มันก็ต้องดูสถานะการเงินชช่วงนั้น ถ้าไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีเงินเก็บอีกก้อนนึงอยู่
ที่ดินก็คงเก็บไว้ รออนาคตราคาอาจขึ้นไปก่อน

ถ้าคุณไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน จะแบ่งออกไปซื้ออสังหาก็ได้นะ (ในงบที่เท่ากัน)
แต่ต้องมีข้อแม้ว่า

1. กรณีถ้าซื้อที่ดินเปล่า สำเร็จรูปแบบถมแล้ว ไว้รอขาย ก็เป็นความคิดที่ดี แต่ต้องดูราคาตอนซื้อให้ดี ไม่โดนโก่งราคาและคุณต้องแข่งกับดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน
เช่น บางคนซื้อที่ดิน 2 ล้านเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว มาวันนี้ขายได้ 3 ล้านก็เหมือนจะไม่คุ้มแล้ว เพราะ 2 ล้านเมื่อก่อนมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านในวันนี้เยอะมาก เอาไปลงทุนอย่างอื่น อาจจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า

2. กรณีถ้าซื้อคอนโด / ที่พักอาศัย / บ้าน หรืออาคารพานิชเพื่อไว้ปล่อยเช่า ผลประกอบการใน 12 เดือนอาจจะดีกว่าการเอาเงินไปฝากกินดอกเบี้ยในธนาคาร แต่ก็ต้องอาศัยโชคและดวงในการที่จะได้ผู้เช่าที่ดีด้วย และอาจจะต้องเสียค่าบำรุง ต่อเติมและซ่อมแซมด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเงินคุณไม่ใช่เงินเย็นจริงๆ แนะนำให้เก็บเป็นเงินจะดีที่สุด

ที่ิดินขายไม่ออกก็หมุนเงินยากครับ

ที่ดินถ้าเป็นราคาประเมิน 10 ล้านนี่ก้น่าสน

แต่ถ้า 10 ล้านตีราคาเองนี่ขอเงินสดดีกว่า

เจ้าของกรทู้เจ้าเก่า
ที่เขา เขาทำอะไรก็เรื่องของเขาครับ

เอาเงินสด แล้วรีบแพลนลงทุนหรือซื้อสินทรัพย์อื่นครับ

ผมเคยแซวอดีตผู้จัดการโรงงานแกเกษียณไปละ ว่าพี่มีเงินเป็นร้อยล้าน ออกไปก็ไม่ต้องซีเรียสละ แกสวนกลับมาว่าเงินมีแค่หลัก10ล้าน สวนนอกนั้นเป็นที่ดิน กูจะไปขายใครได้ ที่ๆนึงหลักสิบหลักร้อยล้าน ใครจะมาซื้อ พูดจบแกก็บอกว่าคงต้องให้รุ่นลูกขายละ

ที่ดินที่ไหนครับ
ใจกลาง กทม หรือพื้นที่เศรษฐกิจผมก็เลือกที่
แต่นอกนั้น เลือกเงินหมด โดยเฉพาะช่วงนี้

ถ้าแถวบ้านผม เลือกที่ดินละกัน

ก่อนโควิด โซนชานเมือง(แถวบ้านผม) ไร่ละ3-4ล้าน


ตอนนี้ ราคาไร่ละ6-7ล้าน

สำหรับผมมองได้ 2 มุม
1. ถ้าต้องการสภาพคล่องที่สูง จำเป็นต้องใช้เงินมาหมุน มาลงทุนต่างๆ ก็เก็บเป็นเงินสด (ถ้าลงทุนต่อยอดได้ถูกก็มีโอกาสกำไรอีก)
2. ถ้าไม่ได้ต้องการสภาพคล่องที่สูงก็เก็บเป็นสินทรัพย์อย่างอื่น อย่างเช่น ที่ดิน ผมคิดว่ายังไงมูลค่าที่ดินมันมีโอกาสเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งทำเล สภาพแวดล้อม(ถ้าเป็นที่ดินที่เชียงใหม่นี่ไม่รู้ว่าช่วงนี้แนวโน้มราคาเป็นยังไงเพราะมันก็ยังมีปัญหาฝุ่นมาเรื่อยๆ)

ที่ดินมันเพิ่มราคาในตัวเองได้ ในขณะที่เงินสดทำไม่ได้ (ยกเว้นเอาเงินไปต่อเงินอ่ะนะ)

ที่ดินมันเพิ่มราคาจากตัวมันเองไปเป็นหลายเท่าตัวได้

แต่คนจะเก็บที่ดินมันก็ต้องมีเงินหมุนเวียนในตัวเองก่อน

แต่ที่ดินอันที่จริงถ้าเอามาทำงานมันก็สามารถลงทุน เอามาสร้างรายได้ต่อเดือนได้ (ปล่อยเช่า ตลาดนัด สร้างโกดังเช่า บลาๆ)

จริงๆถ้าสถานที่ทำเลดี ที่ดินมันสามารถสร้างรายได้ต่อเดือนได้
และราคามันก็ทวีคูณในตัวมันเองได้ด้วย
ที่ดินมันสามารถสร้างรายได้เลี้ยงได้แล้วมันยังเพิ่มมูลค่าในตัวมันเองได้อีก

ที่ดิน 10ล้าน มันสามารถกลายเป็น 20 ล้านได้ (อาจจะใช้เวลาหลัก10ปีขึ้นไป) (ใช้เวลาไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถของคนแต่ก็อาจไปออกดอกออกผลในคนรุ่นต่อไปลูกหลาน)
แต่คนมีเงิน 10ล้านบางทีใช้เวลาอีก 20 ปี ก็ไม่สามารถเพิ่มเป็น 20 ล้านได้ (ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน)

จุดประสงค์ของทั้ง2อย่างมันไม่เหมือนกัน
ถ้าถามคนมีเงินไม่เดือดร้อนแล้ว เขาก็เลือกเอาที่
ถ้าคนไม่มีเงิน ยังไงมีเงินสดในมือมันก็สำคัญกว่า

แต่ก็อย่าลืม ความสามารถของคนไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหาเงินล้านหลายล้านได้ในชั่วชีวิตนึง
แต่ถ้าที่ดินมูลค่า10ล้านจริงๆ(ตามราคาประเมินกรมธนารักษ์ ราคาซื้อขายจริงมากกว่าราคากรมธนารักษ์)
มันไม่มีลด แต่จะขึ้นสูงขึ้นเท่าไหร่
จะใช้เวลาเกินช่วงชีวิตรึเปล่า มันก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ทำเล ในกรุงเทพ ปริมณทล จังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ
ที่ถนนหนทางมันยังขยายตัวไปเรื่่อยๆ ราคามันจะขึ้นไปเอง
คนที่มีเงินพอแล้วเขาไม่เอาเงินหรอก

เดี๋ยวนี้ต้องเงินสด

การเก็บที่ดินสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เก็บเงินยังได้ดอกเบี้ย หรือนำไปต่อยอดลงทุน
มีแต่เงินเพิ่ม

เก็บที่ดินมีแต่เงินลด
ไหนจะค่าภาษีที่ดิน ถ้าเก็บเฉยๆไม่ดูแลอะไร อาจโดนภาษีที่ดินปีหลักแสน สูงสุดคิดที่ 30% ของราคาที่ดิน
ถ้าไม่อยากโดนภาษีที่ดินก็ต้องดูแล จะปลูกสิ่งก่อนสร้าง ก็ต้องเสียเงินอีกหลักล้าน
จะทำสวนก็ต้องเสียเงินค่าจ้างคนดูแล
จะปล่อยเช่าก็ต้องมีคนดูแลในการเก็บค่าเช่า ต้องจ้างคน
ถ้าดื้อไม่หนีไม่จ่าย ไม่ออก ก็ไม่ได้เงินอีก
สรุปมีแต่รายจ่าย

สมัยก่อนที่ดินมีเท่าเดิม
แต่คนเรามีเกิดมากกว่าตาย
จำนวนคนมากขึ้น แต่ที่เท่าเดิม
เกิดการแย่งที่ดินทำให้ราคาที่ดินพุ่งเป็นฟองสบู่ (ราคาขึ้นเกินจริง)

ปัจจุบันคนตายมากกว่าคนเกิด
แต่ที่ดินมีเท่าเดิม
มีแต่คนอยากขาย แต่คนซื้อน้อยลง คนอยากขายเพิ่มขึ้น เพราะมีค่าภาษีที่เก็บมากขึ้น
ราคาที่ดินยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่ก็จริง
แต่ขึ้นแบบทยอยขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
ไม่ได้พุ่งแบบฟองสบู่แบบเดิมแล้ว

สำหรับผม แล้วแต่ทำเล มีหลายปัจจัย
ทำเล ฐานะของตัวเอง

ยกตัวอย่างที่ดิน ณ ที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพ 30 ปีก่อน มูลค่า 10 ล้าน ผ่านมาถึงรุ่นลูกความเจริญมาหา
ตอนนี้มูลค่า 1000 ล้าน (ซื้อ-ขายปกติ) ราคาประเมิน ประมาณ 400 ล้าน

ใครบอกกำเงินสดคุ้มกว่า ที่ดินก็สามารถให้ธนาคารประเมิณกู้ได้นะครับ ในวันที่คุณเดือดร้อน คุณก็สามารถขอเงินสดกับธนาคารได้ แต่มันอยู่ที่ว่าทำเลของคุณเป็นบ่อทองแค่ไหน