เธียร์รี่ อองรี ตำนานกองหน้า อาร์เซน่อล ยอมรับในฐานะกูรู การมีเกมฟุตบอลเพิ่มขึ้นคือเรื่องดี แต่ในฐานะเฮดโค้ชและอดีตผู้เล่น เขารู้สึกเห็นใจรุ่นน้องเพราะกำลังเจอโปรแกรมที่มากเกินไป

อองรี เพิ่งเป็นเฮดโค้ชคุม ฝรั่งเศส คว้าเหรียญเงินในศึก โอลิมปิค ที่บ้านเกิด แล้วพักเบรกทีมชาติที่ผ่านมา หวนไปรับงานกูรูให้ CBS สื่อแดนสหรัฐอเมริกา

มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตัน "ปืนใหญ่" กับ นาธาน อาเก้ แนวรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือสตาร์ พรีเมียร์ ลีก สองคนล่าสุดที่บาดเจ็บจากเกมทีมชาติ

"ผมคิดว่าการได้พูดถึงเกมแข่งมากขึ้น คือเรื่องยอดเยี่ยมสำหรับพวกเราในรายการของ CBS" อองรี วัย 47 ปี กล่าวขณะร่วมรายการ

"ในฐานะกูรูประจำรายการ ผมมีความสุขมาก แต่ผมกำลังเป็นโค้ชด้วยเช่นกัน และสำหรับผม ตอนนี้วงการมีเกมแข่งมากเกินไป"

"จู๊ด เบลลิ่งแฮม บาดเจ็บไปแล้ว ในฐานะอดีตผู้เล่นคนนึง ผมไม่รู้ว่านักเตะยุคนี้ลงเล่นมากขนาดนั้นได้ยังไง"

"พวกเขาลงเล่นตลอดฤดูกาล จากนั้นร่วมแข่ง ยูโร แล้วกลับไปรับใช้สโมสร จนตอนนี้มาแข่งทีมชาติอีกครั้ง มันคือเรื่องที่ยากลำบาก เรายังมีรายการสโมสรโลกของ ฟีฟ่า ช่วงท้ายซีซั่น"

"ผมต้องการเห็น เอซี มิลาน เจอ ลิเวอร์พูล ผมต้องการเห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจอ อินเตอร์ มิลาน แต่ผมก็ต้องการเห็นเหล่าผู้เล่นที่ดีที่สุด สามารถโชว์ฟอร์มเต็มที่ในสนาม"

สัปดาห์ก่อน เควิน เดอ บรอยน์ กับ แบร์นาโด้ ซิลวา สองคนสำคัญ "เรือใบสีฟ้า" เพิ่งออกมาวิจารณ์โปรแกรมการแข่ง และ อองรี กล่าวเพิ่มเติม:

"เมื่อโฟกัสเฉพาะ แชมป์เปี้ยนส์ ลีก จำนวนเกมมันยังพอรับได้ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคุณรวม เนชั่นส์ ลีก, ฟุตบอลสโมสรโลก และรายการอื่นด้วย"

"หากเล่นในอังกฤษ คุณยังมี คาราบาว คัพ กับ เอฟเอ คัพ และนั่นมากเกินไป ผู้เล่นระดับท็อป ล้วนอยากมีส่วนกับการแข่ง แต่พวกเขาก็ต้องการลงเล่นด้วยสภาพร่างกายที่ดีที่สุด"

"ไม่ใช่แค่ด้านร่างกาย แต่ยังมีเรื่องของสภาพจิตใจ ดังนั้นลืมเรื่องเงินทั้งหลายไป ผมรู้ตัวเลขต่างๆ ดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง สุขภาพของผู้เล่นก็มีความสำคัญเช่นกัน"

จะบอกว่ากำไรแฟนบอลแรกๆก็ดีใจ หลังๆไม่ใช่ละ เยอะไป๊

อองรีพูดถูกนะ

แฟนๆ อ่ะ ชอบ เวลามีบอลให้ดูเยอะๆ

แต่อยากดูนักเตะที่เล่นในเวอชั่น ที่ดีที่สุดอ่ะ

ไม่ใช่เวอชั่นที่เหนื่อยล้า แบบตอนนี้

เท่าที่ดูสิ่งที่เปลี่ยนไปน่าจะมีแค่สโมสรโลกไหมกับบอลยุโรป ที่ปรับมาใหม่

นอกนั้นก็เหมือนเดิม

เนชั่นลีค มันก็คือกระชับมิตร แต่ฟีฟ่าต้องการเพิ่มความเข้มข้นก็เลยเอาเนชั่นลีคมาครอบ

ต่อให้ไม่มีเนชั่นลีค รายการแข่งกระชับมิตรทีมชาติก็มีอยู่ดี นักเตะก็ต้องไปร่วมอยู่ดี

อองรีพูดดี
จริงๆเพิ่มเกมส์สักรายการนึงมันยังพอรับได้
แต่พอรายการนึงทำ อีกรายการทำบ้าง อีกองค์กรเห็นก็เอาบ้างเพราะรายได้เข้าองค์กร
สุดท้ายรวมกันมันก็ไปกันใหญ่ พอนักเตะบ่นก็มีพวกมาบอกให้คนบ่นไม่ต้องลงอีก

อุ่นเครื่องกันเนชันส์ลีก ระดับความเข้มข้นคนละเรื่องเลยครับ

อุ่นเครื่องส่วนใหญ่ก็แค่ลองแผน ให้โอกาสผู้เล่นหน้าใหม่ พวกตัวจริงอาจจะได้เล่นกันแค่ 45-60 นาที บอลแพ้ชนะไม่มีผลอะไรมาก

พอมาเป็นเนชันส์ลีก ที่มีถ้วยแชมป์เป็นเดิมพัน ทุกทีมใส่เต็ม ตัวหลักเล่นกันเต็ม 90 นาที

และดูได้จากข่าวหลังเกมที่ฝรั่งเศสแพ้ ข่าวห้องแต่งตัวฝรั่งเศสเดือด เมญอง, โคนาเต้ ออกมาสับทีมผ่านสื่อ

เบลเยียมแพ้เนชันส์ลีก เดอ บรอยน์ ออกมาโวยเพื่อน

ระดับความเข้มข้น คนละเรื่องเลย

เพราะบอลทีมชาติ กว่าจะได้แชมป์โลก แชมป์ยูโร ต้องรออีกนานเท่าไร

ทีนี้พอมีเนชันส์ลีก หลาย ๆ ทีมถึงใส่กันเต็มแม็กซ์ อย่างเช่น เบลเยียม โปรตุเกส อังกฤษ เอาจริงกันทั้งนั้น

มันเยอะจนเกินพอดีไปมาก นักเตะกรอบหมด

ต้องให้เกิดเหตุฟุบคาสนามอีกใช่มั้ย พวกบริหารจอมหิวถึงจะคิดได้

แต่อีกส่วนคือนักเตะก็ได้ค่าจ้างที่ค่อนข้างสูงกว่าคนทำอาชีพทั่วไปนะ การจะต้องเหนื่อยมากกว่าคนทำงานทั่วไปก็ถูกแล้ว

ต้นคิดเนชันส์ลีกคือยูฟ่าเองครับ ไม่ใช่ฟีฟ่า เกิดขึ้นหลังจากฟีฟ่าเลิกใช้สัมประสิทธิ์ถ่วงน้ำหนักโซน และยูฟ่ามองว่ามี "ฟีฟ่าเดย์" อยู่แล้ว ก็น่าจะเอาอีกรายการมาจัดครอบได้

หากทำผลงานรายการนี้ดี ต่อให้ตกรอบในบอลยูโรหรือบอลโลก ก็สามารถแก้ตัวรอบเพลย์ออฟได้ผ่านรายการนี้ และมีผลพลอยได้คืออันดับโลกจะยังสูงต่อไปกว่าไปเตะข้ามโซน

ส่วนถ้วยแชมป์ ทีมที่มีลุ้นมีแค่ทีมในลีก A และเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายเท่านั้น

ปัญหาของรายการนี้คือ พอแข่งฤดูกาลหนึ่งเสร็จ ต้องมาแข่งบอลยูโรหรือบอลโลกรอบคัดเลือกอีกรอบซ้ำซ้อนไปอีก ส่งผลให้นักกีฬากรอบกว่าเดิม จากเดิมที่แข่งในลีกและสโมสรก็หนักอยู่แล้ว

อีกโซนที่จัดเนชันส์ลีกคือ คอนคาเคฟ แต่จะผูกติดกับ Gold Cup ไม่ได้เอกเทศอย่างของยูฟ่า โปรแกรมโดยรวมไม่แน่นเท่ายูฟ่าจัด

เฮียช่วยโทรไปบอกเวงเกอหน่อยก็แล้วกัน

แกก็ขยันรับงานจัด ทั้งคุม ทั้งจัดรายการ