แซมเบีย ไฟดับทั้งประเทศ เขื่อนไม่มีน้ำผลิตไฟฟ้า หลังเจอภัยแล้งรุนแรง
‘แซมเบีย’ ไฟดับทั้งประเทศ เขื่อนไม่มีน้ำผลิตไฟฟ้า หลังเจอ ‘ภัยแล้ง’ รุนแรง
Ongoing African drought has plunged Zambia into daily blackouts as hydroelectric dam unable to run
“แซมเบีย” ประสบปัญหาไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เนื่องจาก
“ภัยแล้งรุนแรง” ทำให้เขื่อนคาริบา (Kariba) มีน้ำไม่เพียงพอ จนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้
“ทะเลสาบคาริบา” เป็นทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตั้งอยู่ห่างจากกรุงลูซากา เมืองหลวงของแซมเบีย ไปทางใต้ 200 กิโลเมตร ถูกสร้างมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำหรับใช้ในประเทศ และหลังจากนั้นได้สร้างเขื่อนคาริบาขึ้นมาเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำหมุนเวียน
จากปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นในปี 2023 ผสานกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่เลวร้ายลง ทำให้เกิดภัยแล้งรุนแรงต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน จนเดือนมีนาคม 2024 แซมเบียประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยทำลายพื้นที่ปลูกข้าวโพดหลักไปประมาณ 10,000 ตร.กม. และโรงไฟฟ้าพลังน้ำของแซมเบียเกือบจะต้องปิดตัวลง
“ภัยแล้งครั้งนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การจัดหาน้ำและพลังงาน ซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารของชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหลายล้านคน” ฮาคาอินเด ฮีชีเลมา ประธานาธิบดีแซมเบียกล่าว
เมื่อเขื่อนคาริบา แหล่งผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่คิดเป็นมากกว่า 80% ของการผลิตไฟฟ้าในแซมเบีย ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลัง สามารถผลิตไฟฟ้าลดลงเหลือไม่ถึง 10% ของการผลิตปรกติ ทำให้ประชาชนชาวแซมเบียหลายล้านคนมีไฟฟ้าใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน และบางพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ในเวลากลางคืนหลายบ้านต้องใช้เทียนเพื่อส่องสว่าง ใช้เตาถ่านทำอาหาร
Patrons at a restaurant work on laptops and charge devices at Mercato Cafe in Lusaka, Zambia
แต่ผลกระทบก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ธุรกิจขนาดเล็กที่ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศเปิดทำการ พวกเขาต้องดิ้นรนหาเครื่องปั่นไฟมาใช้ เพื่อทำให้ธุรกิจไปต่อได้ โดยเทรเวอร์ ฮัมบาอี นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่าเศรษฐกิจของแซมเบียจะหดตัวลงอย่างมากหากวิกฤติพลังงานยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะทำให้ระดับความยากจนในประเทศสูงขึ้นด้วย
วิกฤติในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนให้แก่รัฐบาลแซมเบียและประเทศในแอฟริกาให้ต้องรีบหาแหล่งพลังงานสำรอง และไม่ควรฝากอนาคตของประเทศไว้กับแหล่งพลังงานเพียงที่พึ่งพาสภาพอากาศเพียงแห่งเดียว เพราะวิกฤติพลังงานสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการต่อสู้กับความยากจนได้มากกว่าการล็อกดาวน์ในยุคโควิด-19 เสียอีก
“แอฟริกา” เสี่ยงต่อสภาพอากาศเลวร้ายที่สุด
Baobab trees stand in Chirundu, Zambia
แอฟริกาเป็นทวีปที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนน้อยที่สุด แต่กลับเป็นทวีปที่ต้องเจอกับสภาพอากาศเลวร้ายและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด เนื่องจากประเทศยากจนไม่สามารถรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่สูงในการปรับตัวได้
ภัยแล้งในปีนี้ในแอฟริกาใต้ถือเป็นภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้พืชผลเสียหายและผู้คนนับล้านต้องอดอยาก ทำให้แซมเบียและประเทศอื่นๆ ต้องประกาศภัยพิบัติระดับชาติและขอความช่วยเหลือ
พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำคิดเป็น 17% ของการผลิตพลังงานทั้งหมดในแอฟริกา คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 23% ภายในปี 2040
This photo shows the dam wall at Lake Kariba in Siavonga, Zambia, 2022
ตามข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ และไม่ใช่แค่แซมเบียประเทศเดียวที่ใช้พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำสูงถึง 80% ของพลังงานทั้งหมด ในภูมิภาคนี้ยังโมซัมบิก มาลาวี ยูกันดา เอธิโอเปีย และคองโกที่ใช้ไฟฟ้าจากน้ำเป็นหลักด้วยเช่นกัน แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะเตือนว่าน้ำอาจจะไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าอีกต่อไป
“สภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรง รวมทั้งภัยแล้งที่ยาวนาน ทำให้เห็นชัดว่าการพึ่งพาพลังงานน้ำมากเกินไปนั้นไม่ยั่งยืนอีกต่อไป” คาลอส โลเปซ ศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ ในแอฟริกาใต้กล่าว
รัฐบาลแซมเบียได้เรียกร้องให้ประชาชนและภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ชาวแซมเบียจำนวนมากไม่มีกำลังมากพอจะซื้อเทคโนโลยีดังกล่าวได้ ในขณะที่รัฐบาลเองก็จำเป็นต้องกลับไปใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล และโรงไฟฟ้าถ่านหินตามความจำเป็น เพื่อจ่ายไฟให้โรงพยาบาลและอาคารอื่น ๆ เป็นการชั่วคราว แม้ว่าจะก่อให้เกิดมลพิษก็ตาม
This photo shows the dam wall at Lake Kariba in Siavonga, Zambia, 2024
สภาพอากาศของแซมเบียเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากเขื่อนคาริบามีระดับน้ำลดลงเกือบหมดเขื่อน จนเผยให้เห็นซากต้นไม้ที่อยู่ใต้เขื่อน และยังไม่มี่ทีท่ากว่าน้ำจะกลับมาเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่กล่าวว่าในตอนนี้มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 30 เซนติเมตร ตั้งแต่ฤดูฝนปี 2023 ทั้งที่ปรกติแล้วระดับน้ำจะสูงขึ้นประมาณ 6 เมตรหลังจากฝนตก
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่หวังว่าฤดูฝนที่จะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2024 จะช่วยบรรเทาภัยแล้งลงไปได้บ้าง แต่เขื่อนคาริบาจะต้องใช้เวลาอีก 3 ปี กว่าที่จะสามารถกลับมาผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวเตือนว่าไม่ควรพึ่งพาแต่ฝนฟ้า เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าฝนจะตก และมีแนวโน้มว่าปัญหาจะเลวร้ายลง ควรหาวิธีการรองรับ
“การพึ่งพาพลังงานน้ำถึง 85% เป็นความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด เราจำเป็นต้องมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานที่ไม่หมุนเวียนผสมผสานกัน เพื่อว่าหากแหล่งใดแหล่งหนึ่งล้มเหลว เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้น” เจฟฟรีย์ ชิยุมเบ รองประธานคณะกรรมการพลังงานของสถาบันวิศวกรรมแซมเบียอธิบาย
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1149305
อ้างอิง: https://www.click2houston.com/news/world/2024/10/12/drought-is-parching-the-worlds-largest-man-made-lake-stripping-zambia-of-its-electricity,
https://apnews.com/article/climate-power-electricity-drought-environment,
https://www.polarsteps.com/Southerndreams/4674117-east-africa-trip-2022/37751654-siavonga
######################################################
ในปี 2024 มีหลายประเทศในโลก ที่กำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและความมั่นคงของประชาชน นี่คือ
10 ประเทศที่ประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำสูงสุดในขณะนี้
Lake Kariba Zimbabwe, March 02, 2016 — Scottyblog — Scottyphotography
10. แซมเบีย (Zambia): ปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าจากภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำยังคงเป็นปัญหาหลัก ขณะเดียวกัน ประเทศนี้ยังประสบปัญหาการจัดการน้ำที่ไม่เพียงพอสำหรับการเกษตรและการใช้ในชีวิตประจำวัน
9. มาลาวี (Malawi): มาลาวีประสบปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้งและการเข้าถึงน้ำที่ไม่เพียงพอในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในชนบทที่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งไม่มั่นคง
8. ซิมบับเว (Zimbabwe): ระบบไฟฟ้าของซิมบับเวยังคงไม่เสถียรจากปัญหาภัยแล้งและการจัดการที่ไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนน้ำในประเทศก็ยังคงเป็นเรื่องท้าทายเช่นกัน
7. สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Central African Republic): ประเทศนี้ประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและเมืองหลัก เช่น บังกี ซึ่งมีเพียง 14% ของประชากรที่เข้าถึงไฟฟ้าได้
6. ซูดานใต้ (South Sudan): ประมาณ 10% ของประชากรมีไฟฟ้าใช้ ระบบไฟฟ้าไม่เสถียรและมีค่าใช้จ่ายสูง ขณะเดียวกันยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเนื่องจากภัยแล้งบ่อยครั้ง
5. เลบานอน (Lebanon): เลบานอนมีปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง และขาดแคลนน้ำ เนื่องจากพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและทรัพยากรน้ำอย่างไม่ยั่งยืน ทำให้สภาพเศรษฐกิจของประเทศนี้เผชิญกับความยากลำบาก
4. ไนเจอร์ (Niger): มีเพียง 16% ของประชากรที่เข้าถึงไฟฟ้าได้ ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าเกิดจากการพึ่งพาไฟฟ้าจากพื้นที่เมืองหลัก ส่วนในชนบทนั้นยังคงใช้แหล่งพลังงานทางเลือกซึ่งไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนัก
3. โซมาเลีย (Somalia): โซมาเลียมีปัญหาทั้งไฟฟ้าและน้ำที่ไม่เสถียร ประชากรส่วนใหญ่พึ่งพาเครื่องปั่นไฟดีเซลที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่ปัญหาขาดแคลนน้ำยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังจากสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง
2. เฮติ (Haiti): ระบบไฟฟ้าของเฮติขาดความเสถียร มีเพียง 65% ของพลังงานที่สามารถผลิตได้ ขณะเดียวกัน ปัญหาน้ำในประเทศนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมีการใช้แหล่งพลังงานชีวมวลและการจัดการทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ
1. เยเมน (Yemen): เยเมนเผชิญปัญหาขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและน้ำเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองและสงคราม ซึ่งทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานพังทลาย มีประชากรเพียง 5% เท่านั้นที่เข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องน้ำ ประเทศนี้ประสบปัญหาภัยแล้งและการจัดการน้ำที่ไม่ดี ทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก
In Yemen, 9.4 million people are at high risk of water-borne diseases, malnutrition and other life-threatening conditions
25 ประเทศที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในโลก
Yemen's water crisis, clean water is a dream
อ้างอิง: https://scottyphotography.net/blog/tag/Lake+Kariba+Zimbabwe,
https://bscholarly.com/countries-with-the-worst-electricity-supply,
https://www.wri.org/insights/highest-water-stressed-countries,
https://www.unesco.org/en/articles/water-crises-threaten-world-peace-report,
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_electricity_consumption,
https://wildcat.arizona.edu/148013/aljisr/yemens-water-crisis-clean-water-is-a-dream/
######################################################