สมัยเป็นนักเตะ Enzo Maresca เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง เริ่มจากเป็นนักเตะเยาวชน AC Milan เป็นที่ที่เค้าสานสัมพันธ์กับ Roberto De Zerbi ในฐานะเพื่อน จากนั้นก็ย้ายมาอยู่กับ West Bromwich Albion ตอนอายุได้เพียง 18 ปี
จากนั้นในปี 2000 ก็ย้ายไปอยู่กับ Juventus ได้เล่นภายใต้การคุมทีมของ Carlo Ancelotti, Marcello Lippi เป็นช่วงที่ยูเว่มีนักเตะอย่าง Zidane, Conte, Del Piero, Inzaghi, Davids, Nedved, Trezeguet, Thuram, Buffon ระหกระเหินไปเรื่อยจนได้ไปเล่นให้ Malaga ในปี 2012 เป็นที่ที่เค้าได้พบเจอกับ Manuel Pellegrini และย้ายทีมไปเรื่อยๆจนแขวนสตั๊ดกับ Hellas Verona
Maresca เริ่มอาชีพโค้ชในปี 2018 โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชที่ Ascoli ทีมใน Serie B และในปีเดียวกันย้ายมาที่ Sevilla ในตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชของ Vincenzo Montella
จากนั้นในปี 2019 ก็ได้มาร่วมงานกับเจ้านายเก่าที่ West Ham โดยเป็นผู้ช่วยของ Manuel Pellegrini พาทีมจบอันดับ 10 ของตาราง
ในซีซั่นถัดมาก็ได้รับหน้าที่คุมทีม U23 ที่ Manchester City พาทีมคว้าแชมป์ลีกในปี 2020–2021 โดยเป็นที่ที่เขาได้เจอกับ Joe Shields หัวหน้าฝ่ายสรรหาของเชลซีในปัจจุบัน และมีส่วนสำคัญในการพัฒนานักเตะอย่าง Cole Palmer, Romeo Lavia ขึ้นมา
สุดท้ายโอกาสในการคุมชุดใหญ่ก็มาถึง โดยเริ่มจากการเป็นผู้จัดการทีม Parma ใน Serie B แต่คุมได้เพียง 14 นัดก็ต้องถูกปลดเพราะผลงานไม่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น Pep ก็ยังเห็นถึงศักยภาพของเขาอยู่ เลยชักชวนให้กลับมาที่ City อีกครั้งในฐานะผู้ช่วยโค้ช และปีนั้นเขาคว้าทริปเปิ้ลแชมป์
Enzo Maresca ให้คำนิยามสไตล์การเล่นของตัวเองว่าเป็น Positional Play หรือการเล่นแบบเน้นการครอบครองตำแหน่งในสนาม ซึ่งแต่ละจุดในสนามจะต้องมีนักเตะของทีมเราประจำตำแหน่งอยู่ เป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครองบอลและสร้างเกมส์รุกได้มากขึ้น
Positional Play นั้นอาศัยความเชื่อใจในแผนงานของโค้ช เชื่อใจเพื่อร่วมทีมเป็นอย่างมาก แม้ในบางครั้งนักเตะจะอยากออกจากพื้นที่เพื่อที่จะไปช่วยเพื่อน หากโค้ชไม่ได้สั่งก็ต้องหักห้ามใจไว้
มีครั้งนึง Theiry Henry เคยถูก Pep เปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งเพียงเพราะว่าไม่ยอมประจำตำแหน่งในฝั่งซ้าย ถึงแม้การออกจากตำแหน่งครั้งนั้นจะทำให้เขายิงประตูได้ก็ตาม
Henry เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเป๊บมีแผน คุณต้องเคารพแผนของเขา คุณต้องอยู่ในพื้นที่ของคุณ โดยเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมว่าบอลจะมาถึงคุณ”
แต่หลายคนชอบคิดกันไปเองว่า Positional Play คือการทำลายความคิดสร้างสรรค์ของนักเตะ มันไม่จริงซะทีเดียว มันอยู่ที่โค้ชด้วยว่าวางหมากให้นักเตะแต่ละคนทำอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่างคนที่เคยเล่นในระบบนี้ ชัดๆเลยคือ Leoniel Messi, Andres Iniesta, Joshua Kimmich, Kevin De Bruyne, David Silva เราจะเห็นได้ว่านักเตะเหล่านี้แทบจะมีฟอร์มการสร้างสรรค์ประตูที่ดีที่สุดในชีวิตภายใต้ระบบนี้เลยก็ว่าได้
แต่ข้อเสียจริงๆของ Positional Play นั้นเป็นเรื่องของคุณภาพของผู้เล่น ครั้งนึง Pep เคยพูดว่า “สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ Tactic หรอก จะ 442, 433 อะไรก็ช่าง ถ้าคุณภาพผู้เล่นไม่ถึง ทุกอย่างก็จบ” (หาคลิปไม่เจอ น่าจะเกือบ 10 ปีละ ขออภัยคร้าบ) หรือการสัมภาษณ์เรื่อง Tactic ของ Pep แต่ละครั้ง มักจะเน้นย้ำไปที่คุณภาพเป็นหลัก
และดูเหมือนเรื่องนี้จะจริง เพราะตั้งแต่ 2008 มาจนถึงปัจจุบัน มีซักกี่ทีมที่อยากเล่น Positional Play ครองบอลยับๆแบบ Pep มีกี่ทีมที่ทำได้ แล้วเวลาเจอกับ City ทำไมทีมเหล่านั้นครองบอลเป็นรอง? คุณภาพคือตัวแปรที่สำคัญ
มีโค้ชหลายคนที่อยากเล่นแบบนี้แล้วล้มเหลว บ้างก็เป็นตัว U บ้างก็สร้างสรรค์เกมส์รุกไม่ได้ บ้างก็ส่งบอลผิดพลาดจนเสียประตู เอาแบบชัดๆก็คือ Burnley ในฤดูกาลที่พึ่งจบไป เพราะฉะนั้นหากอยากให้ทีมเล่น Positional Play ให้ดี ก็ต้องมีคุณภาพผู้เล่นที่ดีด้วย ซึ่ง Chelsea ของเรามีศักยภาพที่จะทำได้ดี
ตอนนี้ให้เราโฟกัสสีเทา จะบ่งบอกได้ถึงเกมส์การแข่งขันว่า มีการต่อสู้กันตรงไหนมากที่สุดเมื่อทีมนั้นลงเตะ เอาแบบให้เห็นภาพง่ายๆ ให้มองหา Manchester City และตรงที่สีเทาเข้มๆนั่นแหละ คือเกมส์ของ City ส่วนใหญ่จะเล่นตรงนั้น ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม
xG จาก Open Play
เลสเตอร์สร้าง xG (คุณภาพการจบสกอร์) จากลูก open play ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของลีก โดยมีประตูที่ควรจะยิงได้ 65.82 ลูก แต่ยิงได้ 65 ลูก
พอมาดู xG จาก Set Play นี่คนละเรื่องกันเลย เป็นอันดับที่ 22 ของลีก โดยทั้งฤดูกาลลุ้นประตูจากลูก Set Play ไป 9.75 ลูก ห่างจาก Millwall ทีมที่ดีที่สุดด้าน Set Play เป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้ โดยทั้งฤดูกาล Millwall ได้ลุ้นไป 18.51 ประตู
เกมส์รับ Open Play
เลสเตอร์มีสถิติเกมส์รับจาก open play ดีเป็นอันดับ 2 ของลีก โดยทั้งฤดูกาลควรจะเสีย 29.67 ประตู แต่โดนไปจริงๆแค่ 27 ประตู
เกมส์รับ Set Play
ในส่วนของเกมส์รับ Set Play เลสเตอร์จัดว่าเป็นพวก average หรือกลางๆ ไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้แย่ อยู่อันดับที่ 13 ของลีก เสียไป 13 ประตู จากที่ควรจะเสีย 12.84 ประตู
การครองบอลที่ดีคือการครองบอลแบบมีจุดหมาย ครั้งนึง Pep เคยพูดไว้ว่า “เขาเองไม่ชอบการครองบอลแบบ Tiki-Taka เพราะมันฟังดูเป็นการครองบอลแบบไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย” เพราะการครองบอลของ Pep คือการพยายามพาบอลเข้าไปในเขตโทษของคู่แข่งให้ได้มากที่สุด