บทความจาก เลียม ทรูมี่ สื่อ ดิแอธเลติค
แปลย่อๆนะ มันยาว
ดูที่ตำแหน่งการยืนกันก่อน รูปนี้คือพื้นที่ที่ เอ็นโซ่ สัมผัสบอลในยุค พอช ปีที่แล้ว
ส่วนอันนี้คือในยุค มาเรสก้า จะเห็นว่ามีการสัมผัสบอลในแนวรุกด้านซ้ายเพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดคือ เอ็นโซ่ สัมผัสบอลโดยรวมน้อยลงมาก
เขาสัมผัสบอลโดยเฉลี่ย 66.3 ครั้งต่อ 90 นาที ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ตามข้อมูลของ FBref ลดลงจาก 86.9 ครั้งต่อ 90 นาทีในฤดูกาลที่แล้ว
นั่นเป็นการลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นเพราะเขามีส่วนร่วมน้อยกว่าเดิมมากๆในการครองบอลเพื่อบิ๊วอัพเกมของ เชลซี ในแนวรับและแดนกลาง
ส่วนการสัมผัสบอลในแนวรุกของเขาต่อ 90 นาทีแทบเหมือนกันทั้งฤดูกาลนี้และฤดูกาลที่แล้ว
มาเรสก้า ชอบเอาแบ๊คข้างนึงอินเวิทมายืนกองกลางคู่ ไคเซโด้ หมายความว่ามีความต้องการน้อยมากที่จะให้ เอ็นโซ่ ลงต่ำมาช่วยครองบอลบิ๊วอัพในครึ่งสนามฝั่งตัวเอง
จุดเด่นที่ยังทำได้คือเขาฉีกออกไปทางพื้นที่แบ๊คซ้ายแล้ววางยาวข้ามแกนไปทางขวา ( โฟฟาน่า ) เพื่อหนีการเพรสของคู่แข่ง แบบในรูปด้านล่าง
คุณลักษณะที่ดีที่สุดของ เอ็นโซ่ อาจเป็นความสามารถของเขาในการมองเห็นช่องและส่งบอลขึ้นหน้าไปให้เพื่อนในแนวรุก
ในฐานะ B2B ฝั่งซ้ายเขาต้อง underlapping ปีกซ้ายอย่าง ซานโช่ ( ซึ่ง ซานโช่ เป็นสายจ่ายเช่นกัน เขาควรรายล้อมด้วยนักเตะสไตล์นักวิ่งสอดมากกว่าตัวจ่ายเหมือนกัน )
* Underlapping คือวิ่งตัดหน้าตัวจ่ายไปรอรับบอล แบบในรูปด้านล่างนี้จะเห็นว่า เอ็นโซ่ ไม่ได้เร็วและคล่องตัวพอที่จะวิ่งฉีกตัวประกบเพื่อไปรับบอลแล้วครอสเข้าไปกลาง *
การคอมโบกันของ B2B และ ปีกซ้าย จะอันตรายกว่ามากถ้า เอ็นโซ่ เป็นคนจ่าย และ ซานโช่ เป็นคนวิ่ง เช่นในจังหวะที่ ซานโช่ ทำให้ทีมได้จุดโทษในเกมกับ ไบรท์ตัน ตามรูปด้านล่างนี้
มาเรสก้า ดูจะพยายามเน้นไปที่สัญชาตญาณการส่งบอลอันเฉียบคมของ เอ็นโซ่ ในแดนของฝ่ายตรงข้าม
แต่สถิติการจ่ายบอลแบบโปรเกรสซีฟ ( จ่ายบอลขึ้นหน้า ) ของเขาในฤดูกาลนี้อยู่ที่ 5.4 ครั้งต่อ 90 นาทีลดลงจากค่าเฉลี่ยของเขาที่ 8.6 ครั้งต่อ 90 นาทีเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
เช่นเดียวกับการจ่ายบอลของเขาเข้าสู้พื้นที่สุดท้าย ( final third ) ต่อ 90 นาที ( ฤดูกาลนี้ 6 ครั้ง ลดลงจาก 7.2 ครั้งในฤดูกาลที่แล้ว )
และการจ่ายบอลเข้าในกรอบเขตโทษของเขาก็ทำได้เพียง 0.5 ครั้งต่อ 90 นาทีในฤดูกาลนี้ ลดลงจาก 1.8 ครั้งในฤดูกาลที่แล้ว
สถิติ คีย์พาส ของเขา ( การจ่ายบอลที่นำไปสู่โอกาสยิงของเพื่อน ) ยังคงค่อนข้างสม่ำเสมอโดยทำได้ 1.4 ครั้งต่อ 90 นาทีในฤดูกาลนี้ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ครั้งในฤดูกาลที่แล้ว
shot-creating actions ( การกระทำที่ส่งผลต่อจังหวะการยิงของทีม ) ต่อ 90 นาทีของเขาทำได้ 2.8 ครั้งต่อ 90 นาทีในฤดูกาลนี้ ลดลงจาก 3.3 ครั้งในฤดูกาลที่แล้ว
แต่เมื่อพิจารณาจากปริมาณการสัมผัสบอลและการจ่ายบอลที่ลดลงอย่างมาก การโจมตีที่เฉียบขาดมากขึ้นเหล่านี้แสดงถึงสัดส่วนที่สูงกว่าการมีส่วนร่วมในการเล่นของเขา ( แปลภาษาคนก็คงประมาณ ปีนี้สัมผัสบอลกับจ่ายบอลน้อยลงเยอะ พอค่าสถิติการจ่ายบอลต่างๆลดลงนิดนึงมันก็ไม่แย่ละมั้ง )
และไม่ว่า มาเรสก้า จะพยายามปั้น เอ็นโซ่ ให้เป็น กองกลางที่สอดมาทำประตูได้ดีแบบ กุนโดกัน หรือ ตัวที่เป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์เกมรุก แต่เขาก็มีโอกาสยิงเพียง 4 ครั้งใน 511 นาทีในลีกฤดูกาลนี้ โดยมี xG อยู่ที่ 0.3
และเขาไม่มีแอสซิสต์เลย โดยมี xA ( จังหวะการจ่ายที่ควรได้เป็นแอสซิสต์ ) แค่ 1 ครั้ง
เอ็นโซ่ ยังคงมีจังหวะจ่ายบอลเร็วได้อย่างน่าประทับใจ ในจังหวะที่เขาถอยต่ำลงไปเล็กน้อยเพื่อตอบโต้การเพรสซิ่งสูงของ ไบรท์ตัน
รับบอลจาก โคลวิล และพลิกจ่ายให้ พาลเมอร์ หลุดไปในไม่กี่วินาที
และจังหวะคลาสสิคของ เอ็นโซ่ ที่ตักข้ามกองหลังไปให้ มาดูเอเก้ ในพื้นที่กรอบ 6 หลาของคู่แข่ง
การที่ มาเรสก้า อินเวิทแบ็กมายืนกลางกับ ไคเซโด้ ทำให้ เชลซี มีความเสี่ยงน้อยลงในการโดนสวนกลับเร็ว
เอ็นโซ่ สามารถโฟกัสไปที่การช่วยแย่งบอลแดนบนได้ และเขาก็มีช่วงเวลาดีๆในเรื่องนี้ เช่นในนัดเจอ วูล์ฟ ที่ไล่เพรสแย่งบอลจนนำไปสู่ประตูของ มาดูเอเก้
ความพยายามและพลังงานของ เอ็นโซ่ นัันไม่ต้องสงสัย เขาไล่เพรสซิ่งอย่างหนักเท่าที่ร่างกายของเขาจะทำได้
และเขาทำงานอย่างหนักในพื้นที่กองกลางตัวรับข้างๆ ไคเซโด้ เมื่อสถานการณ์ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น
แต่เขายังคงมีส่วนรับผิดชอบบางอย่างในเรื่องของเกมรับ เขาโดนเลี้ยงบอลผ่านไป 13 ครั้งในลีกฤดูกาลนี้
* ผมไปเช็คสถิติมาใน Whoscored เอ็นโซ่ โดนเลี้ยงผ่านเฉลี่ย 2.2 ครั้งต่อเกมเป็นที่ 2 ร่วมของลีกรองจาก โมเรโน่ แบ๊คซ้าย ฟอเรส ( 2.3 ครั้งต่อเกม ) และที่น่าสนใจคือ ที่ 2 ร่วมกับ เอ็นโซ่ คือ กุสโต้ ครับ โดนเลี้ยงผ่าน 2.2 ครั้งต่อเกมเท่ากัน
*
ตำแหน่งร่างกายของ เอ็นโซ่ มักจะทำให้เขาเสียเปรียบ และเขาขาดพลังระเบิดของนักกีฬา ( น่าจะหมายถึงสปีดต้น ) เพื่อวิ่งตามคู่แข่งไปยังพื้นที่ว่าง
รูปด้านล่างคือตัวอย่างจากเกมกับ ไบรท์ตัน ที่ บาเลบ้า พลิกแล้ววิ่งฉีกหนี เอ็นโซ่ ไป
มันยังดีกว่าสำหรับ มาเรสก้า ที่จะใช้ เอ็นโซ่ ไล่เพรสในแดนบนมากกว่าพื้นที่ในแดนตัวเอง เพราะเขามักจะทำการขัดขวางที่ไม่เพียงพอบ่อยเกินไป
เช่นในจังหวะด้านล่างนี้ เขาขยับตัวไปเผชิญหน้ากับ เอสตูปิยาน แต่ เอสตูปิยาน ก็ส่งบอลผ่านเขาไปยัง บาเลบ้า ในตำแหน่งที่อันตรายได้
เอ็นโซ่ มีค่าเฉลี่ยพยายาม tackle ต่อ 90 นาที 3.9 ครั้ง ในพรีเมียร์ลีก มากกว่านักเตะ เชลซี ทุกคนในฤดูกาลนี้
แต่อัตราความสำเร็จของเขาอยู่ที่ 40.9% มากกว่า มาดูเอเก้ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ( มาดูเอเก้ 40% ) ส่วน ไคเซโด้ อยู่ที่ 70.4%
เชลซี ไม่ได้ซื้อ เอ็นโซ่ มาเล่นเกมรับ ในช่วงหกเดือนที่ เบนฟิก้า และ ฟุตบอลโลกกับ อาร์เจนตินา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น deep-lying playmaker ที่สามารถคอนโทรลเกมให้กับทีมของเขาในระดับสูงสุดได้
ในช่วงต้นฤดูกาลของ มาเรสก้า ความท้าทายในการคำนึงถึงจุดแข็งและจุดอ่อนที่สำคัญของ เอ็นโซ่ ในตำแหน่งกองกลางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
และการสนทนาเกี่ยวกับความสำคัญของเขาต่อทีมนี้ และแม้แต่ตำแหน่งของเขาในนั้น ก็ไม่น่าจะหายไป
ความเห็นส่วนตัว
การที่ มาเรสก้า ใช้ เอ็นโซ่ เล่นแบบนี้ ก็เหมือนเอา จอร์จินโญ่ ไปเล่นแบบ กุนโดกันร่างแมนซิ ซึ่งมันไม่น่าจะทำได้ดีเท่าไหร่
แต่ทำไมไม่เอาไปเล่น DLP เหมือนตอนใช้ วิงค์ ที่ เลสเตอร์ ถ้าให้ผมเดาก็อาจจะซื้อสกิลเกมรับของ ไคเซโด้ กับ ลาเวีย มากกว่า
ถ้ายังฝืนไปแบบนี้ก็น่าจะเสียทั้ง สโมสร และ ตัวนักเตะ เอง
ทางแก้แบบที่ต้องเข็น เอ็นโซ่ ลงไปในทีมให้ได้เพราะซื้อมาแพง ก็ให้ ไคเซโด้ หรือ ลาเวีย ไปเล่น B2B แทน
หรือ ไม่ต้องอินเวิทแบ๊ค ใช้กลางยืนคู่ เอ็นโซ่ ไคเซโด้ งั้นแหละ แต่เติมแบ๊คขวาให้ลอยเป็นปีกขวาแทน
ตอนครองบอลบิ๊วอัพก็จะเป็น 3-2-4-1 เหมือนเดิม แนวรุกหลังกองหน้าจะยืนตามนี้
ปีกซ้าย( ซานโช่ ) - กลางรุก( เอ็นคุนคู ) - ปีกขวา( พาลเมอร์ ) - แบ๊คขวา( เจมส์ )
แต่ถ้าโดนสวน แบ๊คขวา นี่ต้องวาร์ปได้แบบ กองเต้ อะถึงจะกลับไปช่วยเกมรับทัน
ถ้า เชลซี จะใช้ มาเรสก้า ไปยาวๆ + ยืนยันจะอินเวิทแบ๊คเหมือนเดิม ถ้าอยากให้ทีมลงตัวกว่านี้
คิดแบบใจร้ายๆเลยนะ
- โกล หาตัวที่ดีกว่า ซานเชส ใช้เท้าได้ เซฟดี ไม่จ่ายแจก
- อินเวิทแบ๊คซ้าย แล้วขายแบ๊คขวาออกตัวนึงซื้อตัวที่เล่น แบ๊คขวากึ่งเซ็นเตอร์ ได้แทน ทรงแบบพวก คุนเด้ ,วอคเกอร์ ,ปาวาร์ พวกนั้นอะ เพราะต้องหุบมาเป็นเซ็นเตอร์ขวาตอน แบ๊คซ้ายอินเวิท
- เซ็นเตอร์ หาสต็อปเปอร์เก่งๆมายืนกับ โคลวิล
- แล้วพออินเวิทแบ๊คซ้าย เท่ากับ LCB ( โคลวิล ) ต้องถ่างไปเป็นสต็อปเปอร์ซ้าย RCB ( โฟฟาน่า ) ต้องหุบมาเป็นเซ็นเตอร์ตัวกลางคอยจ่ายบอลแบบนัด บอร์นมัธ ซึ่งผมว่าไม่เหมาะทั้งคู่
- น่าลองเอา โคลวิล ยืน RCB เพื่อคอยหุบมายืนตัวกลางในแผนหลัง 3 คอยจ่ายบอลเหมือนเดิม แล้วซื้อ LCB ใหม่เพื่อถ่างออกไปเป็นสต็อปเปอร์ซ้ายแทน
- พวกเซ็นเตอร์ซ้ายที่มีข่าว เชลซี สนใจตอนนี้ ทั้ง มูริลโล่ ,ฮินคาปี ,ลูเกบ้า ตรงสเป็คหมดแต่เตี้ยหมดเลยนะ สูงไม่ถึง 190 ซักคน มีแววจะตายลูกโด่งเหมือนเดิม
- เอ็นโซ่ น่าปล่อยแล้วหาตัวที่เหมาะกับบทบาทมาแทน พวก B2B จ่ายบอลได้ + เกมรับแบบ ไรซ์ ,เกมรุกแบบ กุนโดกัน อะ ไปหากันเอาว่าตัวไหน ไม่ต้องเทพเท่า 2 คนนั้นบวกกันก็ได้แค่มีสกิลครบก็พอ
- กลางรุก กับ ปีก โอเคละ ถ้าอยากปล่อย มูดริค ค่อยหาปีกซ้ายสไตล์ขี้เลี้ยงแบบ มาดูเอเก้ มาสำรอง
- กองหน้า ขอตัวที่เก่งกว่า แจ๊คสัน
ถ้าได้ครบตามนี้จบเลย