กาแฟที่ใส่น้ำร้อน เค้าก็ผ่านกระบวนการเหล่านี้มาบรรจุซองให้แล้วไงครับ

ในคลิปเค้าเริ่มตั้งแต่ เมล็ดกาแฟ ยังเป็นเมล็ด ยังไม่ได้บด อะไรเลยครับ

โชคดีที่ไม่กินกาแฟ ไม่งั้นโดนเยอะแน่

แยกได้แบบชัดเจน แค่เมล็ดที่เลือกใช้ก็ต่างแล้วครับ กดมาสองแก้ว แก้วนึงกดเครื่องเอส กับแก้วนึงกาแฟผงใส่น้ำร้อน เห็นหน้าตาก็แยกได้แล้วคัรบ

อันนี้ในคลิปคือชงแบบเอส มันมีการชงอีกเป็นเกือบ 10 วิธีให้เลือกตาม ความต้องการของเรา วิธีการก็ไม่ได้เน้นเท่นะ แต่มันต้องทำ อย่างการกดเทมป์ ถ้าไม่กดกาแฟมันก็จะหลวม ตอนกดน้ำมันก็จะไหลพุ่งเลย ไม่อร่อย อีกอย่างพอกดให้กาแฟมันแ่นแล้ว ตอนจบงานจะทำแก้วต่อไป ถ้ากาแฟมันแน่นก็จะเคาะมาเป็นก้อนคุ๊กกี้ ทำให้ทำแก้วต่อไปได้ง่าย ก็ช่วยเรื่อง work flow อีก

ตัวน้ำกาแฟที่ได้ก็จะมีรูปรสกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป ของแบบนี้แนะนำให้ลองเองครับ วงการนี้มันลึกพอสมควร

จริงๆมันก็ลึกทุกวงการอะ อย่างลำโพง ท่านก็คิดว่าซื้ออะไรมาเสียบก็จบ แต่ความจริงมันไม่ใช่ไง

ไม่นะฮะ ปกติ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ค่อนข้างsensitive การจะทำให้รสชาติมันเสถียรก็ต้องละเอียดหน่อย การใช้เครื่องมือช่วยทำให้ควบคุมรสชาติแล้วก็การกลั่นกาแฟออกมาทำได้ง่ายขึ้น

เหมือนอาหารแหละครับ ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบก็มี ซึ่งถ้าจะกินง่ายๆเร็วๆก็พวกกาแฟสำเร็จรูปนี่ละครับ สะดวกดี

มานั่งอ่านอีกที ขอเปลี่ยนคำตอบเป็น มันคือวิธีชงกาแฟสดธรรมดาๆนี่ละฮะ ก็ถ่ายตามขั้นตอน มีอุปกรณ์สำหรับชงกาแฟ เหมือนทำอาหาร มีด,เขียง,เตา,ตะหลิว,กระทะ มันก็เป็นอุปกรณ์ทำอาหารไม่ต่างกัน ส่วนเทียบเรื่องรสชาติ ก็เปรียบดั่งข้าวกล่องเซเว่นกับอาหารตามสั่ง รสชาติไม่น่าเหมือนกัน

ถ้าไม่มีศิลปะ ไม่มีstory มูลค่าก็ไม่เกิดสิครับ

คนที่ชอบ เขาก็พร้อมจะจ่ายมากกว่ากับสิ่งที่เขาพอใจ ในขณะที่คนไม่ชอบ เขาก็คงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจ่ายแพงกว่า และยุ่งยากโดยไม่จำเป็น

การยอมรับและเคารพในความชอบส่วนบุคคลทำให้เรามีทางเลือกหลากหลายครับ

ชงแบบปกติ ก็แบบนี้แหละ

คนกินกาแฟเขาก็แยกได้แหละ

เราไม่กินก็ไม่ต้องไปทำเป็นบอกว่าเยอะหรอก

ก็คือรูทีนบาริสต้าปกตินี่แหละครับ บด เกรี่ย แทมป์ ชง แค่ปกติเขาทำอยู่หลังเครื่องหลังบาร์ก็เลยไม่เห็นกัน

ในคลิปมันเป็นเครื่อง Flair ครับเรียกได้ว่าเป็นเครื่องแบบ manual espresso คือการใช้แรงคนในการสกัดออกมา เพราะฉะนั้นการจะสกัดชอตกาแฟให้ได้เพอร์เฟคที่สุดต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเยอะครับ ต่างกับพวกเครื่อง espresso ที่เราเห็นตามร้านกาแฟทั่วไปพวกนั้น แค่ บดกดชง ก็ได้แล้วครับส่วนเรื่องเพอร์เฟคช็อตก็ขึ้นอยู่กับการเซ็ตติ้งเครื่องครับ แบบนี้มันถึงมีการจำแนกร้านที่เขาเรียกกันว่า slow bar กับ speed bar ครับ

ในคลิปคือการชง espresso ครับ นิยามคือผงกาแฟผ่านน้ำร้อนที่ความดัน 9 บาร์

ถ้าบดไม่ละเอียด ความดันก็ขึ้นไม่ถึง 9 บาร์ จึงต้องมีเครื่องบดดีๆ

พอผงละเอียดมาก มันจับตัวเป็นก้อน จึงต้องมีเข็มเกลี่ย สลายก้อน ให้ผงฟู

เกลี่ยหน้าเรียบเพื่อให้ผงเสมอกัน ไม่เอียง เวลาสกัด น้ำร้อนจะได้ผ่านเท่ากันทุกจุด

แทมป์เพื่อให้ผงกาแฟอยู่ชิดกันที่สุด เวลาสกัดความดันจะได้ขึ้นไปถึง 9 บาร์

สรุปผลลัพธ์ได้ espresso 1 shot กินเพียวๆหรือเอาไปผสมเป็น base ของเครื่องดื่มต่างๆ

เทียบกับกาแฟสำเร็จรูป รสชาติต่างกัน espresso จะมีความเข้มข้นมากกว่า

งานบาริสต้า ต้องอบรมก่อนด้วย ทำมั่วๆนี่เททิ้งนะ

เคยอ่านผ่าน ๆ เจอ (บาง) คนมาขิงว่า
ถ้าต่อแบบนี้ ใช้ตัวนี้ ฟังอันนี้
เสียงมันเพราะกว่านั่งฟังสด ๆ ต่อหน้าอีกนะ

โอ่ยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่แหล่ะ คือเหตุผลนึง ที่ผมไม่อยากหูเทพ 555555


เรื่องที่บอกว่า มันลึกทุกวงการนี่โคตรจริงเลยครับ
ไม่มีข้อยกเว้นด้วย

ขนาดวงการขอทานมันยังขิงใส่กันเลย

เริ่มต้นจากการชิม แล้วก็แยกแยะเองว่ารูป รส กลิ่น มันต่างกันมั้ย
ยังไม่ต้องไปซื้ออุปกรณ์ใดๆก็ได้

ผมว่าต่างชัดเจนนะ ขนาดไม่ได้อินอะไรมาก
ไป blind test เองเลยครับให้เข้าชงมา สองแก้วต่างวิธีทำกัน

ชอบอันไหนนั้นอีกเรื่องนะรสนิยมคนไม่เหมือนกัน อย่างผมชอบกาแฟดริป เป็นต้น

มว่ามันก็ทุกเรื่องนะ

คนทำเขาพอใจจะทำครับ ใ้ช้หลายอุปกรณ์ทำเพื่อให้การสกัดมันออกมาดีที่สุด

ส่วนรสชาติดีกว่าไหมแล้วแต่คน

แต่ถ้าผมชงเอง จะแค่บดแล้วแทมป์ก็ถือว่าเพียงพอ

ผมเองทีใช้ตัว Flair 58 ชงกินทุกเช้าก็ขั้นตอนประมาณนี้แหละ แค่ของไม่ได้หรูหราขนาดนี้