ตำนานนักเตะเชลซี กับความภักดีที่แฟนบอลไม่มีวันลืม
ในปี 2004 เอฟซี ปอร์โต้ ทีมแกร่งจากลีคโปรตุเกส ได้สร้างปรากฏการณ์ล้มยักษ์อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน โค้ชระดับศาสตราจารย์ของโลกลูกหนัง
พวกเขาผ่านเข้า ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีค รอบ 16 ทีมสุดท้ายสำเร็จ โดยเฉือนเอาชนะ 'ผีแดง' ในบ้านไปก่อน 2-1 ก่อนที่จะมาตามตีเสมอ 1-1 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมนัดที่สอง ณ โรงละครแห่งความฝัน เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2
ว่ากันว่า ปีนั้นคือปีแห่งการพลิกล็อคของจริง ทั้งการเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง เอซี มิลาน ของ เดปอร์ติโว่ ลา กอรุนญ่า หรือ การที่ 'ราชันชุดขาว' มหาอำนาจลูกหนังเมืองกระทิง ถูกเขี่ยตกรอบด้วยน้ำมือของ อาแอส โมนาโก ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ใจในปีนั้น
เหนือสิ่งอื่นใด คือ การคว้าแชมป์ยุโรปใหญ่ครั้งแรกของ 'The Special One' โจเซ่ มูรินโญ่ กุนซือหน้าใหม่ เจ้าตำรับเกมรับแห่งเซตูบัล
แต่นักเตะที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของยูฟ่านั้นกลับแปลกมากๆ เพราะทั้ง 10 คนจาก 11 คนนั้น ไม่มีใครเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายเลยแม้แต่คนเดียว เรียกได้ว่า ความกาวนั้นมีมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้วล่ะครับ แต่เอาเถอะ...พวกเขามาจากสโมสรระดับพี่บิ๊กทั้งนั้นนี่นา ไม่ว่าจะเป็น ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอาร์เซน่อล
และชายเพียงคนเดียวที่ได้เล่นรอบชิงชนะเลิศ ก็มาจาก เอฟซี ปอร์โต้ นั่นเอง เขาคนนั้น คือ คนที่จ่ามูออกปากว่า
"นี่แหละ แบ็คขวาที่เก่งที่สุดในโลกของปีนี้" ผลงานการหยุดยั้ง ไรอัน กิ๊กส์ เสียอยู่หมัด และความเป็นแบ็คจอมบุกที่ปั้นเกมจนพาทีมถล่มโมนาโกเละเทะ 3-0 ในรอบชิง คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ มันกลายเป็นสาเหตุที่ 'สิงโตน้ำเงินคราม' ยอมจ่ายเงิน 17 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับลายเซ็นต์และการชูเสื้อของเขา
"เปาโล แฟร์เรร่า ตำนานนักเตะเชลซี กับความภักดีที่แฟนบอลไม่มีวันลืม"
วันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2004 เชลซีประกาศกร้าวคว้าตัว เปาโล แฟร์เรร่า กองหลังสารพัดประโยชน์มาจาก เอฟซี ปอร์โต้ ตามรอยเจ้านายเก่าและเพื่อนร่วมทีมอย่าง ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ มาติดๆ
'น้าเปา' ขึ้นชื่อว่าเป็นฟูลแบ็คที่เติมเกมส์บุกได้ดุดัน เร้าใจ ด้วยทักษะการออกบอลที่แม่นยำทั้งใกล้และไกล (ส่วนตัวมองว่าลูกเปิดโค้งสวยอีกต่างหาก) ช่วยเพิ่มมิติเกมริมเส้นไม่ขาด นอกจากนี้ ยังมีสกิลการเล่นเกมรับที่โดดเด่น สามารถแท็กเคิลและคุมโซนแผงหลังได้ดีถึงขั้นที่ 'น้ามู' จับแกไปเล่นเซ็นเตอร์ในบางโอกาสเลยครับ
"แฟร์เรร่าอาจไม่ได้เป็น Man of The Match นะ แต่เขาคือคนที่เล่นได้ 7 จาก 10 คะแนนในทุกเกม" คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงเลย เพราะมูรินโญ่ใช้บริการศิษย์รักคนนี้มากถึง 206 นัด มากกว่าฟูลแบ็คคนอื่นตลอดอาชีพการคุมทีม 20 ปีเต็ม
เพราะฉะนั้น เราสามารถบอกได้เลยว่า จุดแข็งอีกจุดหนึ่งของแฟร์เรร่า คือ ความฟิตนั่นเอง เขาย้ายมาจากวิคตอเรีย เซตูบัล และปักหลักอยู่ปอร์โต้ 2 ซีซั่น แต่พลาดลงสนามไปแค่ 2 นัดเท่านั้น!!
แม้ว่าในปีแรกของ โรมัน อบราโมวิช กับเชลซี พวกเขาจะมี มาริโอ เมลช็อต ที่ช่วยให้ทีมเสียประตูเพียง 30 ลูกตลอดฤดูกาล ลงประจำกราบขวาในแผงหลังแล้วก็ตาม แต่การมาของ
เปาโล แฟร์เรร่า ที่จับคู่กับ
วิลเลียม กัลลาส ป้องกันเกมรับริมเส้น และคอยช่วยสองคู่หูเซ็นเตอร์ระดับตำนาน
'เทอร์รี่-คาร์วัลโญ่' ทำให้เกมรับของเชลซีถูกไขน็อตให้เหนียวยิ่งขึ้น เก็บคลีนชีทไปได้มากถึง 24 นัด เสีย 15 ประตู เป็นสถิติต่อ 1 ซีซั่นที่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้
ปีเตอร์ เช็ค ขอบอกว่าผมถูกใจสิ่งนี้
อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างยากทีเดียวสำหรับเขา เมื่อต้องเจอเกมหนักและรวดเร็วติดต่อกันหลายนัด
แฟร์เรร่าเริ่มฟอร์มตกและเผยจุดอ่อนออกมาให้เห็น ประกอบกับเชลซีคว้าตัว จูเลียโน่ เบลเล็ตติ ฟูลแบ็คสะแด่วแซมบ้า มาจากค่ายคัมป์ นูว ทำให้เขาถูกดร็อปอยู่ข้างสนาม จนความมั่นใจเริ่มหดหายไปพร้อมกับฟอร์มการเล่น
ตอนนี้ แฟร์เรร่าเป็นเพียงแค่ตัวเลือกรองจาก มิคาเอล เอสเซียง และ ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า สองมิดฟิลด์ตัวรับด้วยซ้ำ!!
กระนั้น แฟร์เรร่า ยังคงตัดสินใจฝากอนาคตไว้กับสโมสรต่อในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008 ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปี แต่หารู้ไม่ว่า หลุยส์ ฟิลิปโป้ สโคลารี่ โค้ชแชมป์โลกกำลังจะก้าวเข้ามากุมบังเหียนทันทีที่ซีซั่นนั้นสิ้นสุดลง โดยเขาหนีบตัวเลือกในใจของตำแหน่งแบ็คขวามาด้วย ขวัญใจของใครหลายๆคนในช่วงหนึ่ง 'โปรถีบ' โจเซ่ โบซิงวา คู่แข่งตัวฉกาจของน้าเปา ทั้งในสนามแสตมฟอร์ด บริดจ์ และทีมชาติโปรตุเกส
ถามว่าน้าเปาโกรธไหม? แน่นอนครับว่า "ไม่เลย" แถมยังยินดียกเสื้อเบอร์ 20 ของตัวเองให้ เดโก้ เพลย์เมกเกอร์ตัวใหม่อีกราย แล้วตัวเองไปใส่เบอร์ 19 แทน เขาเริ่มถูกให้ความสำคัญน้อยลงไปทุกที เพราะตอนนั้น บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ก็เริ่มปรับตัวโชว์ก้นงอน เอ้ย โชว์ฟอร์มเข้าตาโค้ชแล้วด้วย ส่งผลให้เชลซีคว้าถ้วยเอฟเอ คัพ กับ กุส ฮิดดิ้งค์ และถ้วยพรีเมียร์ ลีค สมัยที่ 3 กับ คาร์โล อันเชล็อตติ
จนปี 2010 เขาจะเปลี่ยนเบอร์เสื้ออีกครั้ง เพื่อเปิดทางให้ดาวรุ่งชื่อดังอย่าง จอช แมคอีคราน ขึ้นมาเฉิดฉายในทีมชุดใหญ่ ซึ่งผลลัพธ์ก็อย่างที่รู้กันครับ ไม่อยากพูดถึงให้เจ็บเปล่าๆ
ครับ...ซีซั่นนั้นนั่นแหละ ที่เราได้ตัว เฟร์นานโด ตอร์เรส เพชฌฆาตสังหารมาจาก 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล ที่ทำเอาผมนอนฝันเฝ้าพระอินทร์ว่า 'เชลซียิงกระฉูดแน่นอน'
ฟอร์มการเล่นที่ไม่เอาอะไรเลยของตอร์เรส ทำให้เขาเริ่มถอดใจ ฝ่ายผู้บริหารก็ยืนยันให้เข็นลงต่อไป ขณะที่กุนซือแต่ละคนก็บาทาก่ายหน้าผากว่า "แล้วฟอร์มทีมมันจะดีขึ้นยังไงฟะ"
สปีดต้นที่หายไปเพราะอาการบาดเจ็บ ความคมที่เคยมีก็มลายสูญสิ้น 'ตอร์เรส' แปรเปลี่ยนสภาพเป็น 'ตอไม้' เรียบร้อย ตอร์เรสอยากหาต้นสังกัดใหม่ เพราะเขาเริ่มรู้แล้วว่า สโมสรแห่งกรุงลอนดอนนี้ไม่ใช่ที่ของเขาแล้วจริงๆ
จังหวะนั้นแหละ ที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งในฐานะตัวสำรองอดทนจะช่วยทีมได้
แฟร์เรร่าใช้ความอาวุโสของตนเข้ามาหาตอร์เรส เขาอยู่ที่นี่มานานกว่า เขาตกเป็นตัวสำรองที่นานกว่า ที่สำคัญคือ
'เขาถูกมองข้ามมามากกว่า' ทำไมเขาจะไม่เข้าใจล่ะว่า แชมเปี้ยนอย่างตอร์เรสรู้สึกอย่างไร เพราะเขาเองก็เคยเป็น
'แชมเปี้ยน' มาก่อนเหมือนกัน
แฟร์เรร่าบอกตอร์เรสว่า ให้มองเขาเป็นแบบอย่าง ความเป็นมืออาชีพไม่ใช่การเป็นสตาร์ที่เด่นดังท่ามกลางสปอร์ตไลท์ หรือการถูกจับกล้องตัดต่อไปทำคลิปวิดิโอในช่องถ่ายทอดสดบนทีวี สิ่งที่เขาควรทำตอนนี้คือ รักษาสภาพร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอ และทุ่มเทอย่างสุดความสามารถทุกครั้งที่ได้รับโอกาส เพื่อตอบแทนสโมสรที่ว่าจ้างและแฟนบอลที่ยังศรัทธาในตัวของเขาทั้งสองอยู่
เพียงคำพูดพล่อยๆอาจไม่สามารถชี้นำใครได้ ฟ้าลิขิตสิ่งนั้นให้ตอร์เรสประจักษ์ แฟร์เรร่าได้รับโอกาสลงเล่นในรอบหลายปี เพราะเชลซีหมุนเวียนผู้เล่นไม่ทัน และเขาสามารถช่วยให้ทีมชนะไปได้
"ผมดีใจมากๆเลยครับ เพราะผมไม่ได้ลงเล่นนานมากแล้ว เกมนี้ผมได้โอกาส 80 นาทีเพื่อช่วยทีม ผมพยายามอย่างหนักทุกวันเพื่อรักษาสภาพ รอวันที่ผู้จัดการทีมต้องการผม"
"วันนี้เขาเลือกผมแล้ว ผมทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่ผมจะทำได้เลยล่ะ"
คุณเข้าใจหรือยังว่า จากอดีตกองหน้าเบอร์หนึ่งของโลก ทำไมถึงกลายเป็นนักเตะวิ่งลืมตายในเสื้อสีน้ำเงิน? ต่อให้จะฟอร์มห่วยแค่ไหน...ทำไมตอร์เรสถึงดูสู้สุดใจในสีเสื้อเชลซี? คำสอนและการกระทำของน้าเปาตอบทุกอย่างเรียบร้อย
ในปี 2013 อันเป็นขวบสุดท้ายของสัญญานักเตะอาชีพกับเชลซี ต้องบอกว่าผมโกรธเคืองสโมสรอยู่เหมือนกันในเวลานั้น เพราะมีสองนักเตะที่ถูกย้ายไปให้ไปซ้อมกับทีมสำรอง
ในรายแรก ฟลอร็องต์ มาลูด้า ออกมาจวกเชลซียับเยินว่า สโมสรใจแคบกับเขามาก หลายๆครั้งเขาต้องทนซ้อมอย่างโดดเดี่ยว เพียงเพราะแค่ไม่อยากย้ายทีม ซึ่งแม้เรื่องจะจบลงด้วยดีในท้ายที่สุด ด้วยการที่มาลูด้าพูดเชิงว่าหมดเวรหมดกรรม ไม่มีการเสียดสีอะไรเพิ่มเติม แต่ในมุมมองของแฟนบอลก็รู้สึกแย่ไม่น้อยกับเหตุการณ์นี้ครับ
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เปาโล แฟร์เรร่า ผู้ไม่เคยคิดโกรธเคืองโมโหสโมสร แกเอาเวลาไปสอนดาวรุ่งให้คอยพัฒนาฝีเท้า ขัดเกลาความคิดและสติปัญญา อดทนรอโอกาสที่จะเข้ามา ไม่ใช่เอาแต่โทษสโมสรอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งตัวเขารู้ดีว่า เขาคงไม่ได้รับการต่อสัญญาฉบับที่สามอีกแล้ว และเริ่มวางแผนอนาคตที่จะไปเปิดศูนย์ฝึกอคาเดมี่เล็กๆในประเทศบ้านเกิดแทน
อันที่จริง เขาก็ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม แถมยังสามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว...
แต่ว่าปีสุดท้ายกับการช่วยเหลือดาวรุ่งก็เป็นเรื่องราวดีๆเหมือนกัน เปาโล แฟร์เรร่า เลือกที่จะแขวนสตั๊ดทันที ในวัยเพียง 34 ปี ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า 'เขาต้องการให้เชลซีเป็นสโมสรสุดท้าย'
เชลซีเป็นสโมสรที่ต้องเดินหน้าอยู่เสมอ ต้องยึดหลักตามนโยบายและการบริหารที่เด็ดขาด แต่เมื่อแฟร์เรร่าแขวนสตั๊ดเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่ง Brand Ambassador ของเดอะบลูส์ไปมากกว่าเขาอีกแล้ว เพราะสถานที่นี้เปรียบเสมือนบ้านที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใด คุณลองคิดดูสิ ชายคนนี้ไม่เคยทำอะไรให้เชลซีเสื่อมเสียเลยแม้แต่เสี้ยวเดียวจริงๆ
นอกจากนี้ เขายังเป็นโค้ชเทคนิคที่ดูแลผู้เล่นยืมตัวควบคู่กันไป ตามที่เขาใฝ่ฝันอยากทำตอนเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ เป็นความฝันในโลกความเป็นจริงที่ลงตัวพอดิบพอดี
เชื่อว่าแฟนสิงห์บลูทุกคนจะไม่มีทางลืมเขาคนนี้ หนึ่งในตำนานนักเตะที่แฟนเชลซีรักมากที่สุด คนที่จงรักภักดีกับสโมสรมากที่สุด สุดท้ายนี้ ขอจากไปด้วยเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของน้าเปากับนักข่าว มีคนไปถามแกว่า "สมัยเป็นนักเตะ มีข้อเสนอยื่นมาตั้งมากมาย คุณไม่อยากย้ายทีมเพื่อหาโอกาสลงเล่นหน่อยเหรอ? นักเตะทุกคนเขาก็อยากหาเวลาลงเล่นกันทั้งนั้น" ก่อนที่น้าเปาจะตอบกลับไปว่า
"ผมไม่เหมือนคนอื่น ผมอยากแสดงให้ผู้จัดการทีมเห็นว่า ผมยังช่วยทีมได้"