1.การคิดวิเคราะห์แทบไม่ใช้ ใช้อารมล้วนๆ ไม่ต้องมี ยกเลิกให้หมด ทั้งๆที่มันมาจากรถไม่ได้มาตราฐาน ต่อไปมีเหตุเครื่องบินตก ยกเลิกเครื่องบินเลยไหมนั้น
2.พวกที่คิดขึ้นมาได้อีก ก็มาตัดพ้อกับประเทศนี้อีกว่า ถ้าจะให้มันมีมาตราฐานคิดหรอว่าหน่วยงานในประเทศนี้จะทำได้
หรืออีกพวกบอก ถ้างบไม่พอในการจัดการให้มีมาตราฐานความปลอดภัยก็ยกเลิก เอ้าแทนที่จะพูดถึง ว่างบในส่วนนี้มีเท่าไหร่ ไปอยู่ส่วนอื่นในโรงเรียนเท่าไหร่ เหมาะสมหรือไม่ก่อน ตัดพ้อตัดจบง่ายดี
3.มันก็วนมาถึงการเมืองอยู่ดี ทั้งเรื่องงบต่างๆจากกระทรวง พอเหตุการณ์เกิด คนส่วนใหญ่สะเทือนใจ แต่พอเลือกตั้งก็มองไม่เห็นความสำคัญ มองไม่เห็นว่ามันพังที่ตั้งแต่ระบบตรวจสอบ ทั้งขนส่ง ผู้ให้บริการ ถ้าไม่มีคนบริหารประเทศมาแก้พวกนี้ มันก็วนลูปเดิมๆ แล้วก็เลือกแค่เพราะได้เงินบ้าง เจอในพื้นที่บ้าง ทั้งๆรู้ไหมหว่าหลายๆ เรื่องทั้งน้ำท่วม เรื่องรถโรงเรียนมันก็มีส่วน
มันก็จะมีคนวนกับมาข้อ2 อีก พวกชินชาประเทศไปละ ทำไรไม่ได้หรอก มันก็เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งนั้นอะ เดี่ยวก็ภัยพิบัตินู้นที นี้ที ถอดบทเรียน จนไม่รู้จะถอดอะไรกันแล้ว
เศร้าแท้

พวกนี้รู้แหละว่าต้นเหตุปัญหามันเกิดจากอะไรแก้ยังไง แต่ก็รู้ว่าแก้ไม่ได้เพราะอะไร แต่ตอนเลือกตั้งก็ยังเลือกพวกมันยุดี

เพราะงั้นก็เอาชีวิตรอดกันเองนั้นแหละ

เรื่องนี้วิเคราะห์ง่ายๆเลย เสิชกูเกิลคำว่า swiss cheese model แล้วจะเข้าใจหลักการและตรรกะเรื่องความเสี่ยง
ไม่ใช่เอะอะๆโทษเรื่องการทัศนะศึกษาที่จะให้ยกเลิก

ทำไมไม่ออกกฎหมายให้ห้ามมีบุตรไปเลยจะได้ไม่มีเด็กตายอีก หรือไม่ต้องสร้างถนนเลยจะได้ไม่ต้องมีอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกต่อไป

คือตอนนี้ผมว่ามันก็ควรหยุดชั่วคราวก่อน เพื่อตรวจสอบสภาพรถทัวร์เช่า แล้วสอนให้เด็กเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ

มันเป็นความสบายใจของ ทุกฝ่ายมากกว่า แล้วต้องออกมาตราการให้มันรัดกุมมากกว่านี้

คุณคาดหวังอะไรกับประเทศที่เซนเซอร์หัวนมโงกุนล่ะ

เรื่องนี้มันชี่้ชัดให้เห็นจริงๆนะว่าตรรกะการคิดวิเคราะห์ของประชากรบ้านเราเนี้ยมันมีปัญหา

รถบัสไฟไหม้ = ยกเลิกทัศนศึกษา แล้วถ้าอีกหน่อยมีปัญหากับขนส่งอื่นๆอีกไม่ต้องพาลยกเลิกกันไปหมดหรอ

คุณต้องแก้ตรงการบังคับใช้กฎหมายตรวจสภาพรถ ต้องไปแก้ตรงความเหมาะสมการทำทัศนศึกษาในแต่ละวัย

ต้องไปแก้ตรง ''จิดสำนึก'' ของผู้ให้บริการเช่ารถบัสที่ไม่ดัดแปลงสภาพนอกจากที่จดทะเบียน

ทุกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของเมืองไทยบ่งบอกถึงความเน่าเฟะในประเทศนิล่ะครับ

ระบบเอื้อพวกพ้อง ไร้การตรวจสอบ ไร้มาตรฐาน

ถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดเพราะอุบัติเหตุจริงๆ
ผมว่ามันก็เศร้าแหล่ะ แต่ยังพอเข้าใจได้

แต่เหตุมันเกิดเพราะรถเก่าเสื่อมสภาพ
อายุ50ปี (จากข่าว) ไม่ว่าใครก้รับไม่ได้อ้ะ

ถ้าผมเป็นผู้ปกครองรู้ว่ารถพาลูกไปทัศนศึกษาเก่าขนาดนี้คงไม่ให้ไปหรอก

ที่นี่เมืองไทยที่มีคนไทยอยู่ครับ...ผมเลิกหวังไปแล้วครับ

เห็นหลายเพจเอาข้อมูลรถโรงเรียนในประเทศที่พัฒนา เช่น อเมริกา มาชื่นชมแล้วก็นะ

คุณจะเอาประเทศห้ามพัฒนาอย่างเราไปเทียบได้อย่างไร อย่างมากก็ตื่นตัวกัน 2-3 เดือน เดียวก็เงียบเหมือนเดิมแหละ

ประเทศเรา หลายๆเรื่อง มันหมดหวังมานานมากแล้วครับ เพราะมันติดกระดุมผิด ตั้งแต่เม็ดแรก

คุณภาพชีวิต มาตรฐานชีวิต เข้าขั้นแย่ คนในประเทศ ถึงอยู่แบบ ตามมีตามกรรมครับ

ออกนอกบ้าน คุณเจออะไรบ้าง รถดัดแปลงสภาพ ปัญหาทางเท้า ปัญหาถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ซ่อมไม่รู้จักจบสิ้น

ติดต่อราชการ ตัวเราเป็นดั่งขี้ข้า แทบจะขอร้องให้ทำงานให้ (ปสก ส่วนตัว)

เวลามีปัญหา โทรหาตำรวจ ไม่มีใครรับสาย กว่าจะมาถึง ก็เกือบฆ่ากันตาย

และก็อีกเยอะครับ เข้าใจว่าทุกประเทศมันมีปัญหากันทั้งนั้น แต่ผมว่า ระบบขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตของเราๆ แย่ครับ

ส่วนตัว ผมไม่อยาก Toxic ทุกวันนี้เลือกที่จะไม่วิพากย์อะไรมาก

เคยมีความหวังกับการขึ้นมา ของพรรคก้าวไกล แต่สุดท้าย ก็อีหรอบเดิม

ความคิดแบบไทยๆ ตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบัน
นึกถึงสมัยเด็ก พอมีอะไรผิดพลาดหน่อย ก็โดนดุบอกว่า ไม่ต้องทำแม่งหรอก มีแต่ปัญหา, มีปัญหาก็ไม่ต้องทำ ฯลฯ

1. เวลาจัดซื้อจัดจ้างรถไปดูงานอะไรพวกนี้ มักจะเขียนขอบเขตแค่จำนวนที่นั่ง ขนาดรถ เครื่อง ฯลฯ แต่ไม่มีเรื่องความปลอดภัย หรือรายละเอียดการดัดแปลงเลย
2. รถโดยสารไม่ประจำทาง ควรขึ้นทะเบียนทุกคัน เดี๋ยวนี้มีรถตู้เก่าๆ ไม่มีไรทำก็เอาไปวิ่งรับส่งนักเรียนแล้ว ความปลอดภัยแทบไม่มี

วิเคราะห์ไปมาเรื่อยๆสุดท้ายมันก็จะมาจบที่การเมืองต้องดีนี่แหละ
แล้วถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญตรงนี่ก็อย่าไปหวังอะไรกับประเทศนี้เลย

ผมว่า คนที่เอาเรื่องเครื่องบินมาเทียบ กับเรื่องการเดินทางออกจากบ้านไปใช้ชีวิตประจำวัน มากกว่านะ ที่น่าหมดหวัง

อย่างแรกเลย ไม่มีใครคิดว่าทัศนศึกษาคือต้นเหตุ เค้ารู้ต้นเหตุกันหมดนั่นแหละ และรู้ว่าต้องแก้ตรงไหน แต่เพราะเค้ารู้จักประเทศไทยดี ว่ามันแก้ต้นตอไม่ได้ก่อนลูกเค้าเรียนจบแน่ๆ

เรื่องคำว่ายกเลิกทัศนศึกษา ผมอาจจะโลกสวยคิดว่าคนพูดไม่ได้หมายถึงถอนรากถอนโคน แต่น่าจะหมายถึงยกเลิกไปก่อน จนกว่าจะมีมาตรการที่มั่นใจว่าลูกเค้าจะไม่ถูกส่งไปตาย

หรือต่อให้เค้าหมายความว่ายกเลิกไปตลอดกาลเลยมันก็ไม่ใช่คำพูดที่ไร้สมองขนาดนั้น โอเคแหละว่ามันก็พ่วงด้วยอารมณ์และสุดโต่งไป

แต่ไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพราะการทัศนศึกษามันต้องมีการเดินทาง และการเดินทางในประเทศไทยอันตรายมาก บวกกับคุณภาพรถที่ใช้ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นทัศนศึกษา = อันตราย ในมุมมองพ่อแม่ เป็นข้อสรุปที่ยังยึดหลักเหตุผลอยู่

ที่บอกว่าอยากให้ยกเลิกทัศนศึกษา เพราะผู้ปกครองเค้าไม่คิดหวังว่าปัญหาความปลอดภัยมันจะถูกแก้ได้ และการไปทัศนศึกษาไม่ได้สำคัญกับลูกเค้าขนาดนั้น

เลิกซะเอาเรื่องสุดโต่งมาเทียบอะ เรื่องนี้มันคือการชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละคนแต่ละมุมมอง

หลายคนคิดว่าการขี่มอไซค์ไม่ใส่หมวก 100 โลไปดูทะเลมันคุ้ม ก็ไปครับ

แต่ก็มีหลายคนที่ต่อให้ใส่หมวกขี่รถ เค้าก็คิดว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะขี่ไปไกลๆ และเค้าไม่ได้ชอบทะเล เค้าก็ไม่ไป

ไม่เห็นจะแปลกใจ