แชร์ทริคเรื่องสิทธิการรักษาและการไป รพ รัฐ เอกชน
พอดีทำงานอยู่ในวงการมานาน ว่างๆเลยอยากแชร์เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้และทำให้เสียผลประโยชน์ครับ
1. คนไทย 99% จะมีสิทธิการรักษาพื้นฐานอยู่ใน 3 กลุ่มนี้เสมอครับ
- ประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาท) ประมาณ 74% ของทั้งประเทศ: ปกติแล้วมักจะผูกกับ รพ.รัฐ ใกล้บ้าน มักจะเป็น รพ เล็กๆก่อน (ปฐมภูมิ) แล้วถ้าเกินกำลังก็จะส่งต่อไปเรื่อยๆ ไปจนถึงระดับ รพ ศูนย์ หรือ โรงเรียนแพทย์
- ถามว่าใครมีสิทธินี้บ้าง เอาง่ายๆก็คือคนที่ไม่ได้มีสิทธิข้าราชการและไม่ได้มีประกันสังคม ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้หมดครับ (ยกเว้นสิทธิส่วนน้อยๆเช่น ครูเอกชน เป็นต้น)
ที่เจอบ่อยๆก็คือพอถามคนไข้ว่าใช้สิทธิการรักษาอะไร ต้นสังกัด 30 บาทอยู่ที่ไหน จะไม่รู้
เอาจริงๆเช็คง่ายๆได้เลยที่ https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml ครับ ใส่แค่เลข ปชช กับวันเกิด แค่นี้รู้แล้ว
- ประกันสังคม 18% ของทั้งประเทศ: อันนี้สำหรับคนทำงานที่นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมครับ ส่วนใหญ่จะผู้กับ รพ.ที่บริษัทติดต่อไว้ บางคนออกจากงานแล้วแต่อยากใช้สิทธิการรักษาต่อก็ส่งเงินประกันสังคมต่อได้นะครับ แม้ว่าไม่ได้ทำงาน
- ข้าราชการ 7% ของทั้งประเทศ: อันนี้ก็สำหรับคนที่ทำงานให้หน่วยงานรัฐอย่างที่เรารู้กัน รวมถึง พ่อแม่ ลูก (ไม่เกิน 20 ปี) คู่สมรส
- สำหรับสิทธิอื่นๆเช่น ประกันเอกชน อันนี้เป็นสิทธิเสริมครับ คือ
ซ้อนกับสิทธิหลักข้างบน เราจะเลือกใช้อันไหนก็ได้
2. สิทธิไหนดีสุด แต่ละสิทธิมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
- คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าข้าราชการดีสุดครับ ที่เห็นชัดเลยก็คือสามารถเบิกค่ายาได้ครอบคลุมมาก ก็คือได้ทั้งยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และยาที่อยู่นอกบัญชี
สำหรับโรคพื้นฐาน ยาในบัญชีมันก็เพียงพอครับ รักษาหายได้ แต่ในหลายๆโรค ยานอกบัญชีมันดีกว่าจริงๆ เช่น ผลข้างเคียงน้อยกว่า ประสิทธิภาพดีกว่า หรือบางโรคอย่างมะเร็งบางชนิด ยาเคมีบำบัดบางตัวก็ไม่อยู่ในบัญชีครับ สงสารคนไข้ที่เบิกไม่ได้แล้วไม่ได้รับการรักษาเพราะไม่มีเงิน
- สิทธิ 30บ และประกันสังคม ที่คนทั่วไปเข้าใจกันก็คือเบิกยาได้เฉพาะยาในบัญชี ยานอกบัญชีต้องจ่ายเอง
ในทางกฏหมาย รพ ไม่สามารถเก็บค่ายานอกบัญชีกับเราได้นะครับ ถ้าโดนเก็บเราสามารถไปร้องเรียนได้เลยด้วยซ้ำ
https://www.hfocus.org/content/2023/04/27418 แต่คนไข้ไม่รู้ครับ และก็ไม่ได้ร้องเรียนกัน รพ. ก็เลยทำเนียนหรือไม่ก็ตัดปัญหาให้แพทย์สั่งเฉพาะยาในบัญชี คนไข้ก็เสียประโยชน์ไปครับ
- สิทธิ 30บ และ ปกส จริงๆแล้วมีข้อได้เปรียบสิทธิ ขรก อยู่นะครับ ตรงที่พอเรามีต้นสังกัดที่ รพ ใด รพ หนึ่ง เวลาเราต้อง admit เรามั่นใจได้เลยว่าสุดท้าย
รพ ต้นสังกัดต้องรับเราเสมอครับ สมมติต้นสังกัดเราอยู่ที่ รพ A เราไปตรวจเบื้องต้นที่ รพ B แล้วพบว่าต้อง admit แต่จ่ายไม่ไหว รพ B ก็จะทำเรื่องส่งต่อ ยังไง รพ A ก็ต้องรับเราครับ ซึ่งตรงนี้ในสิทธิ
ขรก จะไม่มี รพ ต้นสังกัด ไปรักษาที่ไหนก็ได้ ทำให้ในบางครั้งจะเกิดการเกี่ยงคนไข้ครับ
สมมติ ขรก ไปตรวจที่ รพ เอกชน C แล้วพบว่าต้อง admit แต่จ่ายไม่ไหว รพ C ก็จะต้องหาทาง refer ออก แต่ทีนี้เนื่องจากไม่มีต้นสังกัด ดังนั้น รพ รัฐแต่ละที่ๆได้รับการติดต่อไป ก็จะสามารถปฏิเสธได้ครับ บางทีรีเฟอร์ไม่ออก ต้องยอมนอนจ่ายเงินก็มี
3. รพ รัฐ กับ เอกชน เข้าที่ไหนดีกว่ากัน
- อันนี้เป็นคำถามที่ตอบยากครับ เอาจริงๆคือขึ้นกับสถานการณ์ รพ รัฐ ข้อเสียชัดเจนคือช้า และบางครั้งอาจจะได้รับการรักษาที่ under standard ครับ แต่มั่นใจได้ว่าการรักษาที่ได้รับนั้นมักสมเหตุสมผลและไม่ over เกินไปแน่นอน สมมติไปตรวจ รพ รัฐ แล้วหมอบอกว่าต้องผ่าตัด อันนี้ส่วนใหญ่แล้วมีข้อบ่งชี้ชัดเจนแน่ๆครับ เพราะหมอพวกนี้เวลาผ่าตัด แทบไม่ได้เงินเลย ไม่คุ้มเสียเวลาแน่ๆ จะบอกว่าให้หมอฝึกหัดได้ทำ ก็มีบ้างแต่สุดท้าย อจ แพทย์ก็ต้องเป็นคนคุมอยู่ดีครับ (อาจจะมีบ้างที่ อจ แพทย์ ทิ้งให้หมอฝึกหัดทำ แต่ปัจจุบันน้อยลงเรื่อยๆครับ) ตรงข้ามกับ รพ เอกชน ที่บางครั้งอาจจะ over ทั้งการส่งตรวจและการรักษา อย่างไรก็ตามการทำ over standard มันไม่ผิดครับ และช่วยให้โอกาสที่จะโดนฟ้องร้องลดลงด้วย
- รพ เอกชน ข้อดีคือเร็ว สะดวก บริการดี แลกมากับ คชจ ที่สูง แต่ที่ต้องระวังคือ รพ เอกชนหลายๆที่เครื่องมือและบุคลากรไม่พอครับ เพราะทุกอย่างมันคือการลงทุน บางครั้งลงทุนแล้วไม่คุ้มก็เลยตัดบางอย่างออกไป แถมจะบอกว่าตัวเองศักยภาพไม่ถึงก็ไม่ได้อีก เสียชื่อหมดครับ แล้วบางครั้งก็ไม่ได้รับการส่งต่อที่เหมาะสมด้วย มี dark side เยอะมาก ที่คนในวงการจะรู้กันว่า รพ ไหน ไม่ดียังไง
- มีบางกรณีที่เราสามารถไปรักษาที่เอกชนได้ฟรีใน 72 ชม แรกครับ (UCEP) ถ้าเข้าข่ายอาการต่อไปนี้
--- หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
--- หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
--- ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
--- เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
--- แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
--- อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
กรณีเหล่านี้เอกชนจะดูแลเบื้องต้นก่อนส่งต่อ รพ รัฐ ถ้าจ่ายไม่ไหวครับ
https://www.nhso.go.th/page/coverage_rights_emergency_patients
โดยสรุป ถ้าให้แนะนำนะครับ
- เจ็บป่วยเล็กน้อย จ่ายไหว/รอไม่ได้/มีประกัน --> รพ เอกชน ที่ไหนก็ได้ ถ้าพบว่าหนักกว่าที่คิด ต้องส่งต่อ อย่าลืมตรวจสอบสิทธิต้นสังกัดของเราครับ
- เจ็บป่วยเล็กน้อย จ่ายไม่ไหว/รอได้ --> รพ รัฐ อาจจะใช้เวลาครึ่งค่อนวันในการไปตรวจหวัดเฉยๆ
- ป่วยหนัก เข้าเกณฑ์ UCEP --> รพ เอกชน หรือ รพ รัฐ ก็ได้ครับ
- ป่วยหนัก รวย/รอไม่ได้ --> รพ เอกชน แนะนำว่าไป รพ ที่ใหญ่ๆ ได้มาตรฐานครับ จะได้ไม่โดน malpractice
- ป่วยหนัก จ่ายไม่ไหว --> รพ รัฐ
เอาจริงๆอย่างโรคร้ายแรงอย่างเช่น shock กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก รพ รัฐ เค้ามี fast track ที่จะทำให้ได้รับการรักษาเร็วอยู่นะครับ
ประมาณนี้ครับ ที่เขียนมาเป็นข้อเท็จจริงที่เสริมด้วยความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ที่ทำงานมา ใครเห็นต่างอย่างไร discuss กันได้นะครับ
จริงๆมี dark side เยอะมาก ไว้มีโอกาสจะมาเล่าอีกทีครับ