ผมว่าสบายนะ ไปรบสนามไหน ยิงฆ่าแม่ทัพ กษัตริย์ฝั่งตรงข้ามก่อน ชนะทุกสงครามแน่นอน

ระยะหวังผลไกลกว่าธนูฝั่งตรงข้ามไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ยิ่งประกอบกับบอกว่าเราฝีมือเทพอีกแสดงว่ายิง

แม่นจัด

สงครามจริงสมัยโบราณ มันไม่ใช่ว่าต้องฆ่าทุกคนในสนามรบถึงจะชนะนะ เอาจริงๆแค่โดนกราดยิงไปไม่กี่ชุด

ขวัญกำลังใจฝั่งตรงข้ามก็แตกกระเจิงละ จากประวัติศาสตร์ถ้าขวัญกำลังฝั่งตรงข้ามแตกกระเจิง ทหาร 1000

ก็ไล่ฆ่าหลายหมื่นคนสบายๆ ยังไม่รวมถึงสามารถสอยแม่ทัพฝั่งตรงข้ามสบายๆ ไหนยังไม่รวมที่เรารู้ประวัติล่วงหน้า

ว่าข้าศึกจะบุกตรงไหนๆ ใช้แผนอะไรอีกไปรอดักซ้อนแผนทำความเสียหายครั้งใหญ่ให้ศัตรูก็น่าจะพลิกสถานการณ์ได้ละ

Fact เกี่ยวกับปืน ในปวศ.บางระจันเกิดขึ้นในปี 1765 ซึ่งยุคนั้นมีปืนกันแล้วนะครับ

เราเห็นแต่ในหนังใช้ดาบฟันกัน แต่สยามกับพม่าทำสงครามใช้ปืนกันตั้งแต่ยุคเสียกรุงครั้งแรกแล้ว

ปืนคาบศิลา(musket) ในยุคนั้น (1760)

ใช้กลไกหินไฟกระทบกันจนเกิดประกรายไปจุดติดติดปืน

สงครามปฏิวัติอเมริกาปี 1775-1783 ทั้งอเมริกาและอังกฤษก็ใช้ปืนคาบศิลาทำสงครามกัน


ซึ่งยุคเสียกรุงครั้งที่สองกับยุคสงครามปฏิวัติอเมริกามันอยู่ร่วมยุคกัน


พม่ากับอยุธยานั้นรับเอาปืนไฟมาเป็นร้อยปีแล้วตั้งแต่สมัยตะเบงชเวตี้-บุเรงนอง / พระนเรศวร

ปืนในยุคเสียกรุงครั้งที่ 1 ปี 1568 เป็นปืนแบบที่ใช้ชนวนจุดติด

ปืนพวกนี้ใช้โดยทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสและสเปนที่มีอยู่ในกองทัพพม่าและสยาม

ปืนมีใช้กันนานแล้ว เหมือนมุขตลกในหนังพี่มาก ที่กลุ่มพระเอกจะออกไปฟันกับพม่าแต่เจอยิงสวนมา 5555+


การทำหนังสงครามการฟันดาบมันตื่นเต้นกว่าใช้ปืน

แล้วเอาจริงๆในสงครามจริงๆก็ไม่ได้ใช้ดาบ ส่วนใหญ่จะใช้หอก ง้าว ที่มีความยาวกว่าสู้กัน

ทั้งในสมัยจีนโบราณ ญี่ปุ่นยุคโชกุน หรือในยุโรปยุคกลาง ไปจนถึงยุคกรีก-โรมันเลย

เป็นเราให้เลือกดาบกับหอกหรือง้าวลงไปสู้กัน เราคงเอาอาวุธที่มีความยาวกันเพราะได้เปรียบ

พวกมาเป็นแสนนะ