cr.marca.com

เรื่องคือ สโมสรฟุตบอลขนาดใหญ่ที่แฟนบอลรวมกันมากกว่าครึ่งของวงการออกมาก่อตั้งลีคฟุตบอลเพื่อเตะกันเองแทนยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีค เสียงประท้วงที่ดังทุกวันนี้ เช่น มันเป็นการทรยศหักหลังต่อแฟนบอลหรือวงการฟุตบอล แฟนบอล หรือ เอาเปรียบสโมสรอื่นๆ!
คำถามคือสิ่งที่สโมสรเหล่านี้ทำมีความผิดเชิงศีลธรรมอย่างที่ว่ามาหรือ?
ก่อนอื่นต้องมาดูที่สาเหตุกันก่อน
เท่าที่ได้ยินมาเป็นเรื่องผลประโยชน์เรื่องของการแบ่งเงินรางวัล การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่สโมสรใหญ่ทั่วยุโรป

ในแง่นี้เราอาจจะมองในมุมมองของมาร์กซ์ที่ว่านายทุน จะใช้แรงงานกรรมกรในการผลิตสินค้า และนำมาขาย เอาแรงงานที่เป็นส่วนเกินจากทุน เข้ามาเป็นกำไร จากนั้นแบ่งอีกส่วนให้กรรมกรที่ผลิตสิ่งนั้นๆออกมา (แรงงานในการผลิต เช่น ผลิตข้าวหลาม 40 หน่วย แบ่งเป็นทุน 20 หน่วยแรงงาน 20 หน่วย แต่ขายได้ 70 หน่วย ก็จะเก็บทุนและส่วนเกินกลับมาและส่ง เงิน 20 หน่วยกลับไปให้แรงงานเท่ากับแรงที่เขาลงไป)

นายทุนคือผู้จัดการแข่งขันอย่างยูฟ่า ที่ให้กรรมกรอย่างสโมสรทั้งหลายมาผลผลิต(แมต์การแข่งขัน) เพื่อขายสปอนเซอร์ซื้อลิขสิทธิ์ต่างๆไปใช้ในการโฆษณาขายสินค้าของตัวเองกับแฟนบอลอีกต่อหนึง ทีนี้ยูฟ่า(นายทุน)ก็จะได้ เงินทั้งหมดมาก้อนใหญ่ มาก็แบ่งให้กรรมกร(สโมสร) เป็นจำนวนๆหนึง แม้จะไม่น้อยจนเท่ากับแรงงานที่ลงไปเท่านั้นและเก็บส่วนเกินไว้ทั้งหมดก็จริง แต่เราจะเห็นว่ารอยแยกมันเกิดขึ้นแล้วและรอยแยกนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือไม่ ยิ่งเงินมามาก ยูฟ่าก็จะเพิ่มให้ทีมน้อยกว่าที่สโมสร(ไม่ใช่ทุกสโมสร)คิดว่าตัวเองควรจะได้(ค่าจ้างจากการผลิตการแข่งขัน)


cr. laborarts.org

อันที่จริงไอเดียใช้ไม่ได้เพราะสโมสรฟุตบอล"ไม่ใช่"แค่กรมกรในระบอบ แต่เป็นบริษัทในระบอบทุนนิยม ที่นำรายได้่ที่สโมสรหาได้ต่างๆ มาแจกจ่ายให้ลูกจ้างตัวเอง ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าของสโมสรไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน แก้วน้ำ เสื้อผ้า เพื่อทำเงินละนำมาแบ่งให้แรงงาน(พนักงาน สตาฟ นักบอล) ของตัวเองเช่นกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ แรงงานของบริษัททุนนิยมที่ว่านั้น สามารถที่จะ "เปลี่ยน" นายจ้างของตัวเองได้ เช่น นักเตะสามารถย้ายสโมสรได้ถ้าไม่พอใจใดๆ(สัญญาหมดหรือมีสโมสรอื่นซื้่อสัญญาไป) หรือ คนทำความสะอาดสนาม ก็สามารถไปสมัครทำงานที่อื่นได้เช่นกัน แม้แต่คนอย่างเราๆสามารถเปลี่ยนธนาคารไปใช้บริการอีกธนาคารได้ ถ้าธนาคารน้ันให้ผลประโยชน์เราดีกว่า เช่น ให้ดอกเบี้ยมากกว่า เป็นต้น ในทัศนะนี้ มันก็เหมือนตุ๊กตารัสเซียที่ กรรมกรของนายจ้าง ก็ไปเป็นนายจ้างของกรรมกรได้เช่นกัน

แต่กับวงการฟุตบอลวันนี้ สโมสรทำแบบนั้นได้หรือเปล่า? ทางกฎหมายคิดว่าคงได้ เพราะจริงๆยูฟ่าไม่ใช่นายจ้าง เป็นแค่คนจัดงานหรือออแกไนเซอร์ของรายการแข่งขันเท่านั้น ถ้าสโมสรคิดว่าตัวเองไม่ได้ความเป็นธรรมก็สามารถถอนตัวได้
แต่มันได้จริงหรือ? เพราะในความเป็นจริง ยูฟ่าสามารถบังคับสโมสรได้หลายอย่าง โดยอ้าง "ความชอบธรรม" ที่เป็นมา เพื่อทุกคน(ทุกสโมสร) จะได้แข่งกันอย่างเท่าเทียมไม่ใช่ไปจัดตั้ง "ลีคคนรวย" แล้วทิ้งทุกคนไปแบบนี้ มัน "เห็นแก่ตัว" สิ่งเหล่านี้สามารถครองใจมหาชน ทั้งสโมสรบอลอื่นๆ และ แฟนบอลได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่ทำแบบนี้ยูฟ่าเป็นเจ้าเดียวที่ครองตลาด คุณไม่อาจเลือก"ผู้ให้บริการอื่น"ได้ ไม่มีธนาคารอื่นในวงการนี้ สโมสรจะออกจากยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีค ที่มี สมาชิกจำนวนครึ่งของสโมสรทั้งหมดในยุโรป(สมมุติ)และนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ไปหา ยูนาน่าแชมป์เปี้ยนลีคที่นิยมอันดับสอง หรือ ยูกาก้าที่นิยมเป็นอันดับสาม แล้วไปลงทะเบียนแข่งรายการที่ว่าไม่ได้เพราะมันไม่มี ทุกวงการถ้าเราไม่มีการแข่งขันก็จะมีการผูกขาดและมีอำนาจมากเกินไปในการจัดการ!
สโมสรใหญ่เลยพยายามจะหาทางออกด้วยการออกจากรายการนี้และสร้างรายการมาแข่งกับยูฟ่าเสียเอง แต่ยูฟ่าครองใจมหาชนได้ด้วยความชอบธรรมที่กล่าวมาข้างต้นมันเลยมีปัญหา


cr.cbssports.com

เรื่องนี้ให้ authority ให้ออแกไนเซอร์อย่างยูฟ่าสามรถสร้างความชอบธรรมมาบังคับสโมสรโดยไม่ต้องบังคับได้กลายๆ ไม่ได้เป็นนายจ้างแต่มีสถานะคล้ายนายจ้างนั่นเอง เพราะมีความชอบธรรมในการอเปหิ(excommunicate) ผู้มีปัญหาออกจากวงการฟุตบอลได้เลย เรื่องนี้ต้องโน้มน้าวองค์กรออแกไนเซอร์ใหญ่รายอื่นๆให้เห็นด้วยเช่น บอลโลก อย่างฟีฟ่า(parent) หรือ เอฟเอของโดมินิสติกลีคอังกฤษ เป็นต้น ถ้าองค์กรเหล่านั้นต้องการคง law and order ของตัวเองให้อยู่ในระเบียบเดิมก็เป็นไปได้ที่จะให้ความร่วมมือด้วย
หรือจะไม่เล่นด้วยกับออแกไนเซอร์เจ้าปัญหาอย่างยูฟ่า และคิดว่ายูฟ่าควรโปร่งใสขึ้น?

เมื่อหลักการมันเริ่มแปลกๆแบบนี้ สโมสรตามปรกติก็ควรเริ่มตั้งสมาคมมาทักท้วงผลประโยชน์ คิดว่าคงเคยเจรจากับนายจ้างแฝงรูปออแกไนเซอร์แล้ว ว่าเราไม่พอใจต้องการผลประโยชน์เพิ่มต้องการมีสิทธิ์มีเสียงว่าเราไม่ต้องการสิ่งใดต้องการสิ่งใด แต่การเจรจาไม่เป็นผล ยูฟ่าย่อมสามารถใช้ข้ออ้างเพื่อส่วนรวมได้ และ องค์กรเองก็ไม่ได้มีความโปร่งใสมากนัก ตรงนี้แก้อย่างไรในองกรค์รวมใดๆย่อมมีคนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มของตนไปมีส่วนร่วมในองค์กรนั้นๆเพื่อสอดส่องดูแลผลประโยชน์ของกลุ่มตน ส่งคนตัวเองไปคานอำนาจกัน จากนั้นจะเป็นการสร้างนระบอบให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้ด้วยการคานอำนาจกัน แต่ดูจากผลลัพธ์ในวันนี้แล้วดูเหมือนจะไม่เป็นผลอย่างน้อยพวกเขา(สโมสรใหญ่)

กลับมาที่คำถามเชิงศีลธรรมเดิมสิ่งที่สโมสรเหล่านั้นทำผิดไหม? ที่เขาไม่พอใจกับออแกไนเซอร์และเตรียมจัดตั้งรายการแข่งขันกันเองแทนออแกไนเซอร์ที่พวกเขาไม่พอใจ สิ่งที่เกิดกับสโมสรอื่นๆที่โดนทอดทิ้งนั่นสมควรนำมาชั่งน้่ำหนักในกรณีนี้ด้วยหรือไม่? การโต้ตอบของพวกเขาเกินเลยไปหรือไม่?
ถ้าเค้าโดนกระทำจากยูฟ่าจริง เค้าสามารถเลือกเดินในทางที่จะทำให้สโมสรอื่นๆเสียประโยชน์ไปด้วยได้หรือไม่?
คำตอบของผมเองผมยังไม่รู้เลย

ทั้งหมดที่พูดมาแค่หลักการ ผมไม่แน่ใจว่าเค้าอยากจัดตั้งรายการนี้จริงจังแค่ไหน หรือจะเป็นผลต่อนเนื่องจากการคัดง้างผลประโยชน์กับองค์กรยูฟ่าที่ไม่เป็นผลในทางลับ จึงเดินก้าวต่อไปเพื่อช่วงชิงการความได้เปรียบในการเจรจา ด้วยการออกมาแถลงต่อสาธารณชนกันแน่ เกมส์นี้ออแกไนเซอร์ที่มำอำนาจควบคุมเกินออแกไนเซอร์ดูเหมือนจะได้เปรียบเพราะคุมความชอบธรรมไว้ได้ อย่างน้อยก็ในสายตามวลชน แต่สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร จะเจรจาผลประโยชน์กันได้? จะแตกหัก? หรือจะยอมแพ้? ผมคิดว่าสิ่งที่แสดงออกมาต่อสาธารณชนคือผลของการต่อรองเบื้องหลังแล้วล้มเหลว เค้าจึงเดินเกมส์ก้าวต่อไปเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่ก็ต้องแลกมาด้วยผลกระทบที่จำกัดวงไม่ได้ เพราะไม่ได้จบแค่ในที่ประชุม แต่จะโดนกดดันจากสังคมด้วย

แต่ไม่ว่าจะทางไหน ผมคิดว่านี่คือการพยายามปลดแอกของบริษัทในโลกทุนนิยมที่พยามช่วงชิงความชอบธรรมในผลประโยชน์จากระบบที่กดทับตัวเองอยู่ด้วยพลังของสภาวะแวดล้อม หรือ เป็นความพยายามของทุนนิยมทีีจะปลดแอกนั่นเอง
















เมื่อวานนี้พรรคคอมมิวนิสอังกฤษออกแถลงการ ว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำลายเกมส์ของชนชั้นแรงงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วย ได้แต่หวังว่าพวกเค้าจะเห็นว่านายทุน(สโมสร)ที่เป็นแรงงานในแง่หนึงต่อยูฟ่าด้วยเช่นกัน ทุนนิยมมันก็แบบนี้แหละนะ

http://www.idcommunism.com/2021/04/communist-party-of-britain-slams-european-super-league-an-assault-on-the-game-of-the-working-class.html?fbclid=IwAR3DQ0zpAh7CwTNzhN4qPkW6d_SzBhJlEwVWQuJJM11r246behFPsz9VOUU

ผมว่าบทความอาจเปรียบเทียบผิดไปหน่อย

อย่าลืมยูฟ่า กับฟีฟ่า มันอยู่ในรูปแบบ ความร่วมมือ ของสมาชิก

ภาษาไทยยังเขียนว่า สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป

ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก เป็นร้อยๆ ไม่ใช่แค่12 สโมสร

ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง

เหมือนมันคือ สังคมอะ คุณไม่สามารถเอาแก่ใจตนเองได้ โดยไม่แคร์เพื่อนร่วมสมาชิก

ซึ่งใช่ ตอนนี้ผู้บริหารหรือใคร อาจมีปัญหา ออกนโยบายไม่ดี หรือมีนอกมีใน ไม่ให้ผลประโยชน์คนบางกลุ่มอย่างแฟร์พอ

แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นขัออ้างที่จะทำอะไรไม่เห็นหัวคนอื่นได้

เหมือนคุณเป็นเจ้าสัว รวยมากๆแล้ววันนึงคุณบอก จ่ายภาษีเยอะมากกก แต่ตัวเองไม่เห็นได้อะไร ได้คนจนหมด

คุณเลยบอก เรารวมตัวกันไม่จ่ายดีกว่า แต่คุณก็ยังอาศัยอยู่ในชายคากับเค้า ใช้ทรัพยาการร่วมกับเค้าเหมือนเดิม

ใช่ครับ ในกรณีที่เป็นยูเนี่ยนใดๆ แล้วมีการจัดตั้งคนมาบริหารทรัพยากรส่วนร่วมขอยูเนี่ยนนั้นๆ แล้วมีสมาชิกกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ จะกี่ทีมก็๋ได้ครับ 12 20 หรือ 1 คุณสามารถประท้วงได้ หรือ คุณจะออกจากยูเนี่ยนก็ได้ ถ้าคุณออกจากยูเนี่ยนคุณก็จะโดนบอัเปหิ ออกจากองค์คาพายพต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ถ้าประเทศใดประเทศหนึงออกจากการตกลงส่วนรวมใดๆ ก็จะโดนกดดันโดนแบนซึ่งเป็นสิ่งปรกติ

ส่วนการบริหารยูเนี่ยน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกแบบไหน แล้วผู้ที่ไม่พอใจนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ทางที่ตรงหลักการสุดคือรอให้หมดสมัยแล้วคุณก็ผลักดันแนวคิดตนขึ้นมานำองค์กร แต่ถ้าคุณคิดว่าองค์กรนี้มันแย่เกินทนคอรัปชั้่นจนแนวคิดพวกคุณไม่มีทางจะแทรกไปได้ คุณก็อาจจะออกไปหาองค์กรอื่นได้(แต่ประเด็นคือมันไม่มี) ฉะนั้นมันเลยทำให้สโมสรอยู่ในฐานะโดนบังคับด้วยพลังสภาพแวดล้อม ทางศีลธรรม เพราะถ้าออก คุณก็ต้องออกจากความเกี่ยวข้องในสหภาพด้วย คุณอาจจะโดนไล่จากชายคาไปเลยก็ได้(ถ้าเขามีอำนาจทำ)

แต่ผมคิดว่าประเด็นมันน่าจะไปไกลกว่าทีมใหญ่เสียประโยชน์ มันอาจจะเป็นทีมอื่นก็ได้ ด้วยเรื่องอื่นก็ได้
ประเด็นที่ผมว่าคือการบริหารอาจจะมีอำนาจนำมากเกินไป เพราะไม่มีการแข่งขันจากภายนอก(องค์กรอื่น) และการคานอำนาจภายในอาจจะไม่เป็นผลเท่าที่ควร(ถ้าเป็นเรื่องมันจะจบหลังไมค์ไม่ใช่หน้าสื่อครับ)

คือสโมสรที่มีส่วนได้เข้าร่วมหลายร้อยทีม แบ่งให้เยอะขนาดไหนก็ไม่สู้แบ่งให้แค่ 12 ทีมหรอกครับ

ยังไม่ได้อ่านนะครับ
เเต่อยากจะพูดถึงหนึ่งในเหตุผลที่ใครหลายๆคนในนี้สนับสนันESL ด้วยการบอกว่าเป็นการไม่ยอมให้ยูฟ่า ทำตัวเป็นเสือนอนกินอีกต่อไป
ผมว่านะ ESL มันก็เเค่เปลี่ยนเสือตัวที่นอนกินจากยูฟ่า เป็น 12 ทีมนั้นเเค่นั้นเเหละ (ดีไม่ดีคนที่ได้นอนกินจริงๆคือเจ้าของทีม12ทีมนั้นด้วย สโมสรอาจจะไม่ได้กำไรเพิ่มเเต่เงินเข้ากระเป๋าเจ้าของทีมเพิ่มก็ได้)

นอกจากนั้นเเล้ว ยังใช้คำว่า"ยูโรเปี้ยน"ได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้มี12 ทีมจาก3ประเทศ
ถ้าเปลี่ยนชื่อลีก(หรือถ้าจะใช้ยูโรเปี้ยน ก็ต้องมีหลากหลายหลีกเเละประเทศมากกว่านี้) ถ้าเปลี่ยนวิธีคัดเลือกทีมที่ได้เข้าร่วม ถ้าเปลี่ยนเป็นทุกทีมมีโอกาสเข้าถึงเท่าๆกัน ผมคิดว่า ESL มันจะมีความเป็นไปได้มากกว่านี้ เเละน่าสนับสนุนมากกว่านี้

จนถึงตอนนี้มันดูเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากการพยายามหาเงินเพิ่มของ(เจ้าของ)สโมสรทั้ง12สโมสรนั้น ไม่ใช่เรื่องฟุตบอลหรือการเอาตัวรอดหรอก หาเงินเพิ่มล้วนๆเลยครับ

สำหรับเนื้อหาของเจ้าของกระทู้ เดี๋ยวเลิกงานเเล้วมาอ่านนะครับ
ขออภัยด้วยที่เม้นอาจจะไม่เกี่ยวกับกระทู้ ผมไม่อยากตั้งใหม่ให้มันเปลืองกระทู้ครับ

ถ้าเปรียบอาจจะไปเปรียบเทียบกับพวก คริปโตเคอเรนซี หรือว่า defi ที่พยายามหนีออกจากตัวกลางเดิมดีกว่า

ถ้ามองเรื่องส่วนแบ่ง การปลดแอกของชนชั้นแรงงานไม่ได้นำมาซึ่งส่วนแบ่งที่ดีขึ้นในระบบคอมมิวนิสต์เลย

ผมเพิ่งเห็นว่าคนตอบกระทู้มีแต่ยูส 2006-2008 ทั้งนั้นเลยแหะ

เหมือนพวกเราจะเห็นหน้ากันมานานละนะครับเล่นกันตั้งแต่เด็กๆจนตอนนี้น่าจะมีอายุกันหมดละ ฮา

ผมตั้งเท่ๆให้มันคล้องกับเยาวชนปลดแอกบ้านเราไปตามทัศนะเฮียมาร์กซ์แกเท่านั้นแหละครับ เพราะการมองแบบนั้นมันได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าผิดสังคมไม่ได้เดินหน้าไปในทางที่มาร์กซ์แกว่าไว้แต่อย่างใด จริงๆมันไม่มีชนชั้นแรงงานด้วยซ่ำ เพราะผู้เล่นในเรื่องนี้คือบริษัททุนนิยมที่ขัดผลประโยชน์กับองค์กรล้วนๆ

ปล. ชื่อยูสหมาแดกแฟบนี่รู้จักกับยูสแฟะแดกโฟมรึเปล่าครับ



ทำผมรู้สึกผิดเรื่องตั้งกระทู้ไปเลยครับ ตอนแรกก็อยากจะตอบกรทู้ชาวบ้านเฉยๆ แต่เขียนไปเขียนมามันชักจะยาวเลยมาตั้ง

แล้วผมก็ไม่ได้สนับ ESL เช่นกันนะครับ แค่คิดว่ามันคงมีมุมมองอื่นๆที่น่าสนใจในประเด็นนี้ๆอยู่ เช่น การมีอำนาจนำมากเกินไปในองค์กรที่ไม่มีคู่แข่งที่เท่าเทียม กับการอำนาจของผู้มีส่วนร่วมในองค์กร และการตรวจสอบความโปร่งใสครับ

ส่วนเรื่องชื่อ "ยูโรเปี้ยน" นี่ผมก็ว่าแปลกๆหน่อยเหมือนกัน แต่มันก็เป็นอะไรที่หาจุดตัดยากนิดหนึงครับ คือ ถ้าเราตั้งสมาคมคนเอเชียในเมืองยุโรป แล้ว มีคนไทย คนจีน คนญีุ่่น เวียดนาม เกาหลีใต้ เราจะยังใช้ชื่อสมาคมว่าเอเชียได้ไหม ในเมื่อมีแค่ไม่กี่ประเทศจากทั้งหมด ในกรณีนี้ผมคิดว่าน่าจะได้
แต่ในกรณี ESL ชื่อมันบ่งบอกถึงความแบ่งแยกด้วย ในเวลาที่ตั้งนั้นมันก็ได้สภาปณาความเป็นซุปเปอร์ของ 12 ทีม จาก 3 ประเทศมาเป็นตัวแทนคำว่ายูโรเปี้ยนไม่พอ แต่มันยังมีนัยยะว่าพวกเขา 12 ทีม เหนือทีมอื่นในยุโรปไปด้วยครับ

ส่วนเรื่องเงินผมว่าชัวร์ครับ ในแง่ใดแง่หนึงเค้าก็คิดว่าสิ่งที่เค้าลงไปควรจะได้มามากกว่านี้เลยออกมาในรูปแบบนี้ ผมเชื่อว่าเป็นผลต่อเนื่องจากการรวมกลุ่มกันเจรจาต่อรองแล้วไม่เป็นผล เลยเคลื่อนมาอีกขั้นหรือเปล่า

พวกที่ชอบบอกให้แยกกีฬาออกจากการเมือง แยกฟุตบอลออกจากการเมือง
หลังจากอ่านบทความนี้คงเข้าใจอะไรมากขึ้น

โคตรเบื่อพวกนี้

ขอบคุณครับ อ่านแล้วยิ่งไม่ชอบยูฟ่า