แคลอรี่อิน เท่ากับ แคลอรี่เอ้าท์... จริงดิ

แล้ว ทฤษฎีแคลอรีในแบบฉบับของมนุษย์ ควรเป็นแบบไหน

ตามกฎของเทอร์โมไดนามิกส์ แคลอรี่อิน เท่ากับ แคลอรี่เอ้าท์... ก็เป็นเรื่องจริงตามกฎฟิสิกส์ครับ แต่นั่นคือในระบบปิด เหมือนในบอมบ์แคลอรีมิเตอร์

เราอยู่ในโลกมนุษย์ เราก็เป็นไปตามกฎของฟิสิกส์จริงๆ

แต่ร่างกายของเรามันมีความซับซ้อนมากกว่าพลังงานที่เท่ากับพลังงานที่ออก ตรงที่...

ร่างกายของเรามีความเชี่ยวชาญในการเก็บพลังงาน เอาไว้ในร่างกาย เพื่อจุดประสงค์หลักก็คือ

เอาไว้ใช้ในยามขาดแคลน เอาไว้ใช้ในฤดูกาลที่คุณไม่สามารถออกไปหากินได้

เพื่อให้คุณสามารถดำรง และขยาย เผ่าพันธุ์ มนุษย์นี้ต่อไปในอนาคต

ดังนั้นทุกๆแคลอรี่ที่เรากินเข้าไป มันมีพลังงานก็จริงอยู่ครับ แต่มนุษย์เราไม่ได้ใช้พลังงานทั้งหมดที่กิน

ความฉลาดของสิ่งมีชีวิตอย่างเราก็คือ เราเลือกจะเก็บพลังงานที่ได้จากการกินนี้ไว้ก่อน และในระหว่างนั้น หรือที่เหลือก็นำพลังงานนั้นไปใช้ด้วย

และอาหารที่เก็บเป็นพลังงานได้ดีที่สุดนั่นก็คือ น้ำตาลที่มาจากคาร์โบไฮเดรตนี่นะครับ ซึ่งการเก็บพลังงานจากน้ำตาล ก็เป็นห่วงจากฮอร์โมนที่ชื่อว่าอินซูลินซึ่งสร้างจากตับอ่อน

ทุกๆโมเลกุลของกลูโคสที่ได้จากการย่อยคาร์โบไฮเดรต จะถูกนำเข้าสู่เซลล์ตับเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์อื่นๆ

เซลล์ตับหรือเซลล์กล้ามเนื้อ จะรีบเก็บน้ำตาลเหล่านั้นในรูปแบบของ แป้งไกลโคเจนทันที เพราะแป้งไฮโคเจนนี้จะสามารถสลายมาใช้เป็นน้ำตาลได้ง่าย ในสภาวะที่เรางดกิน

ส่วนในเซลล์ตับ มีความสามารถยิ่งกว่าก็คือ สามารถที่จะเก็บพลังงานที่ได้จากการกินนั้น ในรูปแบบของไขมันไตรกลีเซอไรด์ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า De Novo Lipogenesis (DNL) จากนั้นก็นำไตรกลีเซอไรด์เหล่านี้ แพ็คให้อยู่ในรูปของ VLDL แล้วนำส่งไปตามหลอดเลือด เมื่อไปถึงเซลล์เนื้อเยื่อไขมัน เซลล์เนื้อเยื่อไขมันเหล่านั้นก็จะเก็บเอาไตรกลีเซอไรด์ มาไว้ในเซลล์ เอาไว้เป็นแหล่งพลังงานสะสมนั่นเอง

ดังนั้นถ้าจะเขียนสมการทฤษฎีแคลอรี่ให้ถูกต้อง สำหรับในร่างกายของคนเรา ก็ควรจะเป็นตามภาพนี้...

แคลอรี่กิน = แคลอรี่ใช้+ไขมันสะสม

ปัญหาของมนุษย์เราตอนนี้ก็คือ เราสะสมไขมันกันมากเกินไปหรือเปล่า

จนมนุษย์หลายๆคนมีพลังงานล้นออกมาอยู่ในหลอดเลือด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานในรูปแบบของน้ำตาล (เบาหวาน) หรือไขมันไตรกลีเซอไรด์ ( ไขมันในเลือดสูง)

(ส่วนคอเลสเตอรอลไม่ได้อยู่ในสมการนี้เลย!!!!! เพราะคอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างพลังงาน)

ทฤษฎีการนับแคลอรี่อาจจะพอใช้ได้ ถ้าร่างกายของคุณไม่มีการสะสมไขมันมากจนผิดปกติ

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สภาวะระบบเผาผลาญของคุณ มีแนวโน้มหรือทำงานไปในเรื่องของการสะสม พลังงานมากกว่าการใช้พลังงานมากๆ

เมื่อนั้นทฤษฎี การนับแคลอรี่ จะไม่สามารถใช้ในการลดความอ้วนหรือแก้ปัญหาระบบเผาผลาญได้อีกต่อไป

แต่คุณต้องไปปลดล็อค "แม่กุญแจ" สำคัญ ที่ทำให้ระบบเผาผลาญของคุณ ติดค้างอยู่แต่ สะสมพลังงาน

แม่กุญแจที่ทำให้ร่างกายเลือกที่จะสะสม พลังงานในรูปแบบของไขมัน
แล้วล็อคไม่ให้เราสามารถใช้พลังงานจากไขมันได้

แม่กุญแจนั้นคืออะไร
ผมคิดว่าหลายท่านที่ติดตามคงทราบแล้ว...

แต่ถ้ายังไม่ทราบรีบอ่านสารบัญหน้าแรกของเพจได้เลยครับ

เพราะ คำตอบเกี่ยวกับเรื่อง การสะสมไขมันอยู่ในสารบัญแล้ว

#หมอจิรรุจน์

https://www.facebook.com/share/p/8BZEd9gK8c7cxyqF/?mibextid=WC7FNe

สำหรับผมมันคือไกด์ไลน์ ที่เอาอะไรที่ยุ่งยากๆๆเนี่ย มาทำให้เป็นรูปธรรมแม่งเลย

นับไปก็(เกือบจะ)ไลฟบอย เพราะในเมื่อสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อย่างฮอร์โมน คอติซอล อินซูลิน ไทรอย
ก็มามีส่วนร่วมหลักในการ จัดการอาหารอยู่ดี

ใช้ประกอบกับบางเรื่องได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างครับ

ร่างกายเรามีความพิเศษอื่นๆอีกเยอะ

ความรู้ 10 ปีที่แล้ว แคลอิน แคลเอาท์ ใครยังใช้สูตรนี้อยู่ เหมือนใช้ window 98

แคลลอรี่อิน เท่ากับ แคลลอรี่เอ้าท์ มันเป็นระบบปิด

เห็นสมัยนี้เค้าก็พูดถึง สมดุลสารอาหาร แคลลอรี่ ระบบเผาผลาญ และฮอโมนกันอยู่แล้ว

เพราะไม่ทฤษฎี วิธีการไหนๆสุดท้ายยังไงร่างกายคนเราก็คือคำตอบ

อ่านจบแล้วจริงๆสมการเดียวกัน
In = out + acc
แต่เรานับแคลจะ take acc = 0
เพราะเราจะหา in ที่ไม่ให้เกิดการสะสมไง
แล้วเอาแค่เฉพาะที่ร่างกายเผาผลาญ​ได้ เพื่อไม่ให้กินเกิน

ตอนลงท้ายเขาอาจจะแนะนำวิธีลด acc
แต่มันก็ยังนับ in = out เป็นกรอบในการนับแคลได้หรอก

สาระมีอยู่จริง ชอบๆ