ฝีมือมนุษย์อีกแล้ว ทำ “วัฏจักรน้ำเสียสมดุล” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
Cracks run through the partially dried-up river bed of the Gan River, during a drought in Nanchang, Jiangxi province, China, August 28, 2022. Thomas Peter/Reuters
รายงานใหม่ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจโลกด้านเศรษฐศาสตร์ของน้ำ ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 16 ต.ค. ระบุว่า มนุษย์ได้ทำให้วัฏจักรน้ำ (Water Cycle) ของโลกเสียสมดุล
“เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางน้ำมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดหายนะต่อเศรษฐกิจ การผลิตอาหาร และชีวิตความเป็นอยู่
รายงานระบุว่า การใช้ที่ดินแบบทำลายล้างและการจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมมาหลายทศวรรษผนวกกับวิกฤตสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้ทำให้เกิด
“ความเครียดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ต่อวัฏจักรน้ำของโลก
Graphic showing the movement of "green water" and "blue water" in the global water cycle. Global Commission on the Economics of Water
วัฏจักรน้ำหมายถึงระบบที่ซับซ้อนซึ่งทำให้น้ำหมุนเวียนอยู่รอบโลกในสภาวะต่าง ๆ เริ่มจากน้ำระเหยจากพื้นดิน ทะเลสาบ แม่น้ำ และพืช แล้วลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก่อตัวเป็นไอน้ำที่สามารถเดินทางเป็นระยะทางไกลได้ ก่อนจะเย็นตัวลง ควบแน่น และในที่สุดก็ตกลงสู่พื้นดินในรูปของฝนหรือหิมะ
การหยุดชะงักของวัฏจักรน้ำจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนเกือบ 3 พันล้านคนที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ พืชผลกำลังเหี่ยวเฉาและเมืองต่าง ๆ กำลังจมลงเนื่องจากน้ำใต้ดินกำลังแห้งเหือด
A boat on the Rio Negro in Manaus, Brazil, on October 9, 2024, as the river reached its lowest level on record during the most intense and widespread drought the country has experienced since 1950. Bruno Kelly/Reuters
ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งขึ้นหากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน วิกฤติน้ำคุกคามผลผลิตอาหารทั่วโลกมากกว่า 50% และมีความเสี่ยงที่จะทำให้ GDP ของประเทศต่าง ๆ ลดลงโดยเฉลี่ย 8% ภายในปี 2050 โดยประเทศที่มีรายได้น้อยอาจสูญเสีย GDP มากถึง 15%
โยฮัน ร็อกสตรอม ประธานร่วมของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจน้ำระดับโลก และผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า
“เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เรากำลังผลักดันให้วัฏจักรน้ำของโลกไม่สมดุล ฝนซึ่งเป็นแหล่งที่มาของน้ำจืดทั้งหมดนั้นไม่สามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป”
รายงานดังกล่าวได้แยกน้ำในวัฏจักรเป็น
“น้ำสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นน้ำเหลวในทะเลสาบ แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน กับ
“น้ำสีเขียว” ซึ่งเป็นความชื้นที่กักเก็บไว้ในดินและพืช
แม้ว่าน้ำสีเขียวจะถูกมองข้ามมานาน แต่รายงานระบุว่าน้ำสีเขียวก็มีความสำคัญต่อวัฏจักรของน้ำเช่นกัน เนื่องจากน้ำจะกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศเมื่อพืชปล่อยไอน้ำออกมา ซึ่งก่อให้เกิดฝนตกประมาณครึ่งหนึ่งบนพื้นดิน
รายงานระบุว่า การหยุดชะงักของวัฏจักรน้ำมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Dead almond trees removed by a farmer because of a lack of water to irrigate them, in drought-stricken Huron, California, on July 23, 2021. Robyn Beck/AFP/Getty Images
การมีน้ำสีเขียวในปริมาณที่สม่ำเสมอมีความสำคัญต่อการหล่อเลี้ยงพืชพรรณที่สามารถกักเก็บคาร์บอนที่ทำให้โลกร้อนขึ้นได้ แต่ความเสียหายที่มนุษย์ก่อขึ้น เช่น การทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำและการทำลายป่า ทำให้แหล่งดูดซับคาร์บอนเหล่านี้ลดลงและเร่งให้โลกร้อนขึ้น
ในทางกลับกัน ความร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ภูมิประเทศแห้งแล้ง ลดความชื้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
วิกฤตการณ์นี้มีความเร่งด่วนมากขึ้นเนื่องจากมีความต้องการน้ำในปริมาณมหาศาล รายงานดังกล่าวคำนวณว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนต้องการน้ำอย่างน้อย 4,000 ลิตรต่อวันเพื่อการใช้ชีวิตที่ดี ซึ่งสูงกว่าที่สหประชาชาติระบุไว้ที่ 50-100 ลิตรสำหรับความต้องการพื้นฐาน และมากกว่าที่ภูมิภาคส่วนใหญ่สามารถจัดหาได้จากแหล่งน้ำในท้องถิ่น
ผู้เขียนรายงานระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกต้องยอมรับว่า วัฏจักรน้ำเป็น
“ผลประโยชน์ร่วมกัน” และต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ ประเทศต่าง ๆ ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่ผ่านทะเลสาบและแม่น้ำที่ทอดข้ามพรมแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำในชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจในประเทศหนึ่งอาจขัดขวางฝนที่ตกในอีกประเทศหนึ่งได้
รายงานยังเรียกร้องให้มีการ
“ปรับเปลี่ยนระบบพื้นฐานเกี่ยวกับตำแหน่งที่น้ำอยู่ในระบบเศรษฐกิจ” รวมถึงการกำหนดราคาเพื่อป้องกันการสิ้นเปลือง และแนวโน้มที่จะปลูกพืชและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้น้ำ เช่น ศูนย์ข้อมูลดาต้าเซนเตอร์ ในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ
ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news,
https://edition.cnn.com/2024/10/16/climate/global-water-cycle-off-balance-food-production/index.html
##########################################################
10 ประเทศที่มีแหล่งน้ำจืดอุดมสมบูรณ์ และแนวทางการอนุรักษ์น้ำของแต่ละประเทศ
แม่น้ำโขงที่ บ้านปากโสม ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย
อันดับ ประมาณที่ 36-40 ประเทศไทย มีปริมาณน้ำจืดที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ โดยมีน้ำจืดประมาณ 438 ลูกบาศก์กิโลเมตร (km³) ต่อปี อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงประสบปัญหาในการจัดการทรัพยากรน้ำในบางภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่ทำให้บางพื้นที่ขาดแคลนน้ำ
The Orinoco Delta is part of the Orinoco River, one of South America's longest rivers, stretching about 2,140 kilometers (1,330 miles). The delta itself covers a vast area, creating a rich mosaic of waterways, forests, and swamps as the river flows toward the Atlantic Ocean
10. เวเนซุเอลา มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 1,233 km³ ต่อปี โดยมีแม่น้ำโอรีโนโคเป็นแหล่งน้ำหลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ การอนุรักษ์น้ำในเวเนซุเอลาเน้นการฟื้นฟูระบบนิเวศและการใช้ระบบชลประทานที่ลดการสูญเสียน้ำ
The Mamberamo, one of Indonesia’s largest rivers, has long been the target of hydropower development plans, though not without controversy. Photo by: Benfrizsmalau via Wikimedia Commons
9. อินโดนีเซีย มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 2,019 km³ ต่อปี จากแม่น้ำและทะเลสาบหลายต่างๆมากมาย การอนุรักษ์น้ำในอินโดนีเซียเน้นการปกป้องป่าชายเลนและระบบนิเวศทางน้ำที่สำคัญ และการจัดการน้ำเสียอย่างยั่งยืน
Africa's Congo River claims many titles, including being home to the highest number of unique species in the world
8. คองโก มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 1,283 km³ ต่อปี จากแม่น้ำคองโก แม่น้ำคองโกเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งน้ำจืดสำคัญสำหรับประเทศแถบแอฟริกากลาง การอนุรักษ์น้ำในคองโกเน้นการจัดการป่าไม้และการลดการทำลายแหล่งน้ำธรรมชาติ
Peru’s Amazon rainforest is part of the greater Amazon basin, with the Amazon River itself stretching over 6,400 kilometers (4,000 miles) from its source in the Peruvian Andes to the Atlantic Ocean. In Peru, the river covers over 1,500 kilometers (930 miles) before flowing into neighboring Brazil
7. เปรู มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 1,913 km³ ต่อปี โดยแม่น้ำแอมะซอนที่ไหลผ่านประเทศเป็นแหล่งน้ำจืดใหญ่ เปรูมีลุ่มน้ำแอมะซอนที่เป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ การอนุรักษ์น้ำในเปรูเน้นการปกป้องลุ่มน้ำจากการตัดไม้ทำลายป่า และการจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทานเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ
Emerging from the Gangotri Glacier in the Uttarakhand region, the Ganga River, also known as the “Ganges,” is the longest river in India, stretching an impressive 2,525 kilometers
6. อินเดีย มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 1,911 km³ ต่อปี โดยแม่น้ำคงคาและสินธุเป็นแหล่งสำคัญ แม่น้ำคงคาและสินธุช่วยสนับสนุนการเกษตรและการอุปโภคบริโภคในอินเดีย การอนุรักษ์น้ำในอินเดียรวมถึงการส่งเสริมการเก็บน้ำฝน การปรับปรุงระบบชลประทาน และการฟื้นฟูแหล่งน้ำบาดาล
The River Yangtze is the longest river in China. In fact, it is the longest river in Asia and the third longest in the world with a length of 6,303.78 kilometers
5. จีน มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 2,840 km³ ต่อปี โดยแม่น้ำแยงซีเป็นแหล่งน้ำสำคัญ แม้ว่าจีนจะมีบางภูมิภาคที่เผชิญกับการขาดแคลนน้ำ แต่ลุ่มแม่น้ำแยงซีและฮวงโหยังคงเป็นแหล่งน้ำสำคัญ การอนุรักษ์น้ำในจีนรวมถึงการสร้างเขื่อนและระบบชลประทานขนาดใหญ่เพื่อลดการสูญเสียน้ำ และการปลูกป่าเพื่อลดการกัดเซาะ
It’s known as the “Big Muddy” and “Mighty Mo”, and indeed, the Missouri River is considered the longest North American river of all. It flows east and south for over 2,340 miles (3,765.86 kilometers) from its source in the Rocky Mountains of Montana to its confluence with the Mississippi River in St. Louis, Missouri
4. สหรัฐอเมริกา มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 2,478 km³ ต่อปี ส่วนใหญ่จากแม่น้ำมิสซิสซิปปีและระบบทะเลสาบ แม่น้ำมิสซิสซิปปีและ Great Lakes ทำให้สหรัฐฯ มีแหล่งน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ การอนุรักษ์น้ำในสหรัฐฯ มุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเก็บน้ำฝน การบำบัดน้ำเสีย และการฟื้นฟูแม่น้ำที่ถูกทำลาย
The Great Lakes seen from NASA's Aqua satellite. From left to right: Lake Superior, Michigan, Huron, Erie, Ontario
3. แคนาดา มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 2,850 km³ ต่อปี มาจากทะเลสาบและแม่น้ำต่าง ๆ รวมถึง Great Lakes แคนาดามีระบบแม่น้ำและทะเลสาบที่เชื่อมต่อกัน เช่น Great Lakes การอนุรักษ์น้ำในแคนาดาใช้การจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืนและการควบคุมการใช้ทรัพยากรน้ำสำหรับอุตสาหกรรมที่เข้มงวด
As well as being the world’s deepest freshwater lake, at 25 million-years-old southern Siberia’s Lake Baikal is also the world’s most ancient
2. รัสเซีย มีปริมาณน้ำจืดประมาณ 4,508 km³ ต่อปี โดยทะเลสาบไบคาลเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุด รัสเซียมีทะเลสาบไบคาล ซึ่งมีน้ำจืดปริมาณมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ รัสเซียยังมีแม่น้ำวอลกาและลุ่มน้ำอื่นๆ ที่สำคัญ การอนุรักษ์น้ำในรัสเซียเน้นการปกป้องแหล่งน้ำจากมลพิษอุตสาหกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดน้ำในการผลิต
The Amazon River in Brazil is a crucial part of the world's largest rainforest, covering nearly 60% of the country. Flowing through dense tropical forests, it spans over 4,000 miles (6,400 kilometers), making Brazil home to the river's most extensive portion
1. บราซิล มีปริมาณน้ำจืดมากที่สุดในโลก ด้วยปริมาณประมาณ 8,233 km³ ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่มาจากลุ่มแม่น้ำอเมซอน บราซิลมีแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีทะเลสาบและลุ่มน้ำมากมายที่อุดมสมบูรณ์ การอนุรักษ์น้ำในบราซิลรวมถึงการฟื้นฟูป่าฝนเขตร้อน ซึ่งช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำ รวมทั้งการพัฒนาระบบชลประทานที่ใช้เทคโนโลยีประหยัดน้ำ
อ้างอิง: https://www.fao.org/water/en,
https://www.unwater.org,
,
https://water.org,
https://www.worldbank.org/en/topic/water
##########################################################
12 ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับแม่น้ำอเมซอน
The mighty Amazon River has the largest volume of freshwater of any river in the world ©. Ricardo Lima / Getty Images
แม่น้ำอเมซอนแตกต่างจากแม่น้ำอื่น ๆ บนโลกอย่างมาก ปริมาณน้ำมหาศาลของมันช่วยหล่อเลี้ยงป่าอเมซอนข้างเคียง ทำให้ไม่สามารถสร้างสะพานข้ามได้ และยังส่งผลต่อการเพิ่มระดับความสูงของมหาสมุทรในทะเลแคริบเบียน
นอกจากบทบาทของแม่น้ำอเมซอนในฐานะแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของโลกแล้ว ประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยา สัตว์ป่าที่เป็นเอกลักษณ์ และผลกระทบต่อประวัติศาสตร์มนุษย์ยังทำให้แม่น้ำแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุดบนโลก
1. แม่น้ำอเมซอนเคยไหลไปในทิศทางตรงกันข้าม
เมื่อประมาณ 65 ถึง 145 ล้านปีก่อน แม่น้ำอเมซอนเคยไหลไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นทิศทางตรงข้ามกับที่ไหลในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นปากแม่น้ำอเมซอนในปัจจุบันเคยเป็นที่ราบสูงซึ่งทำให้แม่น้ำไหลไปทางตะวันตก แต่การเกิดขึ้นของเทือกเขาแอนดีสทางตะวันตกทำให้แม่น้ำอเมซอนต้องเปลี่ยนทิศทางการไหล
Contribution Of The Amazon River Discharge To Regional Sea Level In The Tropical Atlantic Ocean ©. CIFOR / Flickr / CC BY-NC-ND 2.0
2. เป็นแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดในโลก
แม่น้ำอเมซอนมีปริมาณน้ำจืดมากที่สุดในโลก โดยแม่น้ำจะปล่อยน้ำจืดประมาณ 200,000 ลิตรลงสู่มหาสมุทรในทุกวินาที ปริมาณน้ำจืดนี้คิดเป็นเกือบ 20% ของน้ำทั้งหมดจากแม่น้ำทั่วโลกที่ไหลลงสู่ทะเล
3. เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของโลก
ด้วยความยาวประมาณ 4,000 ไมล์ แม่น้ำอเมซอนเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของโลก ความยาวของแม่น้ำอเมซอนเป็นรองเพียงแม่น้ำไนล์ที่ยาว 4,132 ไมล์ ส่วนแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับถัดไปคือแม่น้ำแยงซี ซึ่งสั้นกว่าแม่น้ำอเมซอนเพียงประมาณ 85 ไมล์
4. ส่งผลต่อระดับน้ำทะเลในทะเลแคริบเบียน
แม่น้ำอเมซอนปล่อยน้ำจืดลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกในปริมาณมากจนทำให้ระดับน้ำในทะเลแคริบเบียนเปลี่ยนแปลง น้ำจืดจากปากแม่น้ำอเมซอนจะถูกกระแสน้ำแคริบเบียนพัดพาไปยังหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน โดยแบบจำลองคาดการณ์ว่าเพียงแม่น้ำอเมซอนเพียงอย่างเดียวทำให้ระดับน้ำทะเลในบริเวณทะเลแคริบเบียนสูงขึ้นประมาณ 3 เซนติเมตร
The Amazon River dolphin is one of just a few river dolphins on Earth ©. Michel VIARD / Getty Images
5. บ้านของโลมาแม่น้ำอเมซอน
โลมาแม่น้ำอเมซอน (Inia geoffrensis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โลมาแม่น้ำสีชมพู หรือ โบโต เป็นหนึ่งในสี่ชนิดของ "โลมาแม่น้ำแท้" ซึ่งแตกต่างจากโลมาที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร โลมาเหล่านี้อาศัยอยู่เฉพาะในแหล่งน้ำจืดเท่านั้น จากการค้นพบฟอสซิลโลมาในแอ่งพิสโกของเปรู คาดว่าโลมาแม่น้ำอเมซอนมีวิวัฒนาการมาประมาณ 18 ล้านปีแล้ว
แม้ว่าโลมาแม่น้ำอเมซอนจะยังพบได้มากในน้ำของแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโอรีโนโค แต่ปัจจุบันถือเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากประชากรลดลงอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์หลายประการ
ประชากรของโลมาแม่น้ำอเมซอนถูกกระทบอย่างหนักจากการสร้างเขื่อนและมลพิษในแม่น้ำอเมซอน นอกจากนี้ โลมายังถูกฆ่าโดยชาวประมงเพื่อนำไปใช้เป็นเหยื่อล่าปลาสลิดดุกยักษ์ (capaz catfish) และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวประมงได้เปลี่ยนไปจับปลาสายพันธุ์ mota (Calophysus macropterus) ซึ่งถูกดึงดูดได้ง่ายโดยใช้เหยื่อจากโลมาแม่น้ำอเมซอน
The dorado catfish swims more than 7,200 miles, making it the world champion of freshwater fish migration ©. Michael Goulding
6. ปลาดุกโดราโดก็อาศัยอยู่ที่นี่
ปลาดุกโดราโด (Brachyplatystome rousseauxii) เป็นหนึ่งในหกชนิดของปลาดุกยักษ์ที่พบในแม่น้ำอเมซอน เช่นเดียวกับปลาดุก capaz และ mota ปลาดุกยักษ์เป็นสายพันธุ์ที่มีความสำคัญทางการค้า โดยเฉพาะปลาดุกโดราโดถือเป็นหนึ่งในปลาดุกที่สำคัญที่สุดในแม่น้ำอเมซอน ปลาดุกโดราโดสามารถเติบโตยาวกว่า 6 ฟุต และสามารถอพยพได้ไกลถึง 7,200 ไมล์ เพื่อให้ครบวงจรชีวิตของมัน
7. ได้ชื่อมาจากตำนานกรีก
แม่น้ำอเมซอนและป่าอเมซอนได้รับการตั้งชื่อตามกลุ่มนักรบหญิงในตำนานกรีก โดย ฟรานซิสโก เดอ โอเรยานา นักสำรวจชาวยุโรปคนแรกที่มาถึงพื้นที่นี้ หลังจากที่เขาปะทะกับชนเผ่าพื้นเมือง Pira-tapuya ซึ่งผู้ชายและผู้หญิงของเผ่าได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน
ตามตำนานกรีก "อะเมซอน" คือกลุ่มนักรบหญิงเร่ร่อนที่เคยอาศัยอยู่รอบทะเลดำ แม้จะเป็นเรื่องที่บางส่วนแต่งขึ้น แต่ตำนานนี้อิงจากชาว ไซเธียน ที่มีความชำนาญในการขี่ม้าและยิงธนู ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ชาวไซเธียนไม่ใช่สังคมของผู้หญิงล้วน แต่ผู้หญิงในสังคมไซเธียนมีบทบาทในการล่าสัตว์และการสู้รบร่วมกับผู้ชาย
จากตำนานนี้ คาดว่าโอเรยานาได้ตั้งชื่อแม่น้ำว่า "อเมซอน" หลังจากที่ได้ต่อสู้กับชนเผ่า Pira-tapuya และเปรียบผู้หญิงในเผ่ากับนักรบอะเมซอนในตำนานกรีก
8. ครอบครัวหนึ่งพายเรือแคนูจากแคนาดามายังแม่น้ำอเมซอน
ในปี 1980 ดอน สตาร์เคลล์ และลูกชายสองคนของเขา ดานา และ เจฟฟ์ ได้ออกเดินทางจากเมืองวินนิเพก ประเทศแคนาดา ด้วยเรือแคนูมุ่งหน้าสู่แม่น้ำอเมซอน เจฟฟ์ยอมแพ้และเลิกเดินทางเมื่อถึงเม็กซิโก แต่ดอนและดานายังคงเดินทางต่อไป และเกือบสองปีต่อมา พวกเขาก็ไปถึงแม่น้ำอเมซอน โดยพายเรือแคนูเป็นระยะทางกว่า 12,000 ไมล์
9. มีเขื่อนมากกว่า 100 แห่ง
จากการศึกษาปี 2018 พบว่าบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำอเมซอนในเทือกเขาแอนดีสมีเขื่อนทั้งหมด 142 แห่ง และยังมีข้อเสนอให้สร้างเพิ่มอีก 160 แห่ง เขื่อนเหล่านี้ผลิตไฟฟ้าในรูปแบบพลังงานน้ำ แต่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำอเมซอน ชาวประมงในบริเวณแม่น้ำมาเดย์รา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำอเมซอนในบราซิล รายงานถึงผลกระทบด้านลบต่อจำนวนปลาที่ลดลง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิดจากการติดตั้งเขื่อนพลังงานน้ำ
A speed boat is the only means of transport across the river ©. Ramesh Thadani / Getty Images
10. ไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำอเมซอน
ผู้คนกว่า 10 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอเมซอนสามารถข้ามแม่น้ำได้เพียงทางเรือเท่านั้น สาเหตุหลักที่ไม่มีสะพานเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลของแม่น้ำอเมซอน ในช่วงฤดูฝน ระดับน้ำของแม่น้ำอาจสูงขึ้นกว่า 30 ฟุต ทำให้ความกว้างของแม่น้ำเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในบางพื้นที่
ตลิ่งแม่น้ำอเมซอนซึ่งอ่อนตัวลงจากการกัดเซาะในช่วงน้ำท่วม ทำให้พื้นที่ที่เคยมั่นคงกลายเป็นที่ราบน้ำท่วมที่ไม่เสถียร การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำอเมซอนจะต้องมีความยาวมากเพื่อให้มีฐานรากที่มั่นคง นอกจากนี้ยังมีถนนน้อยมากที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำอเมซอน เนื่องจากแม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคมหลักสำหรับคนส่วนใหญ่ในพื้นที่
During the rainy season, the Amazon River floods its banks, dramatically expanding the size of the River ©. Kevin Schafer / Getty Images
11. แม่น้ำอเมซอนไหลผ่าน 4 ประเทศ
แม่น้ำอเมซอนไหลผ่านประเทศ บราซิล, โคลอมเบีย, เปรู, และเวเนซุเอลา โดยที่บราซิลถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของแม่น้ำ นอกจากนี้ ลุ่มน้ำของแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แม่น้ำได้รับน้ำจืดจากฝน ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอื่นๆ อีกด้วย เช่น โบลิเวีย, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, เปรู, และเวเนซุเอลา ที่ช่วยเติมน้ำจืดให้กับแม่น้ำอเมซอน
12. เป็นที่ที่ 40% ของน้ำทั้งหมดในทวีปอเมริกาใต้ไหลมารวมกัน
ระดับน้ำของแม่น้ำอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากประมาณ 40% ของน้ำทั้งหมดในทวีปอเมริกาใต้ ไหลมาสู่แม่น้ำอเมซอน ลุ่มน้ำอเมซอนทำหน้าที่เหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ที่รวบรวมน้ำฝนจากพื้นที่หลายไมล์รอบแม่น้ำ รวมถึงจากเทือกเขาแอนดีสและป่าอเมซอน
The Amazon rainforest covers an enormous 6.7 million square kilometres ©. Andre Dib
The Amazon is thought to be home to 10% of known species on earth ©. Day's Edge Productions / WWF-US
It’s estimated that there could be nearly 400 billion trees standing in the Amazon ©. Greg Armfield / WWF-UK
An estimated 150-200 billion tons of carbon are stored in the Amazon’s forests and soils ©. Luis Barreto / WWF-UK
Despite its importance, every minute an area of Amazon rainforests roughly equivalent to 5 football pitches is cut down ©. Marizilda Cruppe / WWF-UK
ที่มา: https://www.treehugger.com/facts-about-the-amazon-river-5185025,
https://www.treehugger.com/meet-extraordinary-catfish-travels-width-south-america-4852445,
https://www.wwf.org.uk/learn/fascinating-facts/amazon
##########################################################