อนาคตรถยนต์ EV เทรนด์-การพัฒนา-โลก
เห็นมีคนถามตลอดเรื่อง EV ซึ่งแน่นอนว่าเพราะมันเป็นเทรนด์ แต่มันอาจจะมากจนมีคนหาว่าใน SS มีคนเป็น IO BYD บ้าง เลยไปหาข้อมูลมาครับ ว่าการที่มันถูกพูดถึงเยอะขนาดนี้เป็นเพราะอะไร ทำไม ฯลฯ น่าสนใจเลยมาแบ่งกันดู
1. BYD คือ"เจ้าตลาด"รถยนต์ EV ครับ Q1/2023 นี่คือแบรนด์รถยนต์ EV ที่ขายดีที่สุดในโลกครับ (จริงๆอยู่อันดับ 1 ตั้งแต่ต้นปี 2022) โดยมีอันดับ 2 เป็น Tesla นั่นเอง ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพราะตลาดในจีนใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าแบรนด์คู่แข่งเยอะมากครับ ปีนี้ BYD ขายไปแล้วเป็นล้านคัน เทสล่าเกือบๆ 9 แสนคัน ขณะที่แบรนด์อื่นๆยังไม่แตะสามแสนคันด้วยซ้ำ
ฉะนั้น ไม่ต้องอวยอะไรหรอกครับ เค้ามาแล้วครับ และมาแบบจริงจังด้วย ส่วนนึงเพราะว่า BYD สามารถผลิตแบตเตอรี่ได้เอง จึงได้เปรียบหลายยี่ห้อตรงนี้ครับ
2. เมกา แซงขึ้นเป็นตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกแล้วเมื่อเดือน 7/2023 ที่ผ่านมา (ก่อนหน้านี้อันดับ 2 คือเยอรมันนี) เนื่องจากว่ามีจำนวนประชากรเยอะกว่าครับ -
https://www.thenationalnews.com/business/technology/2023/06/16/us-surpasses-germany-to-become-worlds-second-largest-ev-market-after-china-in-q1/
3. จำนวนยอดขายรถ EV เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป ตอนนี้คือเกือบๆ 20% ทั้งโลกแล้วครับ (ปี 2019 ตัวเลขตรงนี้แค่ 2.5%)
อ่ะ นั่นแปลว่า EV มาแน่ๆ และเป็นกระแสทั้งโลกแน่ๆ โดยไม่ต้องอวยอะไรเลย และยิ่ง BYD ยอดขายแบบนี้ ไม่ต้องอวยมันก็มา เพราะในระดับโลกมันก็มาจริงๆ และถ้ายิ่งดูรูปสุดท้ายนะ ไทยเป็นตลาดที่รถยนต์ EV โตมากๆในภูมิภาค ฉะนั้น แบรนด์อันดับ 1 ของโลกจะมีทำตลาดแบบจริงจังในไทยก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติไปใหญ่
โอเค งั้นต่อมาล่ะ ทิศทางการพัฒนาของรถ EV จะไปทางไหน เราพูดกันว่าอยากได้แบตที่วิ่งได้นานขึ้น ชาร์จไวขึ้น แต่ด้วยความที่เราเป็นมาร์เก็ตเล็ก เราเลยมาดูภาพใหญ่กันครับ ว่าจริงๆคนบนโลกนี้เค้าอยากได้รถ EV แบบไหนกัน
ซึ่งถ้าเราดึงแค่ตลาดใหญ่มาวิเคราะห์ เราน่าจะได้เห็นรถที่วิ่งได้ไกลขึ้นแน่ๆ เพราะตลาดแบบจีนและเมกาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว (รวมถึงเยอรมันนีที่ตอนนี้เป็นตลาดใหญ่อันดับสามเช่นกัน) ขณะที่เวลาที่ใช้ในการชาร์จไม่ได้สำคัญเป็นอันดับต้นๆด้วยซ้ำ ซึ่งอันนี้ต้องเข้าใจว่าสำหรับตลาดแบบยุโรปอันนี้ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะกฏหมายกำหนดไว้แล้วว่าห้ามขับรถเกิน 4 ชม. ถ้าเกินต้องพักอย่างน้อย 15 นาที นั่นแปลว่ายังไงๆก็มีเวลาที่ต้องพักและได้ชาร์จรถแน่ๆ
ฉะนั้น คนที่ได้อยากรถที่ชาร์จได้เร็วขึ้น อันนี้ผมว่าระดับ 120/150 kW/h น่าจะเป็นมาตรฐานไปอีกซักระยะครับ เพราะตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนต้องการมากที่สุดละ อาจจะไปมองเรื่องการดูแลรักษารวมถึงความทนทานในระยะยาวมากกว่าแทน (เพราะซื้อกันเยอะแล้วนี่ ก็ไปสนใจเรื่อง aftersales แทนละ)
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมจากตารางด้านล่างคือ คนไม่ได้แคร์แบรนด์ครับ มีหลักหน่วยเท่านั้นที่ไม่ซื้อรถ EV เพราะแบรนด์ที่ชอบไม่ได้ทำรถ EV นั่นแปลว่า คนจำนวนมากขอให้ตอบโจทย์ด้านบนได้ จะยี่ห้อไหนกูก็โอเคทั้งนั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งแบรนด์ญี่ปุ่นไม่ค่อยเข้าใจ เพราะ"เค้าเชื่อว่า"ชนชาติเค้าส่วนใหญ่มีทั้งความชาตินิยมและ brand loyalty สูงมากๆ คืออยู่กับอะไรแล้วก็จะอยู่กับอันนั้นมากกว่าชาติอื่นๆ ทั้งๆที่ดูจากตัวเลขแล้วไม่จริงเลย
อีกตัวเลขที่น่าสนใจแต่มาจากคนละการสำรวจกันคือ เรื่องราคาขายต่อที่แทบไม่มีใครในโลกให้ความสนใจเลยครับ เป็น % ที่น้อยมากๆ (ผมว่าคนไทยยังให้ความสำคัญตรงนี้ค่อนข้างมาก)
วันนี้ก็ขอจบไปก่อนเท่านี้ละกันครับ เจออะไรน่าสนใจจะเอามาแบ่งกันอ่านอีกครับ