#BrunoEffect บรูโน่ เฟร์นานเดส: เดอะแบกแห่ง 'ปีศาจแดง' (ตอนจบ)
***********************



'บรูโน่ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ยอดเพลย์เมคเกอร์พึงจะมี...แต่ความเก่งกาจของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ'

หลังจากตอนที่แล้วเราได้พูดถึงช่วงชีวิตของ บรูโน่ ในวัยเด็ก และ ความสำคัญของเขากับ โนวาร่า และทุกทีมที่ไป ในวันนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับที่ทำให้ 'บรูโน่ เฟร์นานเดส' เป็นเจ้าพ่อมือฉมังค์ลูกนิ่ง และ สถิติ 'เดอะแบก' ของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พลิกโมเมนตัมเก้าอี้ 'โอเล่ กุนนาร์ โซลชา' ให้ปลอดภัย

พบกับซีรีส์ บรูโน่ เฟร์นานเดส: เดอะแบกแห่ง 'ปีศาจแดง' (ตอนจบ) กันครับ
****************
[ความเดิมตอนที่แล้ว]

" 'บอร์เก็ตติ' แมวมองผู้คนพบสาธยายสิ่งที่สื่อท้องถิ่นเรียก บรูโน่ ในเวลานั้นว่าเป็นถึง 'มาราโดน่าแห่งโนวาร่า' ปานนั้นเลยด้วย 'อิมแพ็ค' และ 'ความเป็นผู้นำ' จากกลางสนามที่คอยขับเคลื่อนแดนกลางของทีม"

(ลิ้งค์ EP1 )


_______________________
#2



เป็นที่ประจักษ์กันดีว่า 'บรูโน่ เฟร์นานเดส' ชื่อนี้การันตีทุกอย่างทั้ง คิลเลอร์พาส, การยิง, ลูกนิ่ง (โดยเฉพาะความแม่นยำในการซัดจุดโทษ) และ การขับเคลื่อนเกม

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องเซอร์ไพร์สก็คือทักษะการช่วยเกมรับที่ถ้าวัดจากสถิติในลีกซีซั่นนี้เจ้าตัว 'แท็คเกิ้ลสำเร็จ' ไปถึง 30 ครั้ง, ทำฟาวส์ไป 21 หน และยังช่วยสกัดบอลไป 12 ครั้ง

ซึ่งนับว่าไม่ธรรมดาสำหรับผู้เล่นที่โลดแล่นในตำแหน่ง 'เพลย์เมคเกอร์'

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...ไม่ใช่พรสวรรค์ที่เสกมันออกมาได้ทันที หากแต่เกิดจาก 'ความอุตสาหะ' ที่่สุดท้ายมันส่งผลกับตนเองในบั้นปลาย

ในขณะที่เด็กทุกคนลงซ้อมในวันจันทร์,พุธ, ศุกร์ และ รอเล่นในเกมวันเสาร์, แต่ 'บรูโน่' ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เขาไม่กลัวที่จะเดินไปขอโค้ชฝึกสกิลต่างๆเพิ่มให้ จนกระทั่ง เซร์จิโอ มาร์เกส กุนซือคนแรกของในชีวิตของเจ้าตัวเมื่อครั้งสมัยยังเป็นเจ้าหนูอายุแค่ 9 ขวบได้เสนอว่า ถ้าต้องการวิชาเพิ่มขึ้น...ในวันหยุด บรูโน่ จะต้องมาซ้อมตัวต่อตัวกับตนเองแล้วเดี๋ยว มาร์เกส นั้นจะฝึกให้เอง...

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับ 'บรูโน่' นั้น เจ้าตัวไม่รีรอที่จะตอบตกลงทันที ในขณะที่หากเป็นเด็กคนอื่นคงเลือกเล่นเกมอยู่กับบ้าน !

"ทุกๆวันอังคารตอน 6 โมงเย็นครึ่งจะมีเพียงแค่ บรูโน่ กับ ผมที่สนามซ้อม และ ผมได้ให้เขาฝึกการจ่าย และ คอนโทรลบอล คุณอาจนิยามเขาว่าเป็นเจ้าพ่อลูกนิ่งตัวยงคนนึงในตอนนี้ แต่สำหรับผมแล้วการฝึกครั้งนั้นแหละที่มันส่งผลให้เชื่อมั่นในทักษะที่เก่งกล้าของตนเอง"

อิทธิพลที่ มาร์เกส มีต่อหนุ่มคนนี้นั้นสูงมาก ดูเหมือนว่าความกระตือรือร้นในครั้งนั้นจะส่งผลให้ บรูโน่ ติดนิสัยชอบซุ่มซ้อมพิเศษอยู่คนเดียวเรื่อยมา ตอนอายุ 13-14 ขวบแม้จะย้ายทีมแล้วแต่เจ้าตัวมักจะซ้อมยิงฟรีคิก, ยิงไกลจากหน้ากรอบเขตโทษคนเดียวทุกๆวันเสมอรวมถึงบุคลิกที่โดดเด่นที่ บรูโน่ เป็นกัปตันทีมให้กับทีมเยาวชนทุกทีมที่เขาเคยลงเล่น

ทว่าสำหรับสกิลเกมรับของเจ้าตัวนั้นมันออกจะเป็นเรื่องโชคดีในความโชคร้าย ย้อนกลับไปตอนอายุ 15 ปี เบาวิสต้า นั้นมีนโยบายให้นักเตะลงเล่นมากกว่าตำแหน่งหลัก 'บรูโน่' อาจแจ้งเกิดกับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง แต่ในตอนนั้น เบาวิสต้า ทดลองให้ บรูโน่ ถอยลงไปเล่นเซนเตอร์แบ็ค

แน่อนว่า บรูโน่ ไม่พอใจ และ มักจะร้องขอที่จะกลับไปเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง แต่ในเมื่อโค้ชสั่ง เจ้าตัวก็มืออาชีพพอที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้สมูธขึ้นด้วย 2 เท้าของตัวเอง 'อบิลิโอ โนเวส อดีตโค้ชของ บรูโน่ ที่เบาวิสต้า ได้บอกว่าเขาแทบไม่ต้องสั่งอะไรในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้เลย เพราะ ดูเหมือนว่าความเข้าใจเกมของ 'บรูโน่' นั้นจะสูงกว่าคนอื่นๆทั้งหมดในทีม

"เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนนำหน้าเด็กคนอื่นไปไกล 2-3 ปีเสมอ เขาโตมากสำหรับเด็กในวัยนั้น ความเข้าใจในแท็คติกโค้ชของ บรูโน่ มันทำให้ผมต้องช็อก ครั้งหนึ่งผมเคยถึงกับฉงนว่า 'ไอเด็กนี่มันเป็นใครกันแน่?' มีอยู่เกมหนึ่งที่ตอนนั้นเราเล่นกับ กิล วิเซนเต้ และเมื่อจบครึ่งแรกเรามีปัญหาเซนเตอร์ฮาร์ฟบาดเจ็บ ทันใดนั้น บรูโน่ ก็เสนอตัวทันทีว่า 'ผมเองครับโค้ช' และเขาก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเสียด้วย"

"ผมแทบไม่ต้องสอนอะไรเขาเลย เขารู้ดีว่าเขาควรจะเล่นยังไง เขาอาจจะเริ่มต้นในฐานะนักเตะ แต่ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถเป็นโค้ชระดับโลกได้แน่เหมือนที่เขาโชว์ออกมาในสนามแล้ว"

ตัดภาพกลับมายังตอนที่ย้ายไป สปอร์ติ้ง ลิสบอน ประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตสอนให้รู้ว่า บรูโน่ ควรเล่นอย่างไรในสนาม ในเวลาแค่ 2 ปีครึ่งที่อยู่กับทีมมิดฟิลด์ทีมชาติโปรตุเกสยิงไปทั้งหมด 64 ลูกให้ 'เหยี่ยวลิสบอน' แต่จุดพีคที่สุดอยู่ที่ฤดูกาล 2018-19 ที่เจ้าตัวทั้งยิงและจ่ายรวมกันถึง 49 ครั้ง ถือเป็นสถิติที่มากที่สุดตลอดกาลต่อ 1 ซีซั่นของผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ของยุโรปที่เท่าที่เคยทำได้มา

เขาคือ 'คีย์แมน' ของทุกทีมที่ตนเองเคยลงเล่น ต่างกันที่ในครั้งนี้ด้วยวัยและวิชาที่สั่งสม บรูโน่ แปรสภาพเป็น 'เดอะ แบก' ทั้ง ใน และ นอกสนามที่ชายคนนี้จะเป็นศูนย์กลางของเพื่อนๆ ในตอนที่เพื่อนร่วมทีมรู้ว่าเขากำลังจะย้ายสังกัด ทุกๆคนล้วนอาลัยอาวรณ์ และ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา

'บาส โดสท์' บอกว่า บรูโน่ นั้นมีความเป็นผู้นำสูงและมักจะคอยให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ขณะที่ 'ราฟินญ่า' ปีกชาวบราซิล ก็บอกว่า บรูโน่ คอยเบรกให้เพื่อนนั้นใจเย็นเสมอยามทุกสิ่งไม่เป็นใจ และเมื่อตอนที่เขาย้ายเข้ามา 'บรูโน่' ในฐานะกัปตันทีมก็ต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมือนคนๆนั้นเป็นพี่ชายตนเอง

ในวันที่ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หัวใจของ 'บรูโน่' นั้นมี 2 ฝากฝั่ง...แง่นึงก็ดีใจที่ได้ย้ายซบบิ๊กทีมในฝัน แต่อีกแง่ใจของเขานั้นสลาย เพราะ เข้าใจดีถึงความเจ็บปวดที่แฟนๆ สปอร์ติ้งฯ ได้รับ และ เขาก็แค่อยากจะเป็นที่รักของทุกทีมที่เขาได้เคยร่วมรบกันมา

แต่ 1 ปีให้หลัง...หลังดีลมหากาพย์ 55 ล้านปอนด์กับการเดิมพัน 'ครั้งสำคัญ' ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ...

บรูโน่ กลับก้าวเข้าไปอยู่ในอกข้างซ้ายของแฟนๆ 'เร้ด อาร์มี่' ได้ไวเหลือเกิน!
_______________________
#3



ก่อนมี 'บรูโน่'... แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะได้แค่ 37.5 % และเกือบทำให้อนาคตของ 'โอเล่ กุนนาร์ โซลชา' สุ่มเสี่ยง แต่หลังการมาของ บรูโน่ เฟร์นานเดส แค่ 9 นัด ทีม 'ผีแดง' นั้นไม่เคยแพ้ใครเลย และ ชนะไปถึง 6 แมตช์คิดเป็นเปอร์เซนต์ถึง 66.7 %

และต่อไปนี้คือสถิติของ 'เดอะแบก' แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฤดูกาลนี้จนถึงปัจจุบัน (นับถึงก่อนเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา) :

- นักเตะที่ผ่านบอลเข้าเขตโทษมากที่สุด (116 ครั้ง)
- นักเตะที่สร้างสรรค์โอกาสให้ทีมได้มากที่สุด (44 ครั้ง)
- นักเตะที่ผ่านบอลยาวสำเร็จแล้วเป็นประตูมากที่สุด (7 ครั้ง)
- นักเตะที่ยิงและแอสซิสต์รวมกันในลีกมากที่สุดนับตั้งแต่ บรูโน่ ย้ายมา (32 ครั้ง)
(ในยุโรปเป็นรองแค่ ลิโอเนล เมสซี่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้)
- มีเพียง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เท่านั้นที่ยิงมากกว่าเจ้าตัวนับตั้งแต่เจ้าตัวย้ายมาเล่นในลีก (บรูโน่ 19, ซาลาห์ 20)
- นักเตะที่มี % เฉลี่ยยิง และ แอสซิสต์ต่อเกมของแมนฯ ยูไนเต็ด ดีที่สุดในลีก (บรูโน่ 1.10%, เอริค คันโตน่า 0.80%)

'กว่าครึ่ง' ที่ยิงนั้นอาจจะมาจาก 'ลูกจุดโทษ' หากแต่นั่นก็แสดงถึงความแม่นยำ และ การเป็น 'มือปืนรับจ้างลูกนิ่ง' ของเจ้าตัวที่ฝึกฝนจนช่ำชองแต่เด็กมาอย่างดี

'โอเล่ กุนนาร์ โซลชา' เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาต้องการใครสักคนที่เข้ามาแล้วเปลี่ยนโฉมหน้าทีม แต่ดูเหมือนการมาของ 'บรูโน่' นั้นจะส่งเอฟเฟคแรงกว่าที่คิด

ตอนที่ บรูโน่ เฟร์นานเดส ย้ายมาเล่นให้กับทีม 'ผีแดง' ใหม่ๆ ไอเดียของเฮดโค้ชตำนานนอร์เวย์คือมอบบทผู้เล่นเบอร์ 10 ให้ บรูโน่ พร้อมกำชับให้เพลย์เมคเกอร์รายนี้สอดเข้าเขตโทษบ่อยๆ คอยสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนขณะเดียวกันก็ยิงเมื่อมีจังหวะ เพราะ ผู้เล่นสไตล์นี้คือสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดหายไปนาน

แต่ถ้าเรากางสถิติออกมาดูจะพบว่า 'บรูโน่' คือผู้เล่น 'เบอร์10ที่เล่นมากกว่ากับเบอร์10 ...เขาคือส่วนผสมของ เบอร์ 10 กับ เบอร์ 8 ที่พร้อมมีส่วนร่วมกับทีมทุกหยดอณูเท่าที่สามารถทำได้

ในฤดูกาลที่แล้วขณะที่เพลย์เมคเกอร์คนอื่นอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ คือนักเตะที่จับบอลในเขตโทษมากสุด (เฉลี่ย 4.9 ครั้ง) รวมไปถึง เมสัน เมาท์ (4.61 ครั้ง), เดเล่ อัลลี่ (4.68 ครั้ง), แจ็ค กรีลิช (3.87 ครั้ง) บรูโน่กลับสัมผัสบอลในเขตโทษเพียง 3.11 ครั้ง กระทั่ง เจสซี่ ลินการ์ด (3.65 ครั้ง) และ อันเดรส เปเรย์ร่า (3.76) ยังทะลุเข้าเขตโทษมากกว่า!

คำถามก็คือแล้ว 'บรูโน่' ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นที่ตรงไหนของสนาม !??

คำตอบก็คือเขาคือชายที่พร้อมจะพริ้วไหวไปทั่วทุกส่วนของเรือนร่างอสูรกายนามว่า 'ปีศาจแดง'

อาจจะด้วยการซึมซับนิสัยเล่นเกมรับที่โดนบังคับมาตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี ทำให้ชายที่ชื่อ 'บรูโน่ เฟร์นานเดส' สนุกกับการขับเคลื่อนทุกส่วนของสนาม จากสถิติในฤดูกาลนี้ที่นับจนถึงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้นมีดังนี้ :

เปอร์เซนการมีส่วนร่วมในเขตโทษเกมรับ - 8.98 % (ซีซั่นที่แล้ว 3.63%)
เปอร์เซนต์การมีส่วนร่วมพื้นที่กลางสนาม - 43.92 % (ซีซั่นที่แล้ว 48.90 %)
เปอร์เซนต์การมีส่วนร่วมพื้นที่สุดท้าย - 47.10 % (ซีซั่นที่แล้ว 47.47%)

จะเห็นได้ว่าในซีซั่นนี้ บรูโน่ วิ่งพล่านในสนามมากกว่าฤดูกาลที่แล้วเสียอีก เขาแบ่งหน้าที่จากในการขับเคลื่อนแดนกลางเพื่อลงมาช่วยล้วงบอลในเกมรับมากขึ้นตามสไตล์ที่ตนเองถนัด การลงมาช่วยเกมรับทำให้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด หรือ ใครก็ตามที่ถูกจับเป็นคู่หูของเขาเล่นง่ายขึ้น และ นั่นก็ส่งผลต่อรูปเกมที่ดีนำมาซึ่งผลการแข่งขันที่เป็นใจตามมา

#BrunoEffect นั้นส่งผลรุนแรงกว่าที่คาดเอาไว้มาก อันที่จริง โซลชา เองแม้จะพอใจในตัวของดาวเตะคนเก่งแต่ก็ใช่ว่าเขาจะดีใจที่ บรูโน่ ทำเกินหน้าที่ลงมาช่วยเกมรับมากจนเกินไป ในเกมที่ชนะ เอฟเวอร์ตัน เมื่อ 2 เดือนก่อน โซลชา ได้ยอมรับว่าบางครั้งการเล่นของ บรูโน่ ก็ทำให้เขาต้องหงุดหงิด เพราะบางจังหวะที่ลงมาช่วยทีมมากเกินไปก็ทำให้พื้นที่เกมรุกที่ บรูโน่ ควรจะอยู่กลับหายไป

กระนั้น 'โอเล่' ก็เป็นโค้ชที่ยืดหยุ่นพอ และ ให้อิสระกับนักเตะ... ความมุ่งมั่น และ แรงกระหายของ บรูโน่ ในอีกมุมก็ทำให้ โซลชา ประทับใจ เขาพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อพยุงทีมไว้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่หาได้ยากจากนักเตะในยุคปัจจุบัน

"นักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกคนควรดูสิ่งที่เขาทำกับความกล้าที่เขามี เขาเพิ่งมาอยู่กับทีมแค่ 11 เดือนแต่เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม และ ให้กำลังใจเพื่อนเสมอในยามที่เพื่อนต้องการ"

ในความเดิมตอนที่แล้ว.. 'เมาโร บอร์เค็ตติ' หัวหน้าแมวมองที่เป็นคนพา บรูโน่ มาอยู่กับ โนวาร่า เคยบอกว่านี่คือนักเตะที่สื่อท้องถิ่นยกย่องให้เป็น 'ดิเอโก้ มาราโดน่าของเมือง' มันอาจดูอาจหาญ และ เกินไปถ้าจะไปเทียบกับคนที่เก่งและทรงอิทธิพลที่สุดอย่าง 'มาราโดน่า' ...

แต่มันคงไม่น่าเกลียดเกินไปถ้าจะบอกว่าสิ่งที่ บรูโน่ เฟร์นานเดส มอบให้ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นมันส่ง 'Impact' คล้ายกับสิ่งที่ มาราโดน่า ทำให้กับ นาโปลี เลย หรืออย่างน้อยๆ ก็ เอริค คันโตน่า

ถึงจะไม่เท่า, ยังห่างไกล และ ไม่น่ามีวันเท่า

นานกว่า 8 ปีแล้ว 'เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน' พา 'ปีศาจแดง' คว้าแชมป์ลีก จากวันนั้นถึงวันนี้...โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่เคยกลับมาเป็นเหมือนเดิม กระทั่งในตอนนี้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คือ 1 ในม้าศึกเบียดแย่งแชมป์เต็มตัว มันก็ยังไม่แน่ว่าช่วงเวลาสวยหรูเช่นนี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน...

แต่ถ้าหากว่าจับพลัดจับผลู 'โซลชา' และ ลูกทีมทำได้...บางที 29 มกราคม 2020 คงจะเป็น 1 ในวันที่อดีตดาวยิง 'เพชรฌฆาตหน้าทารก' ต้องจดจำไปตลอดกาล เพราะนั่นคือวันที่เปลี่ยนโมเมนตัมเส้นทางอาชีพกุนซือของเขา และ แน่นอนโดยเฉพาะกับสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด..

ด้วยสองเท้าของ 'บรูโน่ เฟร์นานเดส' , ยอดผู้นำที่พร้อมจะแบกทีมให้กับทุกทีมที่เขาลงสังเวียน

(จบซีรีส์ - บรูโน่ เฟร์นานเดส: เดอะแบกแห่ง 'ปีศาจแดง' ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาครับ )

#มาสเตอร์ริท

แกเก่งจริงๆครับ ถ้าปีที่ผ่านมา ได้มาพร้อมกับ ฮาลันด์ จะเป็นคอมโบที่สุดมากๆ
เสียดายที่แรชฟอร์ดกับมาร์กซิยาลไม่คม ส่วนคาวานี่กับกรีนวูดที่คมกว่าก็ดันได้โอกาสลงเล่นน้อย

ถ้าแดนกลางเรามี Bruno Fernandes + Ander Herrera คงจะฟินไม่ใช่น้อย เสียดายจังไม่ทันได้อยู่คอมโบกัน