ศาลอาญายกฟ้อง "เอ็ม" หลานชาย อดีตรมว.ต่างประเทศ ละเมิดทางเพศดาราหญิง พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เชื่อว่าฝ่ายหญิงมีสติรับรู้ได้

วันนี้ (20 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีความผิดทางเพศหมายเลขดำ อ.2878/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิดิศร์ อินทุลักษณ์ หรือเอ็ม อายุ 36 ปี นักธุรกิจและหลานชาย อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นจำเลย ในความผิดฐานกระทำชำเรา และอนาจารหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภรรยาตนโดยใช้กำลังประทุษร้าย

อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 9 ส.ค.-10 ส.ค.2565 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรา และอนาจาร น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยนำเหล้า"โซจู" ให้ผู้เสียหายดื่มจนมีอาการมึนเมา เคลิบเคลิ้ม ไม่รู้สึกตัวแล้วจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายเพื่อสนองความใคร่ โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม และไม่อาจขัดขืนได้ จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัว

คดีนี้เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลนัดพิพากษาคดีแล้ว แต่จำเลยไม่ได้มาศาลไม่แจ้งเหตุขัดข้องพฤติกรรมเชื่อได้ว่าจำเลยหลีกเลี่ยงมาฟังการพิจารณาคดีจึงให้ออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา ให้ยึดเงินประกันจำเลย พร้อมนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันนี้

วันนี้ อัยการโจทก์ โจทก์ร่วม ทนายจำเลย เดินทางมาศาลส่วนจำเลยออกหมายจับมากกว่าหนึ่งเดือนยังไม่ได้ตัวจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง

ศาลพิเคราะห์แล้วว่า วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมหรือผู้เสียหายทะเลาะกับพี่สาวบุญธรรมไม่อยากกลับบ้าน จึงแชทพูดคุยกับจำเลยผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์สอบถามว่ามีที่พักหรือไม่ จำเลยจึงเสนอว่ามีห้องพักสามารถไปนั่งดื่มแอลกอฮอล์และนั่งฟังเพลงได้ จากนั้นผู้เสียหายและจำเลยได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องพักรีสอร์ตแห่งหนึ่ง นาน 2 ชั่วโมง จนกระทั่งพี่สาวมาตาม จำเลยจึงออกไปจากห้องพักก่อนจะกลับเข้ามาที่ห้องพักและอยู่ด้วยกันอีก 30 นาที

จากนั้นในเวลา 03.00 น.โจทก์ร่วมได้กลับไปยังห้องพักโดยใช้แอปพลิเคชั่นเรียกรถและสแกนจ่ายเงินก่อนจะถึงที่พักและหลับไปโดยไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนชุด ก่อนที่จะตื่นมาในตอนเช้าเข้าห้องน้ำแล้วพบว่ามีของเหลวสีขาวออกมาจากอวัยวะเพศ จึงเรียกพี่สาวมาดูและพากันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล โดยแพทย์โรงพยาบาลพบว่าของเหลวที่พบเป็นน้ำอสุจิ แต่ไม่พบสารเสพติดยานอนหลับ หรือ ยาเสียสาว ส่วนเยื่อพรหมจารีไม่ขาด ซึ่งผู้เสียหายได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสน.โชคชัยว่าถูกล่วงละเมิดโดยที่ไม่ยินยอมและคาดว่าถูกวางยา

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยพยานที่เป็นแพทย์และเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันว่าการตรวจปัสสาวะของผู้เสียหายไม่พบทั้งสารเสพติดและยานอนหลับ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจเลือด แม้ผู้เสียหายมีความประสงค์จะให้ตรวจเลือดแต่หากเกิน 24 ชั่วโมงไปแล้ว การตรวจเลือดก็ไม่เป็นผล แต่จะสามารถดูผลจากการตรวจปัสสาวะได้

ขณะที่จำเลยเบิกความในชั้นสืบพยานว่า ฝ่ายหญิงสมัครใจร่วมประเวณีด้วย ในวันนั้นตัวเองสวมใส่ถุงยางอนามัย แต่พบว่าถุงยางแตก จึงได้ออกไปที่ร้านขายยาและซื้อยาคุมมาให้กิน ศาลเห็นว่าแม้วันดังกล่าว โจทก์ร่วมจะสนทนากับจำเลยว่าจะไปพบเพื่อพูดคุยเรื่องงานเล่นมิวสิควิดีโอเพลงที่จะให้จำเลยสนับสนุน และมีการเปิดเพลงแนวยั่วยวนโจทก์ร่วมยังชวนจำเลยลุกขึ้นเต้น จนเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

คดีนี้พยานในที่เกิดเหตุ มีเพียงโจทก์และจำเลยซึ่งให้การยันกันเอง ถึงการยินยอมและไม่ยินยอม ศาลจึงต้องรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นการสนทนาก่อนเกิดเหตุ พิจารณาได้ว่า โจทก์มีความประสงค์ที่จะชักชวนจำเลยให้สนับสนุนการทำมิวสิควิดีโอเพลงเชื่อว่าไม่ได้มีเหตุผลใดเป็นพิเศษ มีข้อมูลแนะนำตัว และให้เปิดห้อง โดยจำเลยออกจากบ้านกลางดึก โดยหวังว่าจะได้นั่งกินดื่ม พูดคุยกับหญิงสาวหน้าตาดี มิเช่นนั้นไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องเสียเวลา เงินค่าห้อง อีกทั้งจำเลยยังเตรียมพกถุงยางอนามัยมา จำเลยย่อมคาดหวังว่าจะได้มีเพศสัมพันธ์กับโจทก์

ทั้งนี้จำเลยได้แอบถ่ายคลิปภาพ ซึ่งโจทก์ร่วมไม่ยินยอม แต่ศาลพิเคราะห์แล้วว่า วัตถุพยานดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมเป็นพยานหลักฐานคุณภาพดี ซึ่งในคลิปแรกเป็นคลิปที่พี่สาวพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามหาโจทก์ร่วมที่โรงแรม แต่โจทก์ร่วมก็ไม่ออกไปแสดงตัว คลิปที่ 2 และ 3 เป็นการสนทนาระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยตามปกติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปรากฏภาพโจทก์ร่วมมีสติสามารถออกมาส่งจำเลยที่หน้าห้องพักของโรงแรมได้ โดยเดินออกมาด้วยท่าทางปกติ มีสติสัมปชัญญะ และสามารถเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นกลับบ้านและจ่ายเงินเองได้ และโจทก์ร่วมใส่ชุดนักศึกษาหากมีการถอดและสวมกลับโดยคนอื่นโดยไม่รู้ตัวให้เหมือนเดิม การสวมใส่กลับจะต้องมีความผิดปกติ

เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานประกอบคลิปวิดีโอ คลิปเสียงทั้งหมดแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ว่าขณะนั้นโจทก์มีสติสัมปชัญญะ ยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้โจทก์ร่วมหรือผู้เสียหายพร้อมพี่สาวบุญธรรมที่นับถือกัน พากันเดินทางมาฟังคำพิพากษา ระหว่างศาลอ่านคำพิพากษาผู้เสียหายมีสีหน้าเรียบเฉย แต่หลังอ่านผลตัดสินว่ายกฟ้อง ผู้เสียหายมีสีหน้าเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องพิจารณาคดี โดยไม่มีการพูดคุยหรือให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด

https://mgronline.com/crime/detail/9670000088253

เป็นทีมเยือนก็แบบนี้ จากที่อ่านมันก็ยากอยู่นะที่จะบอกว่าโดนล่วงละเมิดแบบไม่ยินยอม ไม่รู้ว่ามีอะไรกันมากกว่านั้นไหม เพราะมีเรื่องธุรกิจมาเกี่ยวด้วย

ประเทศนี้ ไม่มั่นใจในระบบยุติธรรมใดๆละงับ

เยื่อพรมจารีย์นี่มันอยู่ตรงไหนนะครับ ลืมละ
มีโอกาสเยอะไหมครับ ที่มีอะไรกันแล้วจะไม่ขาด

แต่ศาลพิเคราะห์แล้วว่า วัตถุพยานดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมเป็นพยานหลักฐานคุณภาพดี ซึ่งในคลิปแรกเป็นคลิปที่พี่สาวพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามหาโจทก์ร่วมที่โรงแรม แต่โจทก์ร่วมก็ไม่ออกไปแสดงตัว คลิปที่ 2 และ 3 เป็นการสนทนาระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยตามปกติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปรากฏภาพโจทก์ร่วมมีสติสามารถออกมาส่งจำเลยที่หน้าห้องพักของโรงแรมได้ โดยเดินออกมาด้วยท่าทางปกติ มีสติสัมปชัญญะ และสามารถเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่นกลับบ้านและจ่ายเงินเองได้ และโจทก์ร่วมใส่ชุดนักศึกษาหากมีการถอดและสวมกลับโดยคนอื่นโดยไม่รู้ตัวให้เหมือนเดิม การสวมใส่กลับจะต้องมีความผิดปกติ

โจทก์แพ้เพราะคลิปนี้แหละมั้ง

ลองเสิร์จ hymen tissue ฮะ

ถ้าเย็บไม่ได้หนักหน่วงมาก, หรือหรรมเล็ก ก็มีโอกาสที่จะไม่ขาดนะ

แต่ถ้าเล่นกีฬาหนัก ก็ขาดได้เช่นกัน

กะแบล๊คเมล์เลยมั้งดูทรงคดี แจงซะละเอียดยิบ แต่ได้ความรู้เรื่องนึง โจทก์ยังซิงอยู่แค่นั้นเอง

ความเห็นอาจจะขัดใจนะครับ แต่บนศาลสู้กันด้วยพยานหลักฐาน ฝ่ายไหนเตรียมตัวมาดีกว่า หลักฐานแน่นหนา หักล้างกันได้ดีกว่า ฝ่ายนั้นจะมีโอกาสชนะมากกว่า

แบบนี้ถือว่าซิงไหมฮะ สมมติมีอะไรกันแล้ว แต่เยี่อไม่ขาด

จำเลย ถ้าบริสุทธิ์จริง คุณต้องฟ้องกลับนะ

ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะหยวนๆไม่เอาความ เพราะนี่ถือเป็นการแจ้งความเท็จ แบล๊คเมล์ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เลยนะ

ผลพิสูจน์ทางแลปจะบอกว่ายังเวอยิ่นครับ ถ้าเยื่อพรมฯไม่ขาด

น่าจะหลุดเพราะอ้างว่าถูกมอมยา แต่ผลตรวจไม่เจอสารเนี่ยล่ะ

ที่น่าสงสัย คือ จำเลยหนีทำไม วันนี้ก็ยังไม่มาศาลแต่ดันชนะคดี มันน่าสงสัยมั้ย ส่วนคำพิพากษาก็ว่าไปตามพยานหลักฐาน

มันขัดกับชัดเจนมาก เจ้าตัวอ้างว่าเมา แต่ตามคำพิพากษาบอกว่าคลิปที่เห็นไปคนละทางกัน

จากตอนแรกทะเลาะกับพี่สาว หนีออกมากินเหล้า

อ่านๆไป เป็นเรื่องนัดมาคุยงาน

งงจัด

คหสต ยินยอมหรือไม่ยินยอม ไม่ทราบ แต่ด้วยหลักฐานและคำให้การ ไม่เป็นคุณกับโจทย์เลย