ผมว่าเริ่มจากดริปก็ดีนะครับ เรียบง่ายชงไม่ยากแต่พอมีอะไรให้เล่นอยู่

แต่ถ้าชอบเอสเปรสโซ่ ลองดู Picopresso ก็ได้ครับ อันนี้เพิ่งได้มา โอเคเลยครับ

เล่นกาแฟผมว่ามันต้องมีความสนใจระดับนึงนะ
ถ้าอยากชงให้ออกมาอร่อย มันมีอะไรต้องเรียนรู้อยู่เหมือนกัน

ถ้าแค่อยากกินเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก ลองดู french press ครับ บดกับแช่ แค่นั้นเลย

กาแฟแคปซูลผมว่ามันก้ำกึ่งนะ มันได้อโรม่าดีก็จริง
แต่เรื่องรสชาตินี่ไม่มีให้ลองเหมือนบดเอง เน้นขั้วเข้มติดขมอย่างเดียว ต่างกับพวกบดเองเยอะอยู่

ซื้อเครื่อง​เถอะ​จบ

ผมใช้​ moka มาหลายปี ง​อกไปหลายตัว
ไม่ตอบโจทย์​ครับ​ เสียเวลาด้วย

ใช่เครื่อง​จบ​

จริง ๆ ผมจำชื่อร้านไม่ได้ครับ ว่าเป็นร้านดอยช้าง หรือ ดอยตุง กันแน่ ผมเคยเห็นไปเปิดในโรงบาล รามา อยู่แปปนึงแถวหลังตึกอุบัติเหตุเก่าเมื่อ ประมาณ 10 ปีที่แล้วได้ครับ ตอนนั้นผมพาญาติไปหาหมอบ่อย เลยสั่งกินแล้วชอบกลิ่นกับความเข้มข้นที่พอดีมากครับ แต่ไม่รู้ทำไมเปิดแปปเดียวหาย ผมไปตอนหลังหาร้านไม่เจอแล้ว

ผม french press ง่ายสุด

staresso อีกเสียง
แล้วค่อยไปพวก flair robot พวกนี้ไม่ยุ่งยากเรื่องบำรุงรักษาเท่าพวกออโต้

งบนี้พอได้ครับ แต่ไม่อร่อยสู้คาเฟ่ดีๆนะ

เครื่องชงก็สั่ง online เลยครับ 2-3 พันก็ได้ละมั้ง

วงการนี้เข้าแล้วออกยาก อยากสุดต้องเพิ่มงบไปเรื่อยๆ 555

ผมซื้อ Dripper set ของ Timemore มา ทดลองกันมันส์เลยครับ ประหยัดลงเยอะด้วย เน้นเม็ดกาแฟที่ไม่แพงมาก แพงๆก็ดริปเฉพาะวันหยุด ฟินๆสบายๆ

ใช้เครื่องราคาประมาณนี้ต้องระวังเรื่องบำรุงรักษา
ผมว่าลองชิมร้าน mokapot/ flair ดูมั้ยครับ
mokapot 5k ได้ brikka+ที่บด
flair neo 5k /flair pro2 11k
ส่วนตัวผมใช้ brikka กำลังจะงอก flair pro2

ถ้าเพิ่งเริ่มต้นงบไม่มาก ผมแนะนำ staresso สะดวกง่าย ใช้เวลานิดนึงแต่คุ้มมากบอกเลย ไปหารีวิวดูครับ Staresso sp-300

แต่จริง ๆ มันอยู่ที่คุณเลยนะอยากกินแบบไหน อย่างผม เริ่ม start ที่ซื้อเหยือก cold brew ยี่ห้อ Hario มา

ต่อมาก็ขยับมาอุปกรณ์ดริปแบบกาก ๆ แล้วก็ advance ขึ้นเมื่อทำการศึกษา

ต่อด้วยเครื่องนั้นเครื่องนี้ มันบานปลายนะเข้าวงการแล้วออกยาก

แต่ก็พูดจริง ๆ นะคุ้มสนุกด้วย อร่อยด้วย

มันจะงอกเรื่อยๆท่าน
ผมเริ่มจาก กาต้มคุมอุณภูมิ ดริปเปอ ตาชั่ง ที่บดมือ
แรกๆกะปริมาณไม่ถูก สั่งเม็ดทีเยอะๆกินไม่ทัน เลยสั่งชุดทำcold brew เพิ่ม จะได้ใช้เมล็ดให้หมดๆ ซักพักเริ่มอยากทำเอสบ้าง เลยลองถามเพื่อนในวงการ เค้าแนะนำหาพวกที่ใช้ก้านชง58mm ผมเลยกดเครื่องDuchess1570sมาอีกเป็นหมื่น ทีนี้ที่บดที่ผมมีเป็นตัวเริ่มบดไม่ละเอียดใช้กับเอสไม่ค่อยดี+ขี้เกียจบดมือแล้ว เลยเสียค่าเครื่องบดBundle มากับตัวเครื่องเอสอีก
บอกเลยว่าหมดตูด และโดนแฟนด่า

ไม่รู้ว่าท่านจะยังอ่านอยู่มั้ยแต่ผมจะแนะนำท่านแบบนี้

ถ้าท่านมีเวลาในการชงเกิน 20 นาที ให้ท่านมุ่งหน้าไปยัง Pour over coffee หรือกาแฟดริปที่เรารู้จักกันนี่แหละครับ ที่สุดของการกินกาแฟคือดริปนี่แหละแต่กว่าจะเก่งได้นั้นโครตพ่อโครตแม่ยาก ท่านจะเปิดโลกกาแฟของท่านไปเลย จากที่เคยเข้าใจว่ากาแฟต้องเข้ม/ต้องขม ความคิดนี้ผิดถนัดเลย เดิมทีกาแฟคือเชอร์รี่ที่มีความเปรี้ยวสูงมากๆ พอผ่านการคั่วถึงจุดหนึ่งสีของเมล็ดกาแฟจะเปลี่ยนไปเพราะน้ำตาลในกาแฟมันเริ่มไหม้หรือที่เรียกว่า Caramelization นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักชิมกาแฟถึงบอกว่า "กาแฟหวาน" อันนี้คร่าวๆ

ผมบอกเลยว่าการดริปกาแฟนี่แหละลงทุนน้อยที่สุดและดีที่สุด ที่คุณต้องการมีแค่...

- เครื่องบดดีๆ เอาดีที่สุดและฮิตที่สุดที่ทุกร้านสโลบาร์ต้องมีคือ Comandante C40 MK4 จบที่ตัวนี้พอเพราะมันไม่มีดีกว่านี้แล้ว (ราคา 14000 +-2000)
- ตราชั่งที่จับเวลาได้ ใช้ของ Timemore ก็ได้ (ราคา 1000-2000)
- ดริปเปอร์ทรง V60 เช่น Hario V60 หรือ Origami air (ไม่เกิน 1000 ได้กระดาษกรองด้วย)
*อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวก Flat bottom พอเริ่มรู้จักตัวแปรเช่นอุณหภูมิน้ำ ขนาดบด(Grind size) จังหวะการเท(เร็ว/ช้า/แรง/เบา/แช่) ค่อยเปลี่ยนดริปเปอร์
- กาต้มน้ำ ผมแนะนำให้ใช้กาต้มน้ำไฟฟ้าที่ตั้งอุณหภูมิได้ หรือถ้าเอาแบบประหยัดก็กาที่มันปากเล็กๆและหา Thermometer ที่แม่นๆมาซักอันนึงก็ได้
*กาไฟฟ้ามีหลายยี่ห้อ Timemore Kettle/Brewista/Fellow Stagg EKG เรียงตามราคาท่านไปเลือกได้เลย
** กาแบบปากเล็กๆมีขายใน Shopee ที่เป็นสีดำกับสีเงินเลือกซักขนาด 600ML(ไม่เกิน 500.-) Thermometer ผมแนะนำของ Timemore digital (500.-)

ท้ายที่สุดคือเมล็ดกาแฟ ตรงนี้แหละที่มันยาก ผมแนะนำให้ซื้อจากร้านดังๆก่อนเช่น Gallery Drip(ร้านพี่ปิดริปคิง)/Brewlab(พี่เบนรองแชมป์โลก Aeropress)/Annie Roaster(ร้านนี้ร้านประจำผม คั่วโครตเทพมีขายในช็อปปี้)/Maled Roaster(ร้านนี้แชมป์คั่วประเทศไทยปี 2019)

พอได้ครบก็ไปศึกษาจาก YouTube ก่อนเลยครับ ถ้าจะมาทางนี้จริงๆ ท่าน pm มาหาผมก็ได้ครับ จะส่งลิ้งให้ว่ามีร้านไหนสอนแบบไหนบ้าง

-------------------------

ผมไม่อยากแนะนำให้ท่านไปทาง Moka Pot เพราะมันเสียเวลามากและรสชาติกาแฟน่าเบื่อ ปรับตัวแปรอะไรไม่ได้เลย

1. ขั้นตอนในการชง Moka Pot คือเหมือนดริปทุกอย่าง ต้องบดเมล็ด ต้องตั้งต้มน้ำร้อน รอเวลาน้ำเดือดถึงจะดันกาแฟขึ้นมา การล้างยุ่งยากเพราะต้องหมุนหัวกับแชมเบอร์ออกจากกัน>ล้างน้ำเปล่า>เอาไปตากแห้งไม่งั้นก็ไม่สะอาด แต่ถ้าเป็นดริป ท่านแค่หยิบกระดาษกรองออกจากดริปเปอร์แล้วเอาน้ำล้างดริปเปอร์>จบ

2. รสชาติกาแฟน่าเบื่อมากเพราะปรับอะไรไม่ได้เลยนอกจากเบอร์บด

ผมเคยซื้อมาเพราะช่วงที่เขาฮิตทำกาแฟกินเองทั้งบ้านทั้งเมือง ก็ซื้อมาทำตามเขา ทำได้นานเลยนะครับจนไปสนิทกับรุ่นน้องที่เปิดร้านกาแฟ มันแนะนำให้ไปใช้ Aeropress เพราะสะดวกและได้บอดี้กาแฟดีพอสมควร ก็เลยได้ทิ้งโมกาพอตไปเลย

--------------------------

ผมมีแทบจะทุกวิธีการชง ดริปเปอร์มีเกือบทุกตัว ยกเว้นตัวใหม่ๆหลังๆผมไม่ได้ตามละเพราะใช้อยู่แค่ Kalita Wave/V60/Origami/Gallery Drip V.3 วนๆกันไป
Aeropress + อุปกรณ์แต่งอย่าง Fellow Prismo กดช็อตเอสได้ไกล้เคียงแต่ยังไม่เหมือนจากเครื่อง
French Press ไม่เคยใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
Moka Pot ใช้ไปออกทริปช่วงนึงตอนนี้เข้ากรุยาวๆ
Robot Espresso เครื่องกดเอสเพรสโซ่แบบ Manual ทุกวันนี้ถ้าอยากกินเมนูนมก็กดช็อตจากตัวนี้ สลับกับดริป

ลองพิจารณาดริปดูนะครับ ได้คุณภาพกาแฟดีมากๆในงบประมาณที่ต่ำสุดๆ ถ้าตัดเครื่องบดออกไป ท่านจะไม่ได้เสียเงินกับอะไรแพงๆเลย

MOKA POT

ดริปก็ได้

ทั้ง2 อย่างนี่ ชุดเริ่มต้น ไม่เกิน 1000 ก็ได้กินกาแฟ หอมๆๆเเล้ว

ผมมี
1. moka pot 6 cup เสียเวลาชงหน่อย รสชาติแล้วแต่กาแฟที่เราซื้อ (ส่วนใหญ่ผมซื้อแบบที่บดมาแล้ว)
2. เครื่อง Nesspresso อันนี้สะดวก โยนแคปซูล จบ กินได้เลย แต่มันจะเเพงเฉลี่ยราคาแคป 20 - 30 บาท
3. กระติกน้ำร้อน ชงกาแฟธรรมดาง่ายๆ

ปล.ผมชงเป็นกาแฟเย็น ชงครั้งนึงกิน 3 วัน (ใส่แก้วเยติ) ไม่ซีเรียสรสชาติเน้นแค่ได้กิน 555 ถ้าอยากรสชาติคงที่ก็เครื่องชง nesspresso

กาแฟสด ที่ผมเข้าใจคือ

อาจจะบด หรือบดเมล็ดมาก่อนแล้ว

แล้วก็ทำตอนนั้นเลยครับ จะ drip moka หรือ เครื่อง ก็ได้ครับ

ถ้าตัวอย่างของท่าน น่าจะเรียกว่า กาแฟ ที่แปรรูปมาแล้ว กระป่องก็รวมด้วยครับน่ะครับ

ดูจากการบริโภคกาแฟของท่านแล้ว เดาว่าไม่น่าเน้นรสชาติเท่าไหร่...
ท่านสามารถซื้ออุปกรณ์พวก drip moka มาลองเล่นก่อนได้ครับ ใช้เวลาในการทำไม่นาน รสชาติกาแฟก็ปรับได้แต่ความเข้ม อ่อน กะให้ละมุนกลมกล่อมเหมือนเครื่องคงไม่ได้ แต่ถ้าวัตถุประสงค์คือซดแล้วทำงาน มันประหยัดเวลา ประหยัดงบ
***ท่านเม้นบนบอก เมล็ด 70 เครื่อง 20 คน 10
แต่สำหรับผม เมล็ด 20 เครื่อง 10 คน คน 20 บรรยากาศ 50 ครับ.