จากที่ได้อ่านหนังสือ หรือ ดูจากยูทูป เค้าว่ากันว่าดอกเบี้ยทบต้นเป็นอะไรที่ทรงพลังที่สุดแล้ว

ก็เลยสนใจที่จะลงทุนในระยะยาวพวกหุ้นต่างประเทศ เช่น S&P500 เป็นต้น
ซึ่งก็เห็นช่องทางการลงทุนสามารถซื้อได้ผ่านพวก กสิกร,ไทยพาณิชย์ เป็นต้น
กะว่าจะ DCA ซื้อไปเรื่อยๆ ยาวๆ

ทีนี้ผมสงสัยว่า มันจะทบต้นได้ยังไงเหรอครับ
เช่น เราซื้อเดือนละ 5,000 บาท ครบ 1 ปี
มันเอากำไร หรือ เอาเงินจากไหนมาทบต้นให้เราเหรอครับ หรือพอสิ้นปีปันผลออกมาแล้วทบกลับเข้าไปอัติโนมัติ

แบบไม่จ่ายดอก ก็มูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน

น่าจะอธิบายได้นะ

ทุกวันนี้ไม่ต้องทบต้นหรอก เอาแค่ทบมาพาผมลงจากดอยก่อนก็พอ

มันทรงพลัง แต่มันต้องใช้เวลา และ เราทนได้ไหมละ ฮ่าๆๆ

ทุกวันนี้ผมก็ dca RMF หุ้นไทยเนี่ยแหละ ให้มันตัดบัญชีไป 5 ปีมั่ง กำไร7% ถ้าหารออกมาก็ 1% กว่า/ปี ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

เอาเถอะ รอดูกันว่า 55 ละจะเป็นไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ลืมตอบคำถามว่าเค้าจะเอาเงินจากไหนไปทบต้น

- กองทุนที่ซื้อหุ้น เค้าก็ได้เงินปันผล จากหุ้นที่ลงทุนไงฮะ ฮ่าๆๆ คราวนี้ก็อยู๋ที่นโยบายของแต่ละกองว่า จะจ่ายเงินปันผลคืนผู้ซื้อหน่วยลงทุนไหม

ถ้าคืน --> เราก็ได้เงินไปซื้อหน่วยที่สนใจเอง อาจจะกองเดิมหรือกองใหม่ก็ได้

ถ้าไม่มีนโยบายจ่ายปันผล --> เงินของกองทุนก็จะเพิ่มขึ้น จากการได้ปันผลนั้นแหละ เค้าก็เอาไปลงทุนต่อให้เรา

ปล. ส่วนตัวผมชอบกองไม่จ่ายปันผลมากกว่านะ มันไม่โดนภาษีในการจ่ายปันผลคืนเรา

ยุคนี้ไม่มีใครรวยจากการกินดอกเบี้ย

ต้องพยายามสร้างรายได้แบบ active เท่านั้น
หรือถ้าฝากได้เดิอนละ 50K-100K อาจจะเห็นผลไว แต่ก็มาจากเงินเก็บที่มาก ไม่ใช่ดอกเบี้ย

อย่างแย่ที่สุดคือ capital gain ของหุ้น ก็ต้องคัดแล้วซื้อดีๆ dca ถึงจุดนึงก็ต้อง active หาเปลี่ยนไปลงตัวใหม่

น้าเอาเงินจากการขายที่ดิน 5ล้านกว่าบาท ไปฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ได้ดอกเบี้ยปีละ 2แสนกว่า
ผ่านไป10ปี รวมเงินต้นทบดอก มีเกือบ สิบล้าน

นั้นคือถามทฤษฏี ครับ ในทางปฏิบัติแล้ว เรามีความเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เราได้ไม่เยอะครับ ซึ่งการออมแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี
ความเสี่ยงที่เราต้องเจอ
1. ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์แสนแพง
2.สภาวะเงินเฟ้อ
3.สภาวะตลาดโลก
4.ปัจจัยหุ้นแต่ละตัว

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลอาจทำให้เราได้ผลตอนแทนน้อย ,ไม่ได้เลย หรือขาดทุน

ถ้าหากเราลงทุนนานพอแล้วนั้น และ หุ้นที่มีประสิทธิภาพ เราก็ได้อย่างที่เราต้องการเช่นกัน

ซึ่งชีวิตผมเองก็เจอคนที่ประสบความสำเร็จกับหุ้น DCA และ คนที่ส้มเหลวกับหุ้นเช่นกันครับ

ครบ 1 ปีมันก็ไม่ได้ทบต้นครับ ครบ 1 ปีก็คือผลตอบแทนปีแรก เพราะส่วนใหญ่เขานับผลตอบแทนกันเป็นหลักปี

จะ DCA ทุกเดือน สุดท้ายก็นับเป็นหลักปีอยู่ดี แล้วถึงเอาหลายๆปีทบกัน

ได้ผลตอบแทนติดกันหลายๆปีเขาถึงเรียกดอกเบี้ยทบต้นครับ

สมมติไม่ได้เติมเข้าไปเพิ่มเลยนะครับ

ปี 1 ลงทุน 100 บาท กำไร 10% = 10 บาท เงินปลายงวด 110 บาท
ปี 2 ลงทุน 110 บาท กำไร 10% = 11 บาท เงินปลายงวด 121 บาท

กำไร 1 บาทที่เพิ่มเข้ามาในปีที่ 2 นั่นคือส่วนต่าง ของการที่เราเอากำไร เข้าไปทบในเงินต้น เราถึงเรียกว่าดอกเบี้ยทบต้น

ปี 3 ลงทุน 121 บาท กำไร 10% = 12.1 บาท เงินปลายงวด 133.1 บาท

พอปีที่ 3 จะเห็นว่า ต่อให้ฝีมือเราทำกำไรได้ 10% เท่าเดิม แต่ด้วยความที่เราเอาดอกเบี้ยมาทบเงินต้นเรื่อยๆ กำไรที่เราได้ก็จะมากขึ้น ครั้งนี้ได้ 12.1 บาท

เงินต้นที่เราใส่แค่ 100 บาท ไม่เคยเติม
ปี1 ใช้ทำกำไรได้ 10 บาท
ปี3 ใช้ทำกำไรได้ 12.1 บาท

คิด ratio แค่เอาสัดส่วนกำไรเทียบกัน คือทำกำไรได้เยอะขึ้น 21% จากปีแรก ทั้งๆที่ใช้เงินก้อนเดียวกันไม่เคยเติมเพิ่ม


คอนเซ็ปก็จะประมาณนี้ครับ ทีนี้คำถามว่าผลตอบแทนมาจากไหนก็มาจาก
1.มูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซื้อถูกขายแพง ได้มาเป็นเงินที่มากขึ้น
2.เงินปันผลของหุ้นนั้นๆ

พอร์ตลงทุนก็จะเทียบเงินในพอร์ตปีต่อปีครับว่า Performance ปีนี้ได้กี่%


ทั้งหมดนี้คือ ทฤษฎี คือ คอนเซ็ป นะครับ

พอไปลงทุนจริงมันไม่ใช่แค่ DCA ทิ้งไว้ได้ มันต้องย้ายสินทรัพย์ไปตาม Trend โลกเรื่อยๆ หมายความว่าเราต้องศึกษา และอัพเดทข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน และเผื่ออนาคตไว้ตลอดเวลา

เลือกสินค้าถูกก็กำไร เลือกสินค้าผิดก็ขาดทุน มีความเสี่ยงอีกหลายปัจจัยมากๆที่ต้องเจอ โดยที่ โซเชี่ยล วิดีโอ และแอดของบ.ต่างๆ ไม่ได้บอกคุณเลย

กองทุนจะมีแบบจ่ายปันผล -D กับไม่จ่ายปันผล -A

ถ้ากองไหนจ่ายปันผล ก็จะเอาปันผลที่ได้มาจากการลงทุน มาจ่ายให้นักลงทุน

ถ้ากองไหนไม่จ่ายปันผล ก็จะเอาปันผลที่ได้มาจากการลงทุน มาซื้อหุ้นเพิ่ม ทำให้กองทุนมีหุ้นเพิ่มขึ้น ทำให้ NAV ของนักลงทุนเพิ่มขึ้น

ปล.ไม่นับความผันผวนขึ้นลงของกองทุนนะ

ฝากเงินกินดอกนี่ ตามหลักแล้วมูลค่าลดลงนะครับถ้าดอกไม่ถึง inflation rate คือปีนึง 7%++ ได้ เราจนลงทุกปีครับ

ดอกเบี้ยทบต้น จะเห็นผลจริงๆ 5ปีสุดท้าย
เช่นคุณลงทุน 30ปี ปีที่ 25-30 ถึงจะทบเป็นเท่าตัวให้เห็น
ผมให้วินัยการลงทุนสำคัญมาก รองลงมาคือผลตอบแทน

การลงทุนทุกอย่าง ต้องคิดแบบทบต้นครับไม่ว่ามันจะมีดอกเบี้ย เงินปันผล หรือไม่มี เพราะ performance มันจะตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ

แล้วที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงคือยังไง

อย่างเช่น ถ้าเราลงทุน 100 บาท ปีแรกกำไร 50% ปีที่ 2 ขาดทุน 40% ถ้าไม่คิดแบบทบต้น ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเราก็จะได้ (50+40)/2 = กำไรเฉลี่ย 5% ต่อปี (ซึ่งมันไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เราขาดทุน 2 ปี 10%)

แบบที่ตรง ก็คือ 100 x (0.949...^2) = 90 ซึ่ง 0.949.. ( ประมาณ -5%) ก็เป็นผลตอบแทนเฉลี่ยในแต่ละปี



ทีนี้มันจะทบต้นได้ยังไง การลงทุนในหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล มันก็ไม่ได้ทบต้นจริงๆหรอก แต่เค้าแค่คิดแบบนั้นเพื่อวัด performance ของราคาสินทรัพย์อ่ะแหละ แต่มันก็ไม่ได้เสียเปรียบการลงทุนที่จ่ายปันผล/ดอกเบี้ยนะ เพราะถ้าคิดในแง่บริษัทจริงๆ การไม่จ่ายเลยอาจจะดีกว่าก็ได้

พอไม่จ่ายปันผล ตามหลักบริษัทก็ควรจะเอากำไรไปลงทุนต่อ ซึ่งถ้าการลงทุนนั้นได้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนมันก็จะทบต้นตรงนั้นและจะไปสะท้อนในงบการเงิน ตัวอย่างหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล หลายๆตัวในเมกาก็ค่อนข้างดีนะ อย่าง GOOGLE Berkshire amazon

ส่วนถ้าจ่ายมันก็ทบต้น จากการที่เราเอาเงินปันผลไปลงทุนทบที่เดิมอ่ะแหละ



ส่วนพวกกองทุนที่ไม่จ่ายกับจ่าย มันก็ไม่ต่างกันมาก ด้วยหลักการเดียวกัน

กองที่ไม่จ่ายก็จะเอาเงินปันผลกลับไปลงทุนกองเดิม ส่วนกองที่จ่าย เราก็จะได้เงินปันผลออกไปใช้จ่าย

ลองไปสังเกตดู ว่า กองเดียวกัน -D มันจะราคาถูกกว่า -A เพราะส่วนต่างตรงนั้นคือเงินปันผลที่กอง -D จ่ายทิ้งไป