ความเสียใจที่สุดของเคป้า อาร์ริซาบาลาก้า คือการกระทำที่เขาไม่ให้เกียรติเมาร์ริซิโอ ซาร์รี่ ในคาราบาวคัพนัดชิงปี 2019 เขายอมรับว่าเรื่องนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะในชีวิตค้าแข้ง และยืนยันว่าถ้ากลับไปอยู่จุดนั้นได้อีกครั้ง จะไม่ทำแบบเดิม
ก่อนจะไปเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น จำเป็นมากที่เราจะต้องเห็นแบ็กกราวน์ในดีลการซื้อขายเคป้า จากแอธเลติก บิลเบา มาสู่เชลซีกันก่อน
เคป้า เป็นนักเตะจากอะคาเดมี่ของบิลเบา ที่ถูกมาร์เซโล่ บิเอลซ่า ดันขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2013 ตอนนั้นเขามีอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น
สาเหตุที่ถูกดันขึ้นมาเร็ว เพราะเจ้าตัวไปประสบความสำเร็จในรายการ u-19 ชิงแชมป์ยุโรป ที่เขาพาสเปนเป็นแชมป์ได้ โดยในทีมชุดนั้น นอกเหนือจากเคป้า ก็มีปาโก้ อัลกาเซร์, เฆเซ่ โรดริเกวซ และ เคราร์ด เดวโลเฟว ซึ่งแต่ละคนก็มีสัญญาอาชีพกับทีมใหญ่ๆ กันทั้งนั้น
จุดเด่นของเคป้าคือเคลื่อนตัวเก่ง และใช้เท้าดี โดยมานูเอล อัลมูเนีย อดีตนายทวารอาร์เซน่อล กล่าวชมว่าเด็กคนนี้มีแววจะเป็นผู้รักษาประตูระดับโลกได้ ขณะที่ทีมใหญ่อย่างเรอัล มาดริด ตอนที่พลาดได้ตัวดาบิด เด เคอา ก็มีข่าวว่าเล็งๆ จะซื้อเคป้าไปเสริมทัพในอนาคต
ด้วยความฮอตของเคป้า ทำให้แอธเลติก บิลเบา ตั้งค่าฉีกสัญญาไว้สูงถึง 71.6 ล้านปอนด์ เป็นราคานายทวารสถิติโลก คือเป็นการบอกทีมไหนก็ตามว่าถ้าอยากได้เคป้าจริงๆ ก็ต้องกล้าเอาเงินแพงขนาดนั้นมากองให้เรา
ในซัมเมอร์ฤดูกาล 2018 ธีโบต์ กูร์กตัวส์ จากเชลซี ขอขึ้นบัญชีย้ายทีม และเริ่มออกลูกเกเร เมื่อไม่ยอมไปร่วมเข้าแคมป์ซ้อมกับเพื่อน จงใจสร้างปัญหาภายในทีมเป็นอย่างมาก จนทำให้แฟนๆเชลซีขับไล่ไสส่ง คือยังไงเชลซีก็คงต้องปล่อยแน่ๆ แต่ก็จำเป็นต้องหาตัวตายตัวแทนให้ได้ก่อน
ณ เวลานั้น นอกจากเชลซี ก็มีลิเวอร์พูลที่กำลังตามล่าหานายทวารคนใหม่เช่นกัน เพราะโลริส คาริอุส ออกลูกเหวอในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิง จะให้ใช้งานต่อก็คงไม่ได้ ซึ่งลิเวอร์พูลเร่งเดินเกม ตัดหน้าคว้าอลิสซอน เบ็คเกอร์จากโรม่าได้ก่อน ในราคาสถิติโลก 66.8 ล้านปอนด์
การเสียกูร์ตัวส์ และพลาดได้อลิสซอน ทำให้เชลซีไม่เหลือชอยส์มากนัก กับฤดูกาลใหม่ ที่กำลังจะเริ่มแล้ว แต่ละทีมก็ไม่อยากปล่อยตัวนายทวารมือหนึ่งของตัวเอง ดังนั้นชอยส์ที่เชลซีมี คือไปหานายทวารระดับ B หรือ C มายืนไปก่อนชั่วคราว หรือไม่ก็วัดใจไปซื้อเคป้า จากบิลเบาที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง มีสิทธิ์จะปั้นเป็นนายทวารระดับ A ได้ในอนาคต
สุดท้ายเชลซีเลือกแบบหลัง พวกเขาติดต่อหาแอธเลติก บิลเบา เพื่อขอซื้อเคป้า แต่บิลเบาไม่ขายนอกจากจะได้ค่าฉีกสัญญา 71.6 ล้านปอนด์ เชลซีโดนมัดมือชกกับสถานการณ์นี้ พวกเขาจำเป็นต้องตอบตกลง
8 สิงหาคม 2018 เคป้าเซ็นสัญญาเป็นนักเตะใหม่เชลซีด้วยราคาสถิติโลก และหลังจากนั้นสามวันเขาก็ประเดิมสนามเกมแรกให้สโมสรใหม่ ในเกมปะทะฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์
ชีวิตของเคป้าในปีแรก ทุกอย่างก็เหมือนจะโอเค ผลงานในลีกของเขาอยู่ในเกณฑ์ดี และได้ก้าวไปติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ ณ เวลานี้ผู้คนเริ่มไม่คิดมากเรื่องราคาที่ต้องจ่ายเป็นสถิติโลกอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเคป้าก็มาถึงมันคือนัดชิงคาราบาวคัพปี 2019 ที่เชลซี ต้องเจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019
เชลซี กับแมนฯ ซิตี้ บี้กันอย่างสูสี จนถึงนาทีที่ 119 ยังเสมอกันอยู่ 0-0 เกมต้องยื้อไปถึงช่วงจุดโทษแน่นอน ซึ่งเมาร์ริซิโอ ซาร์รี่ ได้เก็บตัวสำรองคนสุดท้ายไว้ใช้ นั่นคือเขาต้องการเปลี่ยนผู้รักษาประตู เอาวิลลี่ กาบาเยโร่ มาลงแทนเคป้า เพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ
เป็นกลยุทธ์ที่หลุยส์ ฟาน กัล ใช้ในฟุตบอลโลก 2014 โดยถอดเจสเปอร์ ซิเลสเซ่น ออกในนาที 119 แล้วส่งทิม ครูล นายทวารสำรองลงแทน เพื่อเซฟจุดโทษในเกมกับคอสตาริก้าโดยเฉพาะ ซึ่งผลลัพธ์คือ ทิม ครูลเซฟได้ 2 ลูก ทำให้ฮอลแลนด์ชนะคอสตาริก้า เข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ
การเลือกกาบาเยโร่ เป็นความคิดที่รอบคอบดีแล้ว เพราะกาบาเยโร่เคยเล่นอยู่กับแมนฯ ซิตี้มา 3 ปี รู้จักผู้เล่นของทีมเรือใบสีฟ้าทุกคน และรู้ว่าแต่ละคนชอบยิงจุดโทษสไตล์ไหน
นอกจากนั้นกาบาเยโร่ ยังเป็นผู้รักษาประตูที่มีสกิลเรื่องการเซฟจุดโทษดีเยี่ยมคนหนึ่ง ในลีกคัพนัดชิงปี 2016 เขาพาแมนฯ ซิตี้ ชนะจุดโทษลิเวอร์พูลมาแล้ว โดยเซฟลูกโทษได้ถึง 3 ลูก
เมื่อหักลบเหตุผลแล้ว ซาร์รี่จึงพร้อมจะส่งกาบาเยโร่ลงสนามในช่วงท้ายแมตช์ จุดประสงค์คือมาให้เซฟจุดโทษอย่างเดียวนี่แหละ แต่ติดปัญหาเพียงอย่างเดียว คือเคป้าไม่ยอมออกจากสนาม
ในตอนนั้น ภาพที่ทุกคนเห็นคือ เคป้าดึงดันจะไม่ออกจากสนามแบบหัวเด็ดตีนขาด เขาไม่มาคุยกับซาร์รี่เพื่ออธิบายอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งเคป้าใช้ช่องว่างของกฎเอฟเอ ที่ระบุว่า "ถ้าผู้เล่นปฏิเสธที่จะเปลี่ยนตัว เกมก็ต้องดำเนินต่อไป"
เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนั้น ผู้ตัดสินจอน มอสส์ จึงเดินมาแจ้งซาร์รี่ว่า เคป้าไม่ยอมออกนะ ซึ่งตัวซาร์รี่เองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ได้แต่แสดงความโมโหนอกสนาม คือมันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าซาร์รี่เสียการควบคุมในห้องแต่งตัวไปแล้ว
ท่ามกลางความสับสน ไม่มีเพื่อนร่วมทีมคนไหนไปช่วยบอกให้เคป้าเดินออกจากสนามเลยสักคน สุดท้ายแผนของซาร์รี่เลยแตกสลาย กาบาเยโร่ที่รอโอกาสอยู่ก็เลยไม่ได้ลงไปโดยปริยาย
ในช่วงดวลจุดโทษ เคป้าเซฟได้ 1 ลูก แต่อีก 4 ลูกโดนยิงเรียบ จนทำให้ทีมพ่ายแพ้แมนฯ ซิตี้ ในนัดชิง
คำถามคือถ้าเปลี่ยนนายทวาร เป็นวิลลี่ กาบาเยโร่จะสามารถเซฟได้มากกว่านี้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ เพราะเคป้าไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
ตั้งแต่วินาทีนั้น สายตาของสื่อมวลชนและแฟนบอลทั่วไป ก็มองเคป้าไม่เคยเหมือนเดิม หลายคนมองว่าเขาเป็นพวกก้าวร้าว ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ใช้ Label ของคำว่า "นายทวารแพงที่สุดในโลก" มากดดันโค้ช บางคนแซวว่าโค้ชตัวจริงของเชลซีไม่ใช่ซาร์รี่หรอก แต่เป็นโค้ชเคป้าต่างหาก
2 ปีหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เคป้าที่โดนด่ามาตลอด ได้ออกมาระบายความในใจว่า ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงเลือกทำแบบอื่น
เคป้าเปิดใจผ่านเว็บไซต์ The Player's Tribune โดยเล่าว่า "ในแมตช์นั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ครองเกมได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ และตอนนั้นก็ใกล้จะถึงช่วงยิงจุดโทษแล้ว ผมรู้สึกบางอย่างขึ้นมาที่ขาของผม ก็เลยเรียกแพทย์ให้มาเช็กดูว่ามันโอเคดีใช่ไหม และที่สำคัญผมอยากดึงเวลาหน่อย ให้ทีมของเราที่โดนบุกอยู่ได้พักหายใจบ้าง"
"แต่ทันใดนั้นผมเห็นโค้ช เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้ส่งวิลลี่ กาบาเยโร่ ลงมายืนข้างสนาม เขาคงเข้าใจว่าผมเล่นต่อไม่ไหว ซึ่งเจตนาของผมที่เรียกแพทย์เข้ามา เพื่อจะช่วยถ่วงเวลาแค่นั้นเอง ผมไม่ได้เจ็บหนักถึงขนาดลงต่อไม่ได้"
"ผมพยายามส่งสัญญาณว่าผมปกติดี ไม่ได้บาดเจ็บ แต่เราอยู่ที่เวมบลีย์ต่อหน้าแฟนบอล 8 หมื่นคน แน่นอนว่าซาร์รี่ไม่เข้าใจที่ผมจะสื่อ และเมื่อผู้ตัดสินที่ 4 ยกป้ายเปลี่ยนตัวขึ้นมา ผมก็ควรเดินออกจากสนามไปดีๆ แต่ขอโทษที่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น"
"ผมผิดเอง ผมรู้ และผมก็ต้องขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งกับซาร์รี่ที่ดูเหมือนว่าจะโดนฉีกหน้ากลางสาธารณชน และกับวิลลี่ ที่แสดงความเป็นมืออาชีพอย่างมาก รวมถึงเพื่อนร่วมทีมและแฟนๆ ที่ทุ่มเทพลังเต็มที่ เพื่อให้เราชนะคู่แข่งในเกมวันนั้นให้ได้"
"ภายในสโมสรมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมเคลียร์ใจกับบอส และยอมโดนดร็อป 1 เกม ก่อนจะกลับมาลงเล่นต่อในสัปดาห์ถัดไป อย่างไรก็ตามภายนอกสโมสร เรื่องมันใหญ่เกินกว่าจะควบคุม"
"ตอนจบเกมลีกคัพนัดชิง ผมเดินกลับมาที่ห้องแต่งตัวและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเข้าใจทันทีว่ามันกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกไปแล้ว และเรื่องนี้ก็ลากยาวไปอีก 3-4 วันไม่มีหยุด และสิ่งที่ทุกคนเข้าใจคือผมจงใจไม่เคารพเมาร์ริซิโอ"
"ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกเข้าใจผิด เพราะเจตนาแรกสุดไม่ใช่ผมเมินคำสั่งโค้ช ผมแค่จะบอกว่าผมโอเค ไม่ได้บาดเจ็บแค่นั้น เรื่องนี้มันเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ผมได้รับ และอนาคตข้างหน้า ถ้าหากมีสถานการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีก ผมก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร"
ปีแรกของเคป้า จริงๆแล้ว ถือว่าจบสวย เพราะพาเชลซีติดท็อปโฟร์ พร้อมทั้งได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนัดชิงยูโรป้าลีก โดยเอาชนะอาร์เซน่อลไปขาดลอย 4-1 คว้าแชมป์ระดับสโมสรเป็นครั้งแรกในชีวิต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนจดจำเขาได้จริงๆ ไม่ใช่ความสำเร็จเหล่านั้น แต่มีแค่สองเรื่องเท่านั้น เรื่องแรกคือเคป้าเป็นนายทวารราคาแพงที่สุดในโลก และเรื่องที่สองคือเขาเป็นนายทวารที่แพงที่สุดในโลก ที่จงใจขัดคำสั่งโค้ช
ไม่ว่าเคป้าจะอธิบายเหตุผลว่าอย่างไร แต่ความเห็นจากอดีตนักฟุตบอลจำนวนมาก ก็เห็นตรงกันว่า ถ้าโค้ชบอกให้คุณออก คุณก็ต้องออกแค่นั้น เป็นนักเตะก็ต้องทำตามแท็กติกที่โค้ชสั่ง ถ้าไม่พอใจอะไรก็ไปเคลียร์กันนอกสนาม ไม่ใช่ดื้อแพ่งไม่ยอมทำต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้
ผลพวงจากแรงกดดันของสื่อมวลชน และแฟนบอลในโลกออนไลน์ที่ทำ meme แซะเช้าแซะเย็น ส่งผลต่อความมั่นใจของเคป้าอย่างเห็นได้ชัดมาก ถ้าคุณเปิดโซเชียลมีเดียแล้วเจอแต่คนด่า คนแซะ จะให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมันก็คงจะทำได้ยาก
เข้าสู่ซีซั่น 2019-20 ปีที่สองของเคป้า เขาค่อยๆ เสียความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันจากเรื่องราคาสถิติโลกก็หนักพออยู่แล้ว ยิ่งมาเจอการแซะ การต่อว่า เรื่องทำตัวใหญ่กว่าโค้ช ทำให้เขาเป๋ไปเลย
เคป้ากล่าวว่า "ผมเข้าใจเรื่องการวิจารณ์ นักเตะต้องเล่นด้วยความกดดันอยู่แล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งในงานของเราที่จะรับมือกับเสียงด่าทอ แต่บางครั้งมันก็แรงเกินไป คือมันโอเคนะถ้าคุณจะวิจารณ์ว่านักเตะคนนี้เล่นพลาด แต่ถ้าคุณเริ่มเขียนสิ่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับฟุตบอล มันข้ามเส้นไปแล้ว และมันจะทำร้ายความรู้สึกของนักเตะ ทุกอย่างมันควรมีลิมิตนะ"
ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเคป้า อ่านสิ่งแย่ๆ ที่คนเขียนถึงเขา คนรอบตัวของเคป้าก็เสียใจ และเคป้าก็ต้องรู้สึกแย่ ที่ทำให้คนรักของตัวเองเสียใจ มันส่งผลให้จิตใจของเขาจมดิ่ง
ในฤดูกาล 2019-20 มีสถิติบันทึกว่า เคป้าสามารถเซฟลูกยิงตรงกรอบได้เพียง 54.5% เท่านั้น เป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาผู้รักษาประตูทั้งหมดในพรีเมียร์ลีก อธิบายง่ายๆ คือ ยิงตรงกรอบ 2 ครั้ง จะเข้าประตูไปแล้ว 1 ลูก แม้แต่วิลลี่ กาบาเยโร่ นายทวารมือสองยังมีสถิติดีกว่าเขาด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น 47 ประตูที่โดนยิง มีถึง 14 ลูก ที่เขาขาตายปล่อยให้ลูกยิงผ่านหน้าไปเฉยๆ เลย ไม่มีพุ่ง ไม่มีความพยายามอะไรทั้งนั้น คือเล่นแบบนี้ไม่สมราคา 71.6 ล้านปอนด์เลยสักนิด
ความมั่นใจที่หายไป ทำให้เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ฝีมือกับสโมสรตกต่ำ และมันทำให้เขาหลุดจากทีมชาติสเปนด้วย
ในปีที่ 3 ของเคป้า (2020-21) ผู้จัดการทีมเชลซี แฟรงค์ แลมพาร์ด จึงหัวเด็ดตีนขาด บอกผู้บริหารขอซื้อนายทวารคนใหม่มาใช้ สุดท้ายไปคว้าตัวเอดูอาร์ เมนดี้ มาจากแรนส์ และเมนดี้ก็ยึดตัวจริงยาวๆ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน ส่วนเคป้า เจ้าของราคาสถิติโลก ต้องหล่นไปเล่นเป็นตัวสำรอง
เมื่อเชลซีเปลี่ยนผู้รักษาประตู ฟอร์มของสโมสรก็ค่อยๆ ดีขึ้น จนสุดท้ายก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งทุกคนพูดตรงกันว่า ถ้าไม่มีเอดูอาร์ เมนดี้ เชลซีคงไม่มีวันไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้แน่ๆ
ถามว่าเคป้า มีส่วนอะไรกับแชมป์ยุโรปหรือไม่ คำตอบคือก็ไม่ค่อยมีส่วนมาก ในรอบแบ่งกลุ่ม 6 นัด และรอบน็อกเอาต์ 7 นัด เขาได้ลงเล่นแค่ 1 เกมเท่านั้น ซึ่งเป็นเกมเจอคราสโนดาร์ ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ที่ไม่มีความหมายอะไร แถมนัดนั้นเขายังเก็บคลีนชีตไม่ได้อีกต่างหาก
จุดเริ่มต้นทั้งหมดของความตกต่ำทั้งหมด ถูกพุ่งตรงไปที่เกมคาราบาวคัพนัดชิงในวันนั้น มันส่งผลให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลง จากคนที่ดูเหมือนอนาคตไกล ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าไปทางไหนต่อ
เว็บไซต์ Transfermarkt ประเมินราคา ณ ปัจจุบันของเคป้าเอาไว้ ว่ามีมูลค่าเหลือเพียงแค่ 11 ล้านปอนด์เท่านั้น ถ้าหากเทียบกับราคา 71.6 ล้านปอนด์ ที่เชลซีซื้อมาจากบิลเบา ถือว่าราคาหล่นฮวบมาไกลมากจริงๆ
เชลซีจะขายให้ทีมอื่น ก็ไม่มีใครกล้าจะซื้อเพราะมี Price Tag ที่แพงมาก คือฝั่งเชลซีเองจะขายดั๊มพ์ราคาเหลือ 10-20 ล้านคงทำใจไม่ง่ายแน่ๆ ใครจะไปกล้าขายขาดทุนเละขนาดนั้น
หรือจะให้ยืมตัว สโมสรอื่นๆ ก็เห็นฟอร์มเคป้าแล้วว่าสถิติแย่ขนาดนั้น ใครจะไปกล้าจ่ายค่าเหนื่อยแพงๆ ได้ลง
สำหรับเคป้า ปัจจุบันรับค่าเหนื่อยอยู่ที่สัปดาห์ละ 140,000 ปอนด์ มากกว่าทั้งนายทวารแชมป์โลก อูโก้ โยริส ที่รับอยู่กับสเปอร์ส 100,000 ปอนด์ต่อวีก และนายทวารแชมป์โคปาอเมริกา เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่รับอยู่กับแอสตัน วิลล่า 47,000 ปอนด์ต่อวีก
ดังนั้นสิ่งที่เชลซีทำได้ คือใช้งานนักเตะต่อไปเรื่อยๆ ในฐานะตัวสำรองแบบนี้ แล้วก็หวังว่าสักวัน จะได้รับข้อเสนอจากทีมอื่นที่ "พอฟังได้" แล้วก็ปล่อยให้นักเตะได้ย้ายทีมกันไป
สำหรับตัวของเคป้าเอง เขายอมรับว่าชีวิต 3 ปีของเขาตั้งแต่ย้ายมาเชลซี เคยทั้งขึ้นสุด และเคยทั้งลงสุดมาแล้ว แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ดีว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
เคป้ากล่าวว่า "ตอนนี้ผมรู้สึกดีๆ ที่เชลซีนะ ร่างกายสมบูรณ์ จิตใจก็พร้อม ผมเชื่อนะ ว่าตัวเองเป็นผู้รักษาประตูที่ดีขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว แน่นอนผมอยากจะลงสนามมากกว่านี้ และผมคงจะโกหกแน่ๆ ถ้าตอบว่าตัวเองมีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ผมก็เคารพการตัดสินใจของโค้ช ผมเข้าใจว่ามีนักเตะคนอื่นทำได้ดี และทีมก็ไปได้ดีด้วย"
"ไม่มีใครรู้อนาคต แต่ตอนนี้ผมแฮปปี้ที่ลอนดอน และหวังว่าจะได้ฉลองแชมป์อีกเยอะๆ กับสโมสรของผม สโมสรฟุตบอลเชลซี"
"แต่ที่เหนืออื่นใด ผมอยากให้ทุกคนได้รู้จักผมมากกว่านี้ รู้จักตัวตนของผมจริงๆ ว่าผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีม นั่นคือเหตุผลจริงๆ ที่ผมยังอยู่ตรงนี้"
เหตุการณ์ในเกมคาราบาวคัพที่เขาไม่ยอมเปลี่ยนตัวออก ทำให้ผู้คนมองว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว อีโก้จัด คิดถึงตัวเองก่อนส่วนรวม ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริง แต่เคป้าก็อธิบายว่า ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นแล้ว และทัศนคติในการมองโลกของเขาก็ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เขาคิดถึงทีมเป็นอันดับแรก และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่เลือกจะทำแบบนั้นกับซาร์รี่ และกับสโมสร
ในโลกนี้ทุกคนทำผิดพลาดได้ แม้ความผิดบางอย่างจะถูกตีตราไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะจมทุกข์อยู่กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว
เคป้าปัจจุบันอายุ 27 ปี ยังมีเวลาให้ประสบความสำเร็จอีกมากในอนาคต เพียงแต่เขาต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่แรกอีกครั้ง และตั้งใจทำให้ดีที่สุดในทุกโอกาสที่เข้ามา
Credit: วิเคราะห์บอลจริงจัง
https://www.facebook.com/1763193370562572/posts/2957058327842731/