ตอบในฐานะคนที่เคยปลูกผักไฮโดรโพนิกส์(ตอนนี้เลิกปลูกแล้ว)

1. ถ้าทำเพื่อการพาณิชย์ ให้เลือกระบบ NFT แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะอุปกรณ์ ณ ปัจจุบันถูกมากกกก ถูกกว่าตอนที่ผมเริ่มประมาณ 40-60%
.
2. ไม่แนะนำให้ใช้ท่อ PVC ทำ ยกเว้นจะทำเล่นกิ๊กๆ ก๊อกๆ ประดับบ้าน เหตุผล PCV เป็นท่อท้องกลม ถ้าน้ำแรงไปมันจะไหลไปกับท่อต้องเสียเวลาจัดใหม่ให้ตรงรูอยู่เรื่อยๆ วิธีแก้ไขคือต้องซื้อถ้วยปลูกมาใช้ ซึ่งเสียเงิน 2 ต่อ แถมถ้วยปลูกเป็นพลาสติกอายุการใช้งานไม่นาน ปลูกเสร็จถอดออกจากถ้วยเสียเวลาล้างทำความสะอาดหลายรอบ ไหนจะทำความสะอาดราง ต้องมาเสียเวลาทำความสะอาดถ้วยปลูกอีก แถมตอนปลูกก็ต้องมาเสียเวลาแยกต้นกล้าออกจากฟองน้ำเอามายัดใส่ถ้วยปลูก เริ่มต้นมันง่ายก็จริง แต่ตอนใช้งานจริงมันกินเวลากระบวนการปฏิบัติงานมหาศาล ตัดกลับมาที่ NFT ท่อสำเร็จท้องรางจะมีร่องฟันปลา คุณเพาะกล้ากับฟองน้ำในตะกร้า พอต้นกล้าแข็งแรงก็เอาฟองน้ำมาฉีกแล้ววางได้เลย จบ เสร็จงานแยกย้าย
.
3. ระบบน้ำนิ่งก็เหมาะกับผู้ทดลอง แต่ระบบน้ำนิ่งไม่เหมาะกับการปลูกต่อเนื่อง เต็มที่ก็ไม่เกิน 2-3 รอบที่ผักจะงาม หลังจากนั้นเชื้อโรคที่สะสมในระบบเพราะน้ำไม่หมุนเวียนจะเยอะ ผักตั้งแต่รุ่นที่ 4 เป็นต้นไปจะเริ่มมีปัญหา
.
4. Aeroponic ผมไม่เคยทำ เพราะดูระบบยุ่งยากสุดๆ แถมถ้าพื้นที่ที่ทำมีปัญหาเรื่องหินปูนระบบนี้ตัดทิ้งได้เลย เพราะหัวพ่นหมอกคุณจะตันภายในเวลาครึ่งปี และต้องเสียเงินเปลี่ยนไม่จบสิ้น

.
.
เหตุผลที่ผมเลิกปลูก
ผมทำไม่ได้ใหญ่มาก ประมาณ 8 โต๊ะ แต่ปัญหาคือลูกค้าประจำระยะยาวเขาไปไม่รอด หยุดกิจการ หาลูกค้าประจำรายใหม่เพิ่มไม่ได้ ทำให้ไม่คุ้มทุน โดยเฉพาะช่วงหลังโควิดปัญหาที่เจอคือต้นทุนค่าปุ๋ยเพิ่มสูงขึ้นจนแบกไม่ไหว เอาง่ายๆ ผมต้องจ่ายค่าปุ๋ย AB ที่ขยับจาก 1800 มาเป็น 2500 ในเวลาแค่ 2 ปี แต่กลับกันราคาผัก/ ก.ก. เพิ่มได้เพียงแค่ 5-10 บาท แบกต้นทุนระยะยาวไม่ไหว เลยหยุดทำครับ
.

สงสัยอะไรถามได้ครับ