมั่นใจว่าสามารถบรรลุได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
การค้นพบนี้เปิดประตูสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์มากมาย และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความฝัน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังต้องการการตรวจสอบและยืนยันเพิ่มเติมจากชุมชนวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันความถูกต้องและศักยภาพในการใช้งานจริง
ที่มา: https://www.uniladtech.com/science/news/researchers-remspace-chat-dreaming-662981-20241128
#################################################################
การฝันแบบรู้ตัวสามารถช่วยให้เราเข้าใจสมองได้อย่างไร
นักวิจัยพบว่า การจำความฝันเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ได้ - Cr. Neuroscience News
การฝันรู้ตัว (lucid dreaming) เป็นสภาวะที่ผู้ฝันตระหนักว่าตนกำลังฝันและสามารถควบคุมเนื้อหาของความฝันได้ การวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ รวมถึงความเป็นไปได้ในการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ฝันและนักวิจัย และบทบาทของการแบ่งปันความฝันในการเพิ่มพูนความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจระหว่างบุคคล
ในปี 2021 การศึกษาระดับนานาชาติแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ฝันรู้ตัวและนักวิจัยในห้องปฏิบัติการเป็นไปได้ และในปี 2024 การศึกษาต่อเนื่องได้ฝึกผู้ฝันรู้ตัวให้ควบคุมวัตถุเสมือนจริงขณะหลับ โดยใช้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างความฝัน
นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าการแบ่งปันความฝันอาจเพิ่มพูนความเห็นอกเห็นใจและความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในเชิงวิวัฒนาการ การอภิปรายความฝันในกลุ่มสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและความเข้าใจระหว่างบุคคล
ทัศนคติเชิงบวกต่อความฝันยังสัมพันธ์กับความสามารถในการจดจำความฝันได้ดีขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าทักษะการให้ความสนใจอาจมีบทบาทในการจดจำและตีความความฝัน
การค้นพบเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างความฝันและชีวิตประจำวัน และเปิดโอกาสใหม่ในการวิจัยเกี่ยวกับจิตสำนึกและการสื่อสารระหว่างบุคคลในสภาวะต่าง ๆ ของจิตใจ
ที่มา: https://neurosciencenews.com/lucid-dreams-empathy-neuroscience-27780
#################################################################
ขนาดสมองมนุษย์กับวิวัฒนาการที่ค่อยเป็นค่อยไป
งานวิจัยนี้ท้าทายความคิดเก่าๆ ที่ว่าสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ เช่น มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่สามารถปรับตัวได้ แต่กลับเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่องซึ่งเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังวิวัฒนาการขนาดสมอง - Cr. Neuroscience News
การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสมองมนุษย์ ผลการศึกษาระบุว่าการเพิ่มขึ้นของขนาดสมองเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละสายพันธุ์ แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันตามที่เคยเชื่อ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง อ็อกซ์ฟอร์ด และเดอแรม ได้รวบรวมข้อมูลจากฟอสซิลมนุษย์กว่า 300 ชิ้น ครอบคลุมช่วงเวลา 7 ล้านปี เพื่อสร้างแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงของสมองในสายพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ระหว่างความจุของกะโหลกศีรษะ ขนาดของร่างกาย และเวลาทั้งภายในและภายนอกสายพันธุ์ - Cr. Proceedings of the National Academy of Sciences (2024) DOI: 10.1073/pnas.2409542121
หลักฐานจากฟอสซิลโบราณ
ข้อมูลฟอสซิลมนุษย์แสดงให้เห็นว่าขนาดสมองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ Sahelanthropus tchadensis ซึ่งมีสมองขนาดเล็กเกือบเท่ากับลิงชิมแปนซี ไปจนถึง Homo sapiens ที่มีสมองใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์มนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นภายในแต่ละสายพันธุ์มากกว่าการเปลี่ยนแปลงระหว่างสายพันธุ์ ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขนาดสมองจาก Homo habilis ไปยัง Homo erectus และ Homo sapiens นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่สะสมในระยะยาว
สมองใหญ่ขึ้น แต่ร่างกายไม่ได้ใหญ่ตาม
ที่น่าสนใจคือ ขนาดร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามขนาดสมองในทุกสายพันธุ์ ตัวอย่างเช่น Homo erectus ซึ่งมีขนาดสมองใหญ่กว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า แต่ร่างกายของพวกเขาไม่ได้ใหญ่ขึ้นมากนัก ข้อนี้บ่งชี้ว่าการเพิ่มขนาดสมองไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับขนาดร่างกายเสมอไป และอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่น เช่น สภาพแวดล้อมและพฤติกรรม
ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อสมอง
ทีมวิจัยชี้ว่าสภาพแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการวิวัฒนาการของสมอง การปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและการขยายพื้นที่อยู่อาศัย เช่น การใช้ชีวิตในทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกา อาจสร้างความต้องการทางปัญญาที่สูงขึ้น เช่น ความสามารถในการวางแผนและการแก้ปัญหา สิ่งนี้ช่วยเร่งการพัฒนาสมองในช่วงวิวัฒนาการของมนุษย์
หินอ่อนอียิปต์โบราณประวัติศาสตร์ - Cr. okanakdeniz
พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม
ขนาดสมองที่เพิ่มขึ้นยังสัมพันธ์กับความก้าวหน้าทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การพัฒนาภาษา การประดิษฐ์เครื่องมือ และการทำงานร่วมกันในกลุ่ม การทำงานร่วมกันที่ซับซ้อนต้องอาศัยความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสื่อสาร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มขนาดสมองในมนุษย์ยุคหลัง
ท้าทายแนวคิดเดิม
การศึกษานี้ท้าทายแนวคิดที่ว่าการเพิ่มขึ้นของขนาดสมองมนุษย์เกิดจากการกระโดดทางวิวัฒนาการ เช่น การเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ ข้อมูลใหม่นี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของการวิวัฒนาการในระยะยาว
ความหมายของการค้นพบ
การค้นพบครั้งนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสมองมนุษย์ และเปิดโอกาสให้ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของสิ่งแวดล้อมและปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการพัฒนาสมอง การเข้าใจวิวัฒนาการนี้ยังช่วยให้เรามองเห็นกระบวนการพัฒนาสติปัญญาในสายพันธุ์มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น
บทสรุป
การวิจัยใหม่ยืนยันว่า การวิวัฒนาการของขนาดสมองมนุษย์เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและซับซ้อน การเพิ่มขนาดสมองไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่สะสมในระยะยาว ความเข้าใจนี้ช่วยเปิดประตูสู่การค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์และการพัฒนาความสามารถทางปัญญาในอนาคต
ที่มา: https://phys.org/news/2024-11-brains-grew-faster-humans-evolved.html, https://neurosciencenews.com/evolution-brain-size-28153