BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: ชีวิต..ติดแกลบ
: 1 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 May 2020
ตอบ: 6732
ที่อยู่: ดาวโลก
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2024 03:15
นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร
เหตุใดอินเดียส่งยานไปดวงจันทร์-ดาวอังคารได้ ด้วยต้นทุนต่ำกว่าการสร้างหนังไซ-ไฟของฮอลลีวูด ?


เมื่อปีที่แล้ว อินเดียเป็นชาติแรกที่ส่งยานลงจอดใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน - Cr. ISRO

เมื่อกล่าวถึงการสำรวจอวกาศในยุคปัจจุบัน ภาพของประเทศที่มีศักยภาพสูงในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรจำนวนมากมักจะเข้ามาในจิตใจ เช่น สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย หรือจีน แต่หากเรามองไปที่อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีงบประมาณจำกัด แต่กลับทำสำเร็จในโครงการสำรวจอวกาศที่ยิ่งใหญ่หลายโครงการ ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่ามากเทียบกับชาติอื่นๆ

ในปี 2023 อินเดียได้ส่งยาน จันทรายาน-3 ไปลงจอดใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในการสำรวจพื้นที่ที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน โดยใช้งบประมาณเพียง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,700 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ เช่น การสร้างภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังอย่าง Gravity ที่มีงบประมาณถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การสำรวจอวกาศของอินเดียถือเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งในเรื่องการประหยัดงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายของ มังกัลยาน (Mangalyaan) ซึ่งเป็นยานสำรวจดาวอังคาร ก็เพียงแค่ 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,700 ล้านบาท) เท่านั้น เทียบกับค่าใช้จ่ายของ ยานเมเวน (Maven) ขององค์การนาซาที่มีงบประมาณสูงถึง 582 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20,800 ล้านบาท)


อินเดียตั้งเป้าจะส่งหุ่นยนต์ไปท่องอวกาศในเร็ววันนี้ เพื่อเตรียมนำไปใช้กับภารกิจ “กากันยาน” (Gaganyaan) - ISRO

สิ่งที่ทำให้โครงการอวกาศของอินเดียสามารถทำได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่ามากนั้น มาจากหลายปัจจัยสำคัญที่น่าสนใจ

1. การพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
ในขณะที่หลายประเทศที่พัฒนาโครงการอวกาศใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์จากบริษัทเอกชนต่างชาติ อินเดียเลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทั้งหมดภายในประเทศเอง รวมถึงเครื่องยนต์, ดาวเทียม, และระบบขับดันต่างๆ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น จรวด PSLV (Polar Satellite Launch Vehicle) ของอินเดีย ซึ่งเป็นจรวดขนาดเล็กที่ใช้ในการส่งดาวเทียมไปยังอวกาศได้อย่างประหยัด โดยใช้ต้นทุนเพียง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อการปล่อยจรวดหนึ่งครั้ง

การพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศยังช่วยลดต้นทุนการจัดหาวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง และทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

2. การจัดการและประหยัดงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
อินเดียมีวิธีการจัดการโครงการที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ในกรณีของ มังกัลยาน ยานสำรวจดาวอังคารของอินเดีย ทีมงานได้ใช้ อุปกรณ์ที่เตรียมไว้สำหรับภารกิจจันทรายาน-2 โดยการนำมาใช้ก่อน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีการเลือกใช้วิธีการที่เรียกว่า “การทดสอบบนพื้นที่จำกัด” (Limited Testing) ซึ่งหมายถึงการลดการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง โดยพวกเขาจะทดสอบเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดของยานอวกาศ

3. การใช้แรงงานและค่าตอบแทนที่ต่ำ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนคือการจ้างงานนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีฝีมือจำนวนไม่มากนัก และจ่ายเงินเดือนที่ต่ำกว่าในประเทศตะวันตกมาก ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ตัวอย่างเช่น เงินเดือนของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรใน ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) มีราคาถูกกว่าผู้ที่ทำงานในองค์กรอวกาศของตะวันตกอย่างนาซา ถึง 3 เท่า ซึ่งช่วยให้โครงการดำเนินการได้ในราคาที่ประหยัด

4. การใช้จ่ายที่คุ้มค่ากับการเสี่ยง
ในการทำภารกิจอวกาศแต่ละครั้ง ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) จะทำการสร้าง อุปกรณ์สำรวจ ที่สามารถใช้งานได้จริงในภารกิจ โดยไม่สร้างแบบจำลองหรือทดสอบหลายครั้งก่อนการปล่อยขึ้นอวกาศ ซึ่งแม้จะเสี่ยง แต่ก็ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ จันทรายาน-1 ซึ่งภารกิจนี้ไม่จำเป็นต้องใช้การทดสอบซ้ำหลายรอบเหมือนกับโครงการของนาซา ทำให้สามารถลดต้นทุนในการดำเนินการได้

5. การได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
รัฐบาลอินเดียมีการให้การสนับสนุนที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงการอวกาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีงบประมาณที่จำกัด แต่ก็มีการตั้งเป้าหมายให้โครงการเหล่านี้ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประเทศ เช่น การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การศึกษาวิจัย, และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชน


ยานโคจรสำรวจดวงอาทิตย์ “อาทิตยา-แอลวัน” (Aditya-L1) มีมูลค่าเพียง 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - ISRO

ในปี 2024 อินเดียมีงบประมาณการสำรวจอวกาศที่ประมาณ 1,550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการต่างๆ ซึ่งยังคงต่ำกว่าการจัดสรรงบประมาณของนาซาที่มีงบประมาณมากถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี

การที่อินเดียสามารถทำโครงการสำรวจอวกาศได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าหลายประเทศนั้น เป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้การจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มีฝีมือในราคาที่ไม่สูงเกินไปก็ช่วยลดต้นทุนลงได้มาก ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงสามารถบรรลุผลสำเร็จในโครงการอวกาศที่มีความท้าทายและยิ่งใหญ่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าหลายประเทศ

ที่มา: https://www.bbc.com/thai/articles/cvg7de2pg7lo

#################################################################

ดาวเคราะห์ของดาวบาร์นาร์ด


ภาพประกอบแสดงสภาพของดาวบาร์นาร์ดบี ดาวเคราะห์บริวารของดาวบาร์นาร์ด - Cr. ESO/M Kornmesser

คณะนักดาราศาสตร์คณะหนึ่ง นำโดย โจเนย์ กอนซาเลส เอร์นันเดซ จากสถาบันวิจัยฟิสิกส์ดาราศาสตร์หมู่เกาะคะเนรีของประเทศสเปนได้พบดาวเคราะห์ต่างระบบดวงใหม่ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีมวลต่ำที่สุดดวงหนึ่งในบรรดาดาวเคราะห์ต่างระบบที่เคยค้นพบ และที่สำคัญอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เรามาก

ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อว่า ดาวบาร์นาร์ดบี (Barnard b) โดยเป็นดาวเคราะห์บริวารของดาวบาร์นาร์ด มีวงโคจรรอบดาวแม่เล็กมาก มีคาบโคจรเพียงสามวันเท่านั้น

ดาวบาร์นาร์ดเป็นดาวแคระแดง มีมวลประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ของดวงอาทิตย์ อยู่ห่างออกไปเพียง 6 ปีแสง นับเป็นดาวฤกษ์เดี่ยวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด แม้ดาวแอลฟาเซนทอรีจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่แอลฟาคนครึ่งม้าเป็นระบบดาวหลายดวง หากจะนับเฉพาะดาวฤกษ์เดี่ยวแบบดวงอาทิตย์ ดาวบาร์นาร์ดก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้เราที่สุด

ดาวบาร์นาร์ดบีอยู่ห่างจากดาวบาร์นาร์ดเพียง 2.9 ล้านกิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นระยะเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวศุกร์ ระยะนี้ใกล้กว่าเขตเอื้ออาศัยของดาวบาร์นาร์ด แม้ดาวบาร์นาร์ดมีอุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่าดวงอาทิตย์ถึง 2,500 องศาเซลเซียส แต่ระยะที่ใกล้มากของดาวบาร์นาร์ดบีทำให้พื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงนี้ร้อนเกินกว่าจะรักษาน้ำให้เป็นของเหลวอยู่บนพื้นผิวได้


แผนผังแสดงระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แม้ดาวแอลฟาเซนทอรีจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และดาวบาร์นาร์ดใกล้เป็นอันดับสอง แต่ดาวบาร์นาร์ดก็ถือเป็นดาวฤกษ์เดี่ยวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด - Cr. IEEC/Science-Wave – Guillem Ramisa

นักดาราศาสตร์คณะนี้ค้นพบดาวบาร์นาร์ดบีโดยใช้สเปกโทรกราฟชื่อ เอสเปรสโซ (ESPRESSO--Echelle Spectrograph for Rocky Exoplanet and Stable Spectroscopic Observations) ของกล้องวีแอลที ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่สี่กล้องบนภูเขาเซียร์โรปารานัลในทะเลทรายอาตากามาที่ประเทศชิลี

ข้อมูลด้านสเปกตรัมของดาวบาร์นาร์ดจากเอสเปรสโซแสดงถึงการการส่ายไปมาของดาวฤกษ์ซึ่งเกิดจากการรบกวนทางความโน้มถ่วงของดาวเคราะห์บริวาร ต่อมาข้อมูลนี้ก็ได้รับการยืนยันโดยข้อมูลจากกล้องฮาร์ป (HARPS--High Accuracy Radial Velocity Planet Searcher) ของหอดูดาวยุโรปซีกใต้


กล้องโทรทรรศน์ Very Large Telescope (VLT) ตั้งอยู่บนภูเขาเซียร์โร ปารานัลในทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี โดยมีความสูงถึง 2,635 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้สามารถสังเกตการณ์ท้องฟ้าได้อย่างคมชัด ด้วยกระจกหลักขนาด 8.2 เมตรจำนวน 4 ตัว ระบบ Adaptive Optics ช่วยปรับภาพให้ชัดแม้ในสภาพบรรยากาศที่ไม่เสถียร และการใช้ Interferometry ทำให้มีความละเอียดสูงในการศึกษาดาวฤกษ์, หลุมดำ, และดาวเคราะห์นอกระบบ. VLT เป็นเครื่องมือสำคัญในการสำรวจจักรวาลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก - Cr. ESO

ความน่าสนใจอีกด้านหนึ่งของดาวบาร์นาร์ดก็คือ ดาวฤกษ์ดวงนี้เป็นดาวที่มีสภาพโลหะต่ำ คำว่าโลหะในทางดาราศาสตร์ต่างจากที่วงการอื่นใช้ โลหะในทางดาราศาสตร์หมายถึงธาตุใดก็ตามที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียม นักดาราศาสตร์เคยเชื่อว่าโลหะเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นในการสร้างดาวเคราะห์หิน ดาวฤกษ์ที่มีสภาพโลหะต่ำจะมีโอกาสสร้างดาวเคราะห์หินได้น้อยกว่า แต่การที่พบว่าดาวที่มีสัดส่วนโลหะต่ำอย่างดาวบาร์นาร์ดยังสร้างดาวเคราะห์หินขึ้นมาได้ก็นับว่าสนใจอย่างมาก

ดาวบาร์นาร์ดไม่เพียงแต่สร้างดาวเคราะห์หินขึ้นมาได้เท่านั้น ดาวดวงนี้อาจไม่ได้มีดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวด้วย นักดาราศาสตร์คณะดังกล่าวยังพบหลักฐานที่แสดงว่าอาจมีดาวเคราะห์อีกสามดวง อย่างไรก็ตามสำหรับดาวเคราะห์อีกสามดวงนี้ยังต้องรอหลักฐานเพิ่มเติมจึงจะยืนยันได้ว่าเป็นดาวเคราะห์จริง

ที่มา: https://thaiastro.nectec.or.th/news/5464, https://www.space.com/barnards-star-exoplanet-sub-earth, https://www.eso.org/public/teles-instr/paranal-observatory/vlt/vlt-instr/espresso, https://en.wikipedia.org/wiki/Very_Large_Telescope

#################################################################

การวิจัยใหม่ชี้ว่าดาวเบเทลจุสเป็นดาวฤกษ์ระบบคู่


กลุ่มดาวนายพราน ดาวที่ศรชี้คือดาวเบเทลจุส - Cr. nectec

ดาวเบเทลจุส (Betelgeuse) หรือดาวแอลฟานายพราน เป็นดาวที่เป็นที่รู้จักกันดีไม่ว่าจะในแวดวงนักดาราศาสตร์หรือนักดูดาวทั่วไป เป็นดาวฤกษ์สว่างอันดับสองของกลุ่มดาวนายพราน อยู่ในดาวเต่าของไทย และสว่างเป็นอันดับ 10 ของดาวฤกษ์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน

เบเทลจุสได้ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อดาวได้หรี่แสงลงไปอย่างมากในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนมีนาคม 2563 ปกติดาวเบเทลจุสมีอันดับความสว่างอยู่ระหว่าง 0.1 - 1 แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวความสว่างของดาวลดลงไปจนมีอันดับความสว่าง 1.6 เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ การหรี่แสงครั้งใหญ่ของเบเทลจุส


ดาวเบเทลจุส (Betelgeuse) เป็นดาวยักษ์แดงที่ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวโอไรออน มันมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ถึง 1,000 เท่า และสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า มันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 642.5 ปีแสง แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือมันอาจจะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะทำให้มันสว่างถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ในเวลากลางวัน! ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อท้องฟ้าและอาจส่งคลื่นรังสีที่มีพลังมหาศาลถึงโลก ดาวเบเทลจุสจึงกลายเป็นจุดสนใจสำคัญของนักดาราศาสตร์ทั่วโลก - Cr. ESA

ดาวเบเทลจุสอยู่ห่างจากโลกประมาณ 724 ปีแสง มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 1,400 เท่า และมีกำลังส่องสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 100,000 เท่า จึงนับเป็นดาวฤกษ์ที่ใหญ่ที่สุดดวงหนึ่งและสว่างไสวที่สุดดวงหนึ่งเท่าที่เรารู้จัก

ความสว่างของดาวเบเทลจุสไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นรายคาบ ดาวที่มีความสว่างไม่คงที่เช่นนี้เรียกกว่าดาวแปรแสง นักวิทยาศาสตร์ศึกษาการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวเบเทลจุสแล้วพบว่ามีวัฏจักรสองวัฏจักรซ้อนกันอยู่ วัฏจักรหนึ่งมีคาบยาว 416 วัน ส่วนอีกวัฏจักรหนึ่งมีคาบยาวประมาณ 2,170 วัน

การศึกษาดาวยักษ์แดงมาเป็นจำนวนมากทำให้นักดาราศาสตร์ทราบดีว่าดาวฤกษ์มวลสูงที่อายุมากจนใกล้จะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาอย่างดาวเบเทลจุสจะมีการกระเพื่อมพองยุบสลับกันซึ่งทำให้ความสว่างเปลี่ยนแปลงขึ้นลง และการกระเพื่อมนี้สลัดฝุ่นแก๊สออกมาเป็นจำนวนมากปกคลุมรอบดาว กระบวนการนี้อธิบายการแปรแสงของดาวเบเทลจุสได้

อย่างไรก็ตาม การกระเพื่อมของดาวยักษ์แดงควรมีคาบอยู่ในระดับเป็นร้อยวันหรือไม่ถึงร้อยวัน จึงอธิบายได้เฉพาะการเกิดวัฏจักรคาบ 416 วันของเบเทลจุส แต่อธิบายวัฏจักรคาบ 2,170 วันของเบเทลจุสไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจนักดาราศาสตร์มานานหลายทศวรรษแล้ว


กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลมองเห็นพฤติกรรมการจามของดาวฤกษ์ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 650 ปีแสง คายพลาสมาและก๊าซจำนวนมากออกมาในขณะที่มันหดตัว จากนั้นสสารก็จะเย็นตัวลงและรวมตัวกันจนกลายเป็นเม็ดฝุ่นที่มีความหนาแน่นมากขึ้นซึ่งปิดกั้นแสงของมัน - Cr. NASA, ESA - E. Wheatley (STScI)

การกระเพื่อมของดาวถือเป็นปัจจัยภายใน เพราะเกิดจากกระบวนการภายในดาวเอง นอกจากการแปรแสงจากปัจจัยภายในแล้ว ดาวก็อาจแปรแสงได้จากปัจจัยภายนอกดาวได้อีกด้วย มีทฤษฎีหนึ่งอธิบายว่าดาวเบเทลจุสอาจมีดาวสหายอีกดวงหนึ่งโคจรรอบอยู่ เมื่อดาวสหายดวงนั้นโคจรผ่านไป ก็จะกวาดม่านฝุ่นที่ปกคลุมดาวเบเทลจุสจนเป็นโพรงชั่วขณะ เปิดช่องให้แสงจากดาวเบเทลจุสส่องมายังโลกได้มากขึ้น เมื่อดาวสหายดวงนี้โคจรผ่านมาหลายครั้งก็จะทำให้ความสว่างของดาวเบเทลจุสเปลี่ยนแปลงเป็นรายคาบได้เช่นกัน

แนวคิดเรื่องดาวเบเทลจุสมีดาวสหายไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีการเสนอขึ้นมาเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีก่อนแล้วเพื่ออธิบายถึงการแปรแสงของดาวเบเทลจุส แต่ต่อมาเมื่อการศึกษาด้านวิวัฒนาการดาวฤกษ์ก้าวหน้าขึ้น ความเข้าใจเรื่องการแปรแสงของดาวที่มีอายุมากมีมากขึ้น แนวคิดเรื่องดาวเบเทลจุสมีคู่ก็เริ่มตกไป

นักวิจัยคณะหนึ่งนำโดย จาเร็ด โกลด์เบิร์ก นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากสถาบันแฟลตไอออนได้ศึกษาดาวเบเทลจุสเพื่อหาว่ากระบวนการใดที่ทำให้เกิดวัฏจักรการแปรแสง 2,170 วันของเบเทลจุสโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกตการณ์ร่วมกับการสร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ โดยมองไปที่เหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจเป็นไปได้ เช่นกระแสความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในดาวเอง หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กเป็นรายคาบ

ในเวลาไล่เลี่ยกัน นักวิจัยอีกคณะหนึ่งนำโดย มอร์แกน แมกเคลาด์ จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์เวิร์ด-สมิทโซเนียนในเคมบริดจ์ ก็ศึกษาดาวเบเทลจุสเช่นเดียวกันโดยการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความเร็วตามแนวเล็งและตำแหน่งของดาวเบเทลจุสจากคลังข้อมูลย้อนหลังไปนับร้อยปี


ภาพดาวเบเทลจุสซ้อนกับแผนภาพที่แสดงวงโคจรของดาวเบเทลบัดดี - Cr. Lucy Reading-Ikkanda / Simons Foundation

ทั้งสองคณะแม้จะทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ให้บทสรุปตรงกันว่า ดาวเบเทลจุสมีดาวสหายหนึ่งดวงโคจรอยู่ใกล้ ๆ ทฤษฎีเก่าที่ถูกขึ้นหิ้งไปแล้วถูกหยิบมาปัดฝุ่นเพื่ออธิบายการแปรแสงของเบเทลจุสอีกครั้ง

โกลด์เบิร์กตั้งชื่อดาวฤกษ์สหายของดาวเบเทลจุสไว้ว่า เบเทลบัดดี (Betelbuddy) คาดว่าดาวเบเทลบัดดีน่าจะเป็นดาวฤกษ์แบบดวงอาทิตย์ มีมวลราวสองมวลสุริยะ โคจรรอบดาวเบเทลจุสในระยะใกล้ มีรัศมีวงโคจรใกล้เคียงกับรัศมีวงโคจรของดาวเสาร์รอบดวงอาทิตย์

นักดาราศาสตร์คณะของโกลด์เบิร์กตั้งเป้าหมายถัดไปว่าจะถ่ายภาพของเบเทลบัดดีให้ได้ เพื่อยืนยันว่าทฤษฎีดาวคู่นี้ถูกต้อง ซึ่งโอกาสที่เหมาะที่สุดครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นราววันที่ 6 ธันวาคม เมื่อดาวทั้งสองมีระยะห่างเชิงมุมมากที่สุด

ที่มา: https://thaiastro.nectec.or.th/news/5476, https://www.astronomy.com/science/betelgeuse-may-have-a-betelbuddy, https://spacenews.com/hubble-sees-red-supergiant-star-betelgeuse-slowly-recovering-after-blowing-its-top

#################################################################

ดาวดวงหนึ่งในกาแล็กซีแอนโดรเมดา หายไปและกลายเป็นหลุมดำ


ภาพประกอบนี้แสดงให้เห็นซูเปอร์โนวาที่ล้มเหลวซึ่งกลายเป็นหลุมดำโดยตรงโดยไม่มีการระเบิด - Cr. NASA/ESA/P. Jeffries (STScI)

ดาวมวลมหาศาลที่มีมวลประมาณแปดเท่าของดวงอาทิตย์มักจะระเบิดกลายเป็นซูเปอร์โนวาเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต การระเบิดเหล่านี้ทิ้งหลุมดำหรือดาวนิวตรอนไว้ และมีพลังงานมากพอที่จะส่องสว่างเหนือกาแล็กซีที่มันอยู่ได้นานหลายเดือน อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์ได้พบว่า ดาวดวงหนึ่งไม่ได้ระเบิด แต่กลับกลายเป็นหลุมดำโดยตรง งานวิจัยที่นำโดยคิชาลัย เด แห่ง MIT ชี้ให้เห็นว่าดาวที่ขาดไฮโดรเจนดวงนี้ยุบตัวลงโดยไม่มีการระเบิด

ดาวที่ค้นพบชื่อ M31-2014-DS1 ซึ่งมีมวลเริ่มต้นประมาณ 20 เท่าของดวงอาทิตย์ ส่องสว่างคงที่ในช่วงแสงอินฟราเรดกลางในปี 2014 และจางลงอย่างมากในช่วงปี 2016-2019 ในปี 2023 ดาวดวงนี้ไม่ปรากฏในภาพถ่ายแสงที่มองเห็นได้หรือนิวอินฟราเรดอีกต่อไป นักวิจัยระบุว่าดาวนี้เข้าสู่ช่วงการเผาไหม้ขั้นสุดท้ายที่มวลประมาณ 6.7 เท่าของดวงอาทิตย์ ทิ้งไว้แต่ฝุ่นรอบๆ แต่ไม่มีการปะทุของแสงตามปกติ


ภาพจำลองการระเบิดของซูเปอร์โนวาประเภท II โดยศิลปิน ซูเปอร์โนวาประเภทนี้จะระเบิดเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ใกล้จะสิ้นอายุขัยและทิ้งหลุมดำหรือดาวนิวตรอนไว้เบื้องหลัง แต่บางครั้งซูเปอร์โนวาอาจล้มเหลวในการระเบิดและยุบตัวลงในหลุมดำโดยตรง - NASA

ปกติแล้วเมื่อดาวยุบตัว แกนกลางจะเกิดกระบวนการนิวตรอนไนเซชัน โดยนิวทริโนซึ่งเป็นอนุภาคที่แทบไม่ทำปฏิกิริยากับสสารจะปล่อยพลังงานราว 10% ของมวลดาวออกมาเป็นคลื่นช็อคนิวทริโนซึ่งอาจช่วยให้เกิดการระเบิดได้ แต่ในกรณีของ M31-2014-DS1 คลื่นช็อคนิวทริโนไม่ฟื้นตัว ดาวจึงยุบตัวลงสู่แกนกลางและกลายเป็นหลุมดำ


ดาวฤกษ์ในกาแล็กซีแอนดรอเมดา (เห็นในภาพนี้ในแสงอินฟราเรดสีเทียม) ดูเหมือนจะหายไป ซึ่งอาจเป็นหลักฐานของซูเปอร์โนวาที่ล้มเหลว - Cr. JPL-Caltech/NASA, UCLA

นักวิจัยพบว่าดาว M31-2014-DS1 ปล่อยสสารออกมาในปริมาณต่ำมากกว่าที่ซูเปอร์โนวาปกติจะปล่อยออกมา การคำนวณแสดงว่าสสารประมาณ 98% ของดาวหรือราว 6.5 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ยุบตัวเป็นหลุมดำ ซึ่งสูงเกินขีดจำกัดของมวลที่จะเป็นดาวนิวตรอน

M31-2014-DS1 ไม่ใช่ซูเปอร์โนวาที่ล้มเหลวเพียงดวงเดียวที่พบ ในปี 2009 นักดาราศาสตร์ค้นพบซูเปอร์โนวาที่ล้มเหลวที่ยืนยันได้เพียงดวงเดียวคือ N6946-BH1 ในกาแล็กซี NGC 6946 ที่มีมวลประมาณ 25 เท่าของดวงอาทิตย์ โดยสังเกตได้ว่าแสงอินฟราเรดจางลงจนมองไม่เห็นในช่วงแสงที่มองเห็น

การสำรวจด้วยกล้อง Large Binocular Telescope พบว่าดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ประมาณ 20-30% อาจจบชีวิตลงด้วยการล้มเหลวในการระเบิด แม้จะมีหลักฐานที่เป็นไปได้มากมาย แต่นักดาราศาสตร์ยืนยันได้เพียงสองกรณีคือ M31-2014-DS1 และ N6946-BH1

ที่มา: https://www.universetoday.com/169204/a-star-disappeared-in-andromeda-replaced-by-a-black-hole, https://www.sciencenews.org/article/star-disappeared-failed-supernova

#################################################################

นักวิทยาศาสตร์เผยว่า ในอนาคตอาจมีการทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อยเพื่อผลิตอาหารให้แก่นักบินอวกาศ


ยานสำรวจ ฮายาบูสะ 2 (Hayabusa 2) ของญี่ปุ่นเดินทางไปยัง ดาวเคราะห์น้อยริวงู (Ryugu) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 300 ล้านกิโลเมตร ยานสำรวจนี้ได้ทำการเก็บตัวอย่างหินและดินจากพื้นผิวและใต้ผิวของริวงู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินที่อยู่ใต้พื้นผิวซึ่งไม่เคยสัมผัสกับอวกาศภายนอกมาก่อน - Cr. JAXA

วัสดุที่เก็บเกี่ยวจากดาวเคราะห์น้อยอาจถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนนักบินอวกาศในภารกิจระยะยาวในอวกาศได้

นักวิจัยจากสถาบันสำรวจโลกและอวกาศของมหาวิทยาลัย Western ได้ค้นพบวิธีในการผลิต "ไบโอแมส" ซึ่งก็คืออาหาร โดยใช้จุลินทรีย์และสารอินทรีย์ที่พบในดาวเคราะห์น้อย วิธีการที่พวกเขานำเสนอช่วยแก้ปัญหาการจัดเตรียมอาหารสำหรับภารกิจสำรวจอวกาศที่อาจไกลถึงขอบเขตของระบบสุริยะ หรืออาจไกลกว่านั้น


ตัวอย่างวัสดุที่เก็บมาจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู - Cr. AFP/Handout/NASA TV

“เพื่อสำรวจระบบสุริยะอย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องลดการพึ่งพาการส่งเสบียงจากโลก” นักวิจัยกล่าวในงานวิจัยซึ่งนำโดย เอริก พิลเลส

ปัจจุบัน ลูกเรือบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พึ่งพาภารกิจส่งเสบียงจากโลก ซึ่งมีต้นทุนสูงและซับซ้อนทางโลจิสติกส์ การปลูกพืชในอวกาศแม้จะเป็นไปได้ แต่ก็ซับซ้อนเช่นกัน นักวิจัยจึงเสนอแหล่งอาหารจากท้องถิ่นในอวกาศ นั่นก็คือ ดาวเคราะห์น้อย

วิธีการนี้ต้องใช้ความร้อนสูงเพื่อทำลายสารอินทรีย์ในดาวเคราะห์น้อยในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า "ไพโรไลซิส" สารไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากกระบวนการนี้จะถูกนำไปใช้เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ซึ่งจะย่อยสลายสารอินทรีย์และผลิตไบโอแมสที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับมนุษย์


ดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Asteroid Bennu) เป็น "กองเศษหิน" กองเศษวัสดุที่เหลือจากการสร้างดาวเคราะห์ - Cr. NASA/Goddard/University of Arizona

การวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่ดาวเคราะห์น้อยประเภทคาร์บอนนาเซียส คอนไดรต์ ซึ่งมีน้ำถึง 10.5% และมีปริมาณสารอินทรีย์สูง เช่น ดาวเคราะห์น้อย Bennu ซึ่งยาน OSIRIS-REx ของนาซาเคยเก็บตัวอย่างไว้ในปี 2018 และส่งกลับมายังโลกในเดือนกันยายนปี 2023 เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำงานกับตัวอย่างจริง นักวิจัยได้คำนวณศักยภาพของผลผลิตอาหารที่สามารถสร้างได้ด้วยวิธีที่เสนอ และประเมินปริมาณวัสดุที่ต้องใช้จากดาวเคราะห์น้อยเพื่อให้ได้ปริมาณอาหารที่เพียงพอ

โดยสรุป นักวิจัยคาดว่าดาวเคราะห์น้อยอย่าง Bennu อาจถูกใช้เพื่อผลิตไบโอแมสที่รับประทานได้ประมาณ 50 ถึง 6,550 เมตริกตัน ซึ่งมีปริมาณแคลอรีพอที่จะสนับสนุนชีวิตนักบินอวกาศได้ระหว่าง 600 ถึง 17,000 ปี ชีวิตนักบินอวกาศ (ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารอินทรีย์ที่สามารถแปลงเป็นอาหารได้ทั้งหมด)


ผลงานภาพประกอบ ยานอวกาศโอซิริส-เร็กซ์ใช้เวลาสองปีในการทำแผนที่ดาวเบนนูก่อนที่จะเก็บตัวอย่างได้ - Cr. NASA

ดังนั้น การทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อยอาจเปลี่ยนแปลงการเดินทางในอวกาศระยะยาวได้อย่างสิ้นเชิง โดยทำให้นักบินอวกาศสามารถพึ่งพาอาหารที่หาได้ในท้องถิ่นแทนการขนส่งเสบียงจำนวนมากจากโลก อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการขุดและการแปรรูปดาวเคราะห์น้อย และตรวจสอบว่าอาหารที่ได้เหมาะสมและน่ารับประทานหรือไม่

“จากผลการศึกษานี้ วิธีการใช้คาร์บอนในดาวเคราะห์น้อยเพื่อเป็นแหล่งอาหารแบบกระจายสำหรับมนุษย์ที่สำรวจระบบสุริยะดูมีศักยภาพ แต่ยังต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมในหลายด้าน” นักวิจัยกล่าว

ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมในวารสาร International Journal of Astrobiology


ดาวเคราะห์น้อย เบนนู (Bennu) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 500 เมตร (0.5 กิโลเมตร) และมีรูปร่างเป็นทรงคล้ายเพชร เบนนูเป็นดาวเคราะห์น้อยประเภทคาร์บอนที่มีอายุยาวนานกว่า 4.5 พันล้านปี ซึ่งอาจบรรจุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะ มันถูกสำรวจโดยยาน OSIRIS-REx ของนาซา ซึ่งได้เก็บตัวอย่างหินและฝุ่นจากพื้นผิวของมันกลับมายังโลกในปี 2023 ด้วยมวลประมาณ 70,500 ตัน ทำให้เบนนูมีแรงโน้มถ่วงต่ำมาก ส่งผลให้วัสดุต่างๆ บนพื้นผิวมีการเคลื่อนไหวง่าย - Cr. NASA - JAXA

ที่มา: https://www.space.com/mining-asteroids-food-deep-space-missions, https://www.cambridge.org/core/journals/international-journal-of-astrobiology/article/how-we-can-mine-asteroids-for-space-food/9EF3C4FA6F32368D09994EB7910C7035

#################################################################

SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Starlink จำนวน 24 ดวง จากฟลอริดาในวันนี้


จรวด SpaceX Falcon 9 ปล่อยดาวเทียม Starlink จำนวน 23 ดวงขึ้นสู่วงโคจรจากฟลอริดาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2024 - Cr. SpaceX

SpaceX มีแผนจะปล่อยดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Starlink เพิ่มเติมอีก 24 ดวงจากชายฝั่งอวกาศของรัฐฟลอริดาในวันนี้ (10 พฤศจิกายน)

จรวด Falcon 9 ที่บรรทุกดาวเทียม Starlink มีกำหนดปล่อยตัวจากสถานีอวกาศ Cape Canaveral Space Force ในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 16:28 น. ตามเวลามาตรฐานฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (หรือ 20:28 น. GMT)

สามารถรับชมการถ่ายทอดสดการปล่อยจรวดผ่าน X (ทวิตเตอร์เดิม) โดยเริ่มการถ่ายทอดประมาณ 5 นาทีก่อนการปล่อยตัว ***เมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยจะตรงกับ ตี 04:28 น. ของเช้าวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ขั้นตอนแรกของจรวด Falcon 9 จะกลับมาสู่โลกและลงจอดในแนวตั้งบนโดรนชิปชื่อ "A Shortfall of Gravitas" ซึ่งจะจอดรออยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ประมาณ 8 นาทีหลังจากที่ปล่อยตัว


จรวด SpaceX Falcon 9 ปล่อยดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Starlink จำนวน 20 ดวงขึ้นสู่วงโคจรจากฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์กของแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2024 - Cr. SpaceX via X

การปล่อยครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 12 ของจรวดบูสเตอร์นี้ที่ทำภารกิจปล่อยและลงจอด โดยจากภารกิจทั้งหมด 11 ครั้งก่อนหน้านี้ มี 5 ครั้งที่เป็นภารกิจปล่อยดาวเทียม Starlink

ส่วนขั้นตอนที่สองของจรวด Falcon 9 จะยังคงพาดาวเทียม Starlink ทั้ง 24 ดวงไปยังวงโคจรต่ำของโลก (LEO) และจะปล่อยดาวเทียมออกสู่วงโคจรนั้นประมาณ 65 นาทีหลังจากการปล่อยตัว

การปล่อยจรวดในวันนี้เป็นการติดตามภารกิจ Starlink อีกภารกิจหนึ่งที่เพิ่งถูกปล่อยจากฐานทัพอวกาศ Vandenberg ในแคลิฟอร์เนียช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 พฤศจิกายน)


SpaceX ได้ทำการส่งดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Starlink จำนวน 20 ดวงจากแคลิฟอร์เนียเมื่อเช้าตรู่ของวันเสาร์ (9 พ.ย.) - SpaceX

ที่มา: https://www.space.com/spacex-starlink-launch-group-6-69, https://www.space.com/space-exploration/launches-spacecraft/spacex-launching-20-starlink-satellites-early-nov-7-on-2nd-half-of-doubleheader, https://twitter.com/spacex

############################################################



จรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้ทำการปล่อยดาวเทียมโทรคมนาคม KoreaSat-6A จากศูนย์อวกาศเคนเนดี (KSC) ของ NASA ในฟลอริดา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 เวลา 12:07 น. EST (1607 GMT)

จรวดดังกล่าวทำลายสถิติการนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยการปล่อยและลงจอดเป็นครั้งที่ 23

เครดิต: SpaceX https://twitter.com/spacex
แก้ไขล่าสุดโดย SureShot เมื่อ Tue Nov 12, 2024 17:16, ทั้งหมด 3 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: นักยิงนกตกปลาในตำนาน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Nov 2009
ตอบ: 302
ที่อยู่: เชียงราย
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2024 09:49
[RE: นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร]
ยาวมากกกกก
เดี๋ยวมาอ่านอีกที
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 09 Jul 2009
ตอบ: 226
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2024 10:03
นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร
มีใครช่วยสรุปใจความให้ผมหน่อยได้ไหมครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: INVU https://www.youtube.com/watch?v=k0Kg8gYC3R0
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Dec 2007
ตอบ: 11992
ที่อยู่: เชียงใหม่
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2024 22:38
[RE: นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร]
alohahaa พิมพ์ว่า:
มีใครช่วยสรุปใจความให้ผมหน่อยได้ไหมครับ  

มี 6 ข่าว ครับ

1. เหตุผลที่อินเดียส่งยานอวกาศได้ในราคาถูกกว่างบทำหนังฮอลลีวู้ดบางเรื่อง สรุปว่าคุมต้นทุนสุดฤทธิ์ เน้นทดสอบของจริง ทำโปรโตไทป์ไม่กี่ครั้งเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เอาของที่เคยใช้หรือเหลือในโครงการอื่นมาใช้ใหม่ได้ ค่าแรงราคาถูกมาก และรัฐบาลให้ทุนอุดหนุนเต็มที่
2. พบดาวเคราะห์โคจรรอบ ดาวบาร์นาร์ด ดาวฤกษ์ดวงเดียวที่ใกล้ระบบสุริยะที่สุด ตั้งชื่อว่า บาร์นาร์ด-บี เป็นดาวเคราะห์หิน และคาดว่าจะมีดาวเคราะห์อื่นโคจรรอบดาวบาร์นาร์ดอีก
3. นักวิจัยเชื่อว่า ดาวบีเทลจุส ซึ่งเป็นดาวแปรแสงขนาดมหึมา อยู่ในตำแหน่งขาซ้ายของกลุ่มดาวเต่า มีคาบโคจรสองแบบ (416 วัน และ 2170 วัน) อาจเป็นระบบดาวคู่ ซึ่งหากเป็นจริง จะสามารถอธิบายคาบโคจร 2170 วัน ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ ต้องดูการถ่ายภาพที่จะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด 6 ธ.ค.นี้ก่อน
4. ดาวฤกษ์ M31-2014-DS1 ในแกแล็กซี่แอนโดรเมดรา ยุบตัวกลายเป็นหลุมดำโดยไม่ผ่านการเป็นซูเปอร์โนวา
5. นักวิจัยเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการ "ทำเหมืองผลิตอาหาร" จากดาวเคราะห์น้อยประเภทเดียวกับ ดาวเคราะห์เบนนู (คาร์บอนนาเซียส คอนไดรต์ คือเป็นคาร์บอนเกาะตัวหลวม ๆ) เพราะมีสารอินทรีย์และน้ำมากพอจะเตรียมเป็นอาหารได้ ถ้าทำได้จริงจะประหยัดต้นทุนการผลิตอาหารได้มาก
6. สเปซเอ็กซ์ ปล่อยดาวเทียมสตาร์ลิงก์ 24 ดวง ที่ฟลอริดา เมื่อ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา
แก้ไขล่าสุดโดย pepino เมื่อ Mon Nov 11, 2024 22:42, ทั้งหมด 1 ครั้ง
6
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: INVU https://www.youtube.com/watch?v=k0Kg8gYC3R0
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Dec 2007
ตอบ: 11992
ที่อยู่: เชียงใหม่
โพสเมื่อ: Mon Nov 11, 2024 22:42
[RE: นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร]
พูดถึงโครงการอวกาศอินเดีย

เอาจริงก็ท้าทาย คุมต้นทุนสุดฤทธิ์ ด้วยวิธีนี้ทำให้ใช้เงินน้อย แต่ความเสี่ยงล้มเหลวก็มากเช่นกัน
คนละแนวคิดกับนาซ่าที่ยึดหลัก ดีสุด พร้อมสุด ปลอดภัยสุด เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่งบยังไม่ทะลุเพดานที่วางไว้

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: ชีวิต..ติดแกลบ
: 1 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 May 2020
ตอบ: 6732
ที่อยู่: ดาวโลก
โพสเมื่อ: Tue Nov 12, 2024 01:45
[RE: นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร]
ขอบคุณท่าน​ pepino ครับ

อันที่จริงย่อ3ข่าวกับลงเต็ม3ข่าวครับ​
กลัวจะยาวไปเหมือนกัน 55
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Aug 2009
ตอบ: 2630
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Nov 13, 2024 15:37
[RE: นักบินอวกาศ อาจกินดาวเคราะห์น้อยเป็นอาหาร]
จากการไปอินเดียมากกว่าห้าสิบครั้งในช่วงชีวิต
ถ้าเงินพวกนี้นำมาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรได้
จะมีอีกหลายล้านคน ได้เติบโดขึ้นมากอย่างสะดวกสบายมากกว่านี้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel