กลายเป็นประเด็นทางการเมืองจนได้ เมื่อสมาคมฟุตบอลยูเครน เปิดตัวเสื้อแข่งที่จะใช้ลงสนามสู้ศึก ยูโร 2020 โดยกลางหน้าอกมีแผนที่ประเทศที่รวมสาธารณรัฐไครเมีย เอาไว้ด้วย

รัสเซีย เข้ายึดครองไครเมียเมื่อปี 2014 โดยรัฐบาลมอสโก พิจารณาว่าคาบสมุทรดังกล่าวเป็นของพวกเขา แต่นานาชาติยังมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน

เสื้อใหม่ดังกล่าวเปิดตัวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดย อันเดร พาเวลโก้ ประธานสมาคมฟุตบอลยูเครน เป็นคนเปิดตัวผ่านเฟซบุ๊คทางการ

เสื้อสีเหลืองด้านหน้านั้นมีลายของแนวเขตแดนยูเครนสีขาวล้อมรอบ พร้อมมีสโลแกนที่ว่า "Glory to Ukraine!" และ "Glory to the heroes!" ซึ่งเป็นคำขวัญที่ใช้ในทางการทหารของประเทศ

ดิมิทรี สวิชเชฟ ส.ส.ของรัสเซีย กล่าวผ่านสำนักข่าว RIA ระบุว่า การออกแบบเสื้อดังกล่าว คือ "การยั่วยุทางการเมือง" และการแสดงแผนที่ซึ่งรวมดินแดนของรัสเซียเข้าไปด้วยนั้น "ผิดกฎหมาย"

มาเรีย ซาคาโรว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแดนหมีขาว เผยผ่านโซเชี่ยลว่า สโลแกนบนเสื้อดังกล่าวเป็นชาตินิยม แถมระบุว่า คำขวัญนั้นไปคล้ายกับคำขวัญของนาซี อีกต่างหาก

ไครเมียนี่จุดยุทธศาสตร์สำคัญของรัสเซียในทะเลดำเลย มีถนนเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่รัสเซียเรียบร้อย

และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของยูเครนเช่นกัน ใครยึดได้ไครเมียได้ทะลุต่อไปยูเครนง่ายมากๆ

แต่เคสนี้ยูเครนงอแงนะ เพราะวันที่ 17 มีนาคม 2557 มีการลงประชามติ
ผลคือ ไครเมียประกาศเอกราชจากยูเครน และเข้าสู่การเป็นสาธารณรัฐของรัสเซีย
รัฐสภาไครเมียประกาศอิสรภาพจากยูเครนอย่างเป็นทางการ
และขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเต็มตัว

ซึ่งรัสเซียรับรองเอกราชของไครเมียในวันเดียวกัน

เกิดเข้ารอบมาเจอกันนี่คงจะเดือดน่าดู

การเมืองเต็ม ๆ เลยล่ะเคสนี้

พึ่งเคยเห็นเสื้อกีฬาลายแผนที่

ยูเครนแกว่งเท้าหาเซี่ยนแท้ๆไม่ควรเอากีฬามาโยงการเมือง

ไครเมียนี่จุดยุทธศาสตร์สำคัญของรัสเซียในทะเลดำเลย มีถนนเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่รัสเซียเรียบร้อย

และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของยูเครนเช่นกัน ใครยึดได้ไครเมียได้ทะลุต่อไปยูเครนง่ายมากๆ

แต่เคสนี้ยูเครนงอแงนะ เพราะวันที่ 17 มีนาคม 2557 มีการลงประชามติ
ผลคือ ไครเมียประกาศเอกราชจากยูเครน และเข้าสู่การเป็นสาธารณรัฐของรัสเซีย
รัฐสภาไครเมียประกาศอิสรภาพจากยูเครนอย่างเป็นทางการ
และขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเต็มตัว

ซึ่งรัสเซียรับรองเอกราชของไครเมียในวันเดียวกัน

ดีที่เป็นไครเมีย ถ้าเป็นไต้หวันหรืออะไรเกี่ยวกับจีนละมึงเละ

ก็พูดยากนะครับ เพราะที่ไครเมียทำมันคือกบฏตามกฎหมายเลยอ่ะ ไปอยู่กับรัสเซียก็ไม่ได้รับความยินยอมให้ไปจากยูเครน แถม UN ก็ไม่ได้รับรอง (ทรงเหมือนตอนคาตาลันจะขอแยกตัวเป็นประเทศเลย)

แต่ผมเห็นมาทางเดียวกับคุณนะ สำหรับไครเมียมันคือผู้คนมากกว่าสถานที่ ถ้าผลโหวตมันชนะขนาดนั้น ก็ควรให้คนเขาเลือกประเทศเอง และที่ UN ไม่รับรองผมก็แอบคิดว่าอเมริกาก็น่าจะขัดขาอยู่

ทำให้ผมคิดเลยว่า ขอบเขตของประชาธิปไตยมันอยู่ไหนกันแน่ เพราะถ้าสมมติคนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่อยากอยู่ใต้ปกครองของประเทศไทย อย่างนี้ต้องให้แยกประเทศใหม่หรือไปรวมกับมาเลเซียหรอ? สุดท้ายแล้วการปกครองมันเป็นเรื่องของอำนาจเพียวๆ เลย อาณาเขตของรัฐขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจมีความสามารถจะเอาปืนไปจ่อหัวได้ไกลแค่ไหนเท่านั้นเอง ผมว่าประชาธิปไตยมันไม่ได้มีอยู่จริงหรอก นอกเสียจากประชาธิปไตยในแบบที่ผู้มีอำนาจจะเอา หรือยอมให้ได้

ไม่มีถูกผิดหรอกครับ อย่างไรก็ตามประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองเนอะ ที่ให้ยอมรับเสียงส่วนใหญ่โดยใส่ใจเสียงส่วนน้อย และอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน กรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมว่าถ้าจะให้ดูเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ต้องโหวตกันทั้งประเทศสิครับ ว่ายินยอมให้ออกไปตั้งประเทศใหม่รึป่าว ไม่ใช่โหวตกันเอง เพราะการที่จังหวัดคุณออกไปมันส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศนะ ได้รับผลกันหมด เพราะงั้นทุกคนมีสิทธิออกเสียงในเรื่องนี้

แต่ถ้ากรณียุ่งเหยิงแบบนี้ ส่วนตัวผมเห็นใจกรณีที่เขาอยากแยกประเทศเพราะภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกันนะ อย่างติมอร์ที่พูดภาษาโปรตุเกส แถมนับถือศาสนาคริสต์อีก มันใช้ชีวิตคนละเรื่องกับคนบนเกาะสุมาตราเลย แต่กรณีอยากแยกประเทศเพราะไม่อยากปันทรัพยากร อันนี้รู้สึกเห็นแก่ตัวไปนะ งี้คงมีอีกหลาย ๆ ดินแดนอ่ะที่มีน้ำมัน มีก๊าซ มีทอง ก็อยากตั้งประเทศใหม่ทั้งนั้น เพราะไม่อยากแบ่งรัฐบาลกลาง

ไนกี้ทำมาก่อนแล้ว แต่เป็นเสื้อสโมสรแผนที่เมือง

ขออนุญาตตอบท่านประธาน เอ็ดนะครับ



ผมมองว่าผลประชามติสะท้อนภาพบางส่วนได้บ้าง
คงไม่ 100% แต่คิดว่าชาวไครเมียคงคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว

ข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ มีดังนี้:
1.ดินแดน
เมื่อปี ค.ศ. 1783 ไครเมียถูกครอบครอบโดยรัสเซีย (ก่อนหน้านี้เป็นของออตโตมัน)
ปี 1924 ไครเมียถูกโอนไปอยู่กับยูเครนช่วงสหภาพโซเวียต
ปี 1992 จากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไครเมียกลายเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองภายในยูเครน
จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ครับ ไครเมียเมื่ออยู่ภายใต้ยูเครนก็ไม่ได้ถูกอำนาจของยูเครนครอบงำมากนัก
และเนื่องจากมีฐานทัพเรือของรัสเซียตั้งอยู่ในไครเมีย ทำให้เกิดเรื่องราวมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง

2.ประชากร
ประชากร 2.4 ล้านคนในไครเมีย 65.3% เป็นชาวรัสเซีย และเป็นชาวยูเครน 15.1%
จะเห็นได้ว่าประชากรในไครเมียเกินครึ่งเป็นชาวรัสเซีย
ถ้าคนเชื้อสายรัสเชียต้องการกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซีย กรณีนี้ย่อมเข้าใจได้ครับ

จุดที่สามารถมองได้ว่าการกลับไปอยู่กับรัสเซียของไครเมียเป็นความชอบธรรม
1.ดินแดน เนื่องจากเคยเป็นของรัสเซียมาเป็นระยะเวลานาน
2.ประชากร ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย

จุดที่น่าสงสัยว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่
1.การลงประชามติมีความโปร่งใสแค่ไหน
2.ผลประโยชน์ของผู้นำไครเมียต่อรัสเซีย
3.มีการโฆษณาชวนเชื่อจากรัสเซียหรือไม่

ถ้าท่านประธานเอ็ดไม่อยากอยู่แมนยูแล้ว รบกวนช่วยดึงเฮียเหม่งเลวี่ของผมไปด้วยกันเลยนะครับ

และขออนุญาตตอบคุณ gymnastic ดังนี้



ประเด็นอื่นท่านเอ็ดได้ตอบไปอย่างชัดเจนแล้วครับ ผมขอขยายความแค่ที่ไฮไลต์ไว้ครับ
ประชาธิปไตยมีจริงแน่นอนครับ เพียงแต่พวกเราอยู่ในประเทศที่ประชาธิปไตยอาจจะมีไม่ถึงครึ่งใบ
ในกรณีของไครเมียนั้น จากข่าวนะครับ ผู็นำไครเมียเป็นคนติดต่อขอความช่วยเหลือไปทางรัสเซียเองด้วยซ้ำ

แต่เดิมไครเมียก็เป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองในยูเครนอยู่แล้ว ย่อมมีสิทธิ์เลือกอนาคตของตนนะครับ
และเมื่อเลือกแล้ว เค้าจะไปเข้ากับใครหรือจะอยู่อิสระ ยูเครนก็ควรยอมรับประชามติ

และจริงๆที่มันมีเรื่องมีราวเพราะไครเมียดันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมากๆครับ พอๆ กับคาบสมุทรเกาหลีเลย
ถ้าอเมริกาจะมาเป็น backup ผมก็ไม่แปลกใจเลย เพราะถ้ารัสเซียได้ไครเมีย เท่ากับคุมทะเลดำได้เลย

มุมมองของผมมีเท่านี้ครับ ผิดถูกอย่างไรชี้แนะได้นะครับ

เมียไคร

แหม่​ มาเปิดตัวก่อนไม่กี่วันด้วยนะ
จะทำไปเพื่ออาไร​ ดินแดนตรงนั้นไม่มีทางได้กลับมาหรอก

การเมืองอีกแล้วเหรอ บอลโลกล่าสุดก็ แชค กับ ชาก้าป่ะที่ทำท่านกอะไรสักอย่าง

ไหนจะโดรนโบกธงอีก