ไอ่พวกที่บอกกลัวเงินเฟ้อ ก็พวกที่โขกสับจนชินไปแล้วนี่แหละ
ซึ่ง ก็เพราะพรี่โขกสับกันเก่ง มันถึงได้มีคนแบบเซีย จำปาทอง ขึ้นมาไง

มันต้องควบคุมกันหลายชั้นนิ ตาม common sense

จะขึ้นเงิน แปลว่าเงินในระบบมากขึ้น cost สูงขึ้นส่งผลย้อนกลับมาหาราคาสินค้าเพิ่มขึ้น

ทีนี้ไปจิ้มเรื่องนึงก่อนคือ ราคาต้นทุนเพิ่ม cost เพิ่ม ค่าครองชีพสูง
ต้องหาหน่วยงาน มาตรงจสอบว่าค่าครองชีพปัจจุบันสมเหตหรือไม่
ตอน covid ก็ขึ้นมาที พอปัจจัยบางอย่างกลับไปปกติ ราคาค้างที่เดิม ถึงเวลาขึ้นเอาๆ ไม่สอดคล้องกัน แบบนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้รัฐบาลไหนก็ตาย เงินขึ้นที พ่อค้าแม่ค้าขึ้นตาม

ส่วน sme นั้น ต้องปรับตัว ต้องสู้ เดียวพูดแรงจะกระทบใจเปล่าๆ แต่ sme ไม่ใช่คนน่าสงสารที่ทุกต้องอุ้มกันทุกคน

ทางที่ถูกคือลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตอนนี้อยู่ในกลุ่มนายทุนขนาดใหญ่เกินครึ่ง
ส่วนค่าแรงควรเป็นไปตามความต้องการของตลาด
แรงงานจะได้พัฒนาตัวเอง อย่างโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ค่าแรงรายวันบางที่ 450 บาทไปนานแล้ว มีค่าเบี้ยขยันวันละ 20-30 บาท ไม่รวม ot วันละ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งได้อีก 100 บาทขึ้น

ลดภาษี รายได้บุลคลครับ

เงินเฟ้อเกินค่าครองชีพไปไกลแล้วทุกวันนี้

นอกจากเรื่องค่าแรง ลองถอยออกมาดูภาพกว้าง ค่าแรงจะขึ้นได้เอกชนsmeต้องแข็งแรงเติบโต เกิดการแย่งแรงงานกันค่าแรงถึงจะขึ้น แต่ตลาดโลกเราก็ส่งออกแย่ลง เกษตรก็เริ่มสู้เวียดนาม อินเดีย จีนไม่ได้ ภาคอุตสาหกรรมก็แย่ลง โลกเริ่มหันไปทางevมากขึ้น ญี่ปุ่นนักลงทุนใหญ่ยังแย่เราก็แย่ตาม

จะหวังพึ่งเศรษฐกิจในประเทศก็ยาก เจอจีน(อีกแล้ว)เข้ามาตีตลาดเองทำไรเอง อัตราการเกิดต่ำ สังคมผู้สูงอายุ เครื่องยนต์เศรษฐกิจเดียวที่หวังพึ่งได้คือท่องเที่ยว เทคโนโลยีที่มาdisruptอีก

ถ้ารัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมsmeให้แข่งกับตลาดโลกได้ ขึ้นค่าแรงก็เสี่ยงสูงที่จะล้มกันเยอะ รัฐบาลไอ้ตู่มันก็เลยง้อนายทุนเยอะๆไงให้ลงทุนเยอะๆขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่มันไปโตหัวตัวแคระ เศรษฐกิจล่างๆลำบาก

ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริงปัญหาคือ ราคา ข้าวตามร้านต่างๆปรับขึ้นแน่นอน แต่คนที่ได้รับผลกระทบคือคนที่ได้เงินเดือนเกินรายได้ขั้นต่ำแล้วแน่ๆ ซึ่งจะไม่ถูกปรับเพิ่มขึ้นตามแน่นอนอ้างอิงแฟนผม(ถามหัวหน้ากับผอ.ในแผนกเรียบร้อย) และ เพื่อนผม(ถามหัวหน้าสายงานเรียบร้อย) มันจะเท่ากับว่าเงินเดือนเท่าเดิม ค่าบริโภคเพิ่มขึ้น อันนี้น่าจะเป็นโจทย์ที่รัฐบาลใหม่ต้องแก้ให้ได้

ผมไม่มีความรู้หรือได้เสียจากการขึ้นค่าแรงโดยตรง ก็รอดูเหมือนกันว่ามันจะออกไปในทิศทางไหน เชื่อว่ารบ.ไงก็ต้องคิดมาแล้วเรื่องจะปรับค่าแรง เพราะดูนโยบายหลายๆอย่างเน้น sme มากๆ เลยคิดว่าน่าจะคิดเผื่อ sme มาแล้วจริงๆ เข้าใจในความคิดทั้งคนเหนด้วยและไม่เหนด้วย ก็จะรอดูว่ามันจะผ่านไปได้ไหม

แก้โขกสับมันต้องแก้ที่สวัสดิการครับ ซึ่ง กก ก็จะทำ
ไม่ใช่ขึ้นค่าแรง

ส่วนผมโรงงานแบบ sme ที่ขายแบบ b2b ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ง่ายๆ เพราะลูกค้าก็ขึ้นราคาให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศยากเช่นกัน (เวลาค่าแรงเราขึ้น มันขึ้นแค่ในประเทศ ต่างประเทศไม่ได้รับรู้ด้วย ถ้าแพงไปเค้าก็ไม่ซืิ้อ) ถ้าขึ้นค่าแรงอีกจะทำยังไงเหรอครับ โจทย์คือ

1.ขายได้เดือนละ 3 ล้าน
2.จากเดิมจ่ายค่าแรง 7 แสน จะขึ้นเป็น 1.1 ล้าน
3.ราคาวัตถุดิบ ณ ปัจจุบัน 1.5 ล้านถ้าค่าแรงขึ้นเดี๋ยวก็ขึ้นอีก
4.Fix cost ตอนนี้ 4 แสน
5.ค่าไฟ 1.5 แสน

เดิมค่าใช้จ่าย 2.75 ล้าน (กำไรประมาณ 2.5 แสน) ค่าแรงเพิ่มค่าใช้จ่าย 3.15 ล้าน (ขาดทุนประมาณ 1.5 แสน)

ส่วนที่บอกขึ้นไม่ได้เพราะติดสัญญาลูกค้า แล้วถ้าหมดสัญญาแล้วขึ้นราคาสินค้าลูกค้าก็ไปซื้อต่างประเทศดีกว่า เพราะของผมเป็นสินค้าอุตสาหกรรม

ส่วนตัวผมไม่ห่วงธุรกิจที่สามารถควบคุมราคาขายได้ด้วยตัวเองเลย แต่กับธุรกิจที่ไม่สามารถควบคุมราคาขายได้เนี่ย พวกท่านๆ มีความเห็นยังไงบ้างครับ ส่วนตัวผมคงลดต้นทุนด้วยการใช้โรบอทมากขึ้น แต่ถึงยังไงมันก็ต้องมีการลงทุน แล้วการกู้ของ sme นี่ค่อนข้างยากเลย ถึงจะมีโปรอะไรมาก็แล้วแต่ แต่งานโรงงานธนาคารไม่เข้าใจบริบทของธุรกิจไม่ปล่อยก็คือไม่ปล่อย ไปให้ sme ที่เป็นงานค้าขายทั่วไปปล่อยยังเข้าใจมากกว่า

เกิดดิ ต้นทุนเพิ่ม ราคาก็เพิ่ม

.

ค่าข้าวตอนนี้ก็จานละ50ละนะ(อาหารตามสั่งทั่วไป)3มื้อ=150บาท ค่าแรงขั้นต่ำ350ป่ะตอนนี้ โจทย์คือจะแก้ยังไงทีนี้ค่าแรงไม่ได้ขึ้นมานานละนะ ส่วนค่าอุปโภคบริโภคขึ้นเอาๆ อาหารตามสั่งนี้จาก30ไม่ถึง2-3ปีขึ้นมา50ละ

นายจ้างเอาเปรียบกันจนชิน

พอขึ้นค่าแรงให้ได้เท่าที่ควรได้ เริ่มมีปัญหา

พอจะรู้หรือยัง ทำไมพวกนายทุนถึงไม่ชอบ รบ นี้

เอาจริงๆควรขึ้นได้ละ ข้าวของมันแพงขึ้นมากจริงๆ

ส่วนธุรกิจต้องปรับตัวอยู่ตลอดครับ ถึงอยู่รอดเพราะรัฐบาลมันเปลี่ยนทุก 4 ปี