(1) แมนซิตี้กับชัยชนะต่อ FFP ที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้
ในฤดูกาลที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสลุ้นแชมป์ถึง 4 ถ้วย ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยสตาร์ของทีมอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง หรือ เควิน เดอบรอย แต่กลับเป็นเหล่าทนายมากประสบการณ์ของพวกเขาที่เอาชนะเหล่าตุลาการของ UEFA ได้ในช่วงทดเวลาพิเศษ - โทษแบน 2 ปีใน UCL ถูกยกเลิก และค่าปรับที่ลดลงจาก 30 ล้านปอนด์ เป็น 9 ล้านปอนด์
ชัยชนะครั้งนี้ซิตี้ยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขึ้นหรือถ้วยรางวัลใดๆ ผู้คนภายในสโมสรต่างเชื่อว่าซิตี้ต้องต่อสู้ในการนำสโมสรมาอยู่ ณ จุดนี้ - ทีมหัวตารางแห่งพรีเมียร์ลีกที่ได้รับสิทธ์ในการเข้าไปโลดแล่นและเฉิดฉายในเวทีระดับโลก ร่วมกับทีมมหาอำนาจในแชมป์เปี้ยนส์ลีก
เป็นที่รู้กันดีว่า UEFA นั้นต้องเอาใจสโมสรมหาอำนาจของยุโรป และ Financial Fair Play (FFP) ก็เป็นเหมือนโล่กำบัง ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันทีมอย่างซิตี้ในการขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหลายปีที่ผ่านมา แมนซิตี้ ได้เข้ามาท้าทายเหล่าสโมสรผู้อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร และเป้าหมายของพวกเขานั้นชัดเจน - ขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
แน่นอนว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เคยเป็นที่ยอมรับของเหล่าสโมสรมหาอำนาจเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซิตี้ได้รับชัยชนะในการยกเลิกโทษแบน ชัยชนะจากศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ปัญหาของซิตี้คือพวกเขาไร้ซึ่งพันธมิตร - ซิตี้ตอนนี้ใหญ่เกินไปที่จะไปรวมหัวกับสโมสรระดับล่าง และแน่นอนพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อทีมมหาอำนาจเก่า ทั้งในประเทศและยุโรป
คุณลองคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์ขององค์การฟุตบอลแห่งทวีปยุโรปสิ (European Clubs Association) พวกเขาอยู่นั่นไง เหล่าผู้ทรงอิทธิพลแห่ง ECA จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และ บาเยิร์น มิวนิค
หากคุณเป็นแฟนของสโมสรอย่าง นิวคาสเซิล, เอฟเวอร์ตัน, วูลฟ์, ท็อตแน่ม หรือสโมสรใดก็ตามที่คิดการใหญ่ คุณควรที่จะเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งนี้ของซิตี้นะ ถ้าชัยชนะครั้งนี้ทำให้กฎ FFP ของ UEFA ได้รับความเสียหาย มันแปลว่าพวกคุณยังมีโอกาส เหล่าสโมสรมหาอำนาจไม่ต้องการที่จะให้โอกาสนั้นกับคุณ พวกเขาคิดว่ามันควรจะตกเป็นของอำนาจเก่าเท่านั้น
___________________________________________________________
หากโทษแบน 2 ปี จาก UCL ยังคงอยู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็จะยังดำเนินต่อไป แต่ไม่ใช่ในแบบที่สโมสรเป็นอยู่ตอนนี้อย่างแน่นอน - หายนะทั้งในด้านการเงินและภาพลักษณ์ รวมถึงการถ่ายโอนบอร์ดบริหารซึ่งอาจรวมถึงเจ้าของทีม
ในด้านของฟุตบอลน่ะเหรอหากซิตี้โดนโทษแบน? โค้ชและนักเตะระดับโลกอย่าง เป๊ป กวาดิโอลาร์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ เควิน เดอบรอย จะย้ายออกจากทีมโดยไม่ต้องสงสัย การเสริมแนวรับแทบเป็นไปไม่ได้จากงบประมาณเดิม และอนาคตของเหล่าดาวรุ่ง อย่าง ฟิล โฟเด้น ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นเดียวกัน
เป็นไปได้ไหมที่ดาวรุ่งซึ่งกำลังจะแจ้งเกิดเต็มตัวอย่างโฟเด้น จะอยู่กับสโมสรที่ได้แต่เฝ้ามองทีมอื่นประสบความสำเร็จ - นั่นเป็นจุดที่ซิตี้เคยอยู่ และเป็นสิ่งที่เหล่าคู่แข่งของซิตี้ปรารถนาให้เกิดขึ้นอีกรอบ: แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับไปอยู่ในจุดที่พวกเขาต้องขาย ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ให้กับเชลซีเพื่อไปเป็นตัวสำรองที่เติมเต็มโควต้านักเตะอังกฤษในทีมเท่านั้น และโปรเจคต์ Abu Dhabi คงจะเป็นความล้มเหลว สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลหญิงอังกฤษ การพัฒนานักเตะดาวรุ่งอังกฤษและยุโรปจะถูกลบล้างออกไป
นั่นเป็นที่มาของการตอบโต้อย่างดุเดือดระหว่างซิตี้และเหล่าสโมสรมหาอำนาจ การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน และการปลดแอกจากข้อกล่าวหาทั้งหมดแต่ไม่พ้นซึ่งคำครหา ซิตี้ยังคงถูกปรับ 9 ล้านปอนด์ สำหรับการปฎิเสธที่จะให้ความร่วมมือ: ข้อเท็จจริงที่เหล่านักวิจารณ์ใช้ยืนหยัดในจุดยืนของพวกเขา แต่แม้กระทั่งค่าปรับยังถูกลดลงมา 21 ล้านปอนด์ จากค่าปรับเดิม 30 ล้านปอนด์
จุดสำคัญไม่ใช่การที่ซิตี้ปฎิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการสืบสวนที่เกิดขึ้นจากเอกสารที่ถูกปล่อยออกมาในโลกออนไลน์, แต่อยู่ที่คำตัดสินของ CAS ในข้อหลักของซิตี้ - การปลอมแปลงการระดมทุนในรูปแบบของผู้สนับสนุน (Sponsorship Contribution) - ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง
นั่นแปลว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ซิตี้ได้รับว่าพวกเขา โกง, โกหก, และได้ซึ่งความสำเร็จมาโดยมิชอบนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีมูลเหตุพอทั้งสิ้น จากคำตัดสินของ CAS ที่ได้ให้การไว้ว่า
‘ข้อเกล่าหาทั้งหมดนั้นไม่อาจพิสูจน์ได้ (หรือได้พ้นกำหนดการฟ้องร้องทางกฎหมาย (Time Barred) ไปแล้ว ’ โทษแบน 2 ปีถูกยกเลิก และค่าปรับถูกลดลง 2 ใน 3 ใครก็ตามที่เถียงว่านี่ไม่ใช่ชัยชนะโดยสมบูรณ์ของซิตี้ก็เหมือนกับหลอกตัวเอง
ข้อโต้แย้งจากฝั่งตรงข้ามที่ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้น รอดมาได้ในเชิงเทคนิคจากการ ‘พ้นกำหนดการฟ้องร้องทางกฎหมาย (Time Barred)’ พวกคุณลองย้อนอดีตแล้วดูการดำเนินธุรกิจทางเทคนิคในอดีตสักหน่อยไหม? เชลซีมาถึงจุดนี้ได้โดยการทำแบบเดียวกับที่ซิตี้ทำ ในเรื่องของการลงทุนของเจ้าของ และจากนั้นได้ร่วมมือกับทีมระดับท็อปของอังกฤษ ในการเปลี่ยนกฏ เพื่อที่การอัดฉีดสโมสรโดยใช้ตลาดซื้อขายนักกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ทุกๆสโมสรนั้นต่างต้องมีการลงทุนในขณะที่กำลังอยู่ในการเติบโตไปสู่จุดสูงสุด แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอาชญากรรม - และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการกีดกันล้วนแต่เป็นทีมมหาอำนาจเก่า
_______________________________________________________
วันจันทร์ที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ของการใช้สิทธ์ประโยชน์เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ฆาเบียร์ เตบาส ประธานแห่ง ลา ลีก้า ได้ออกมาโจมตี CAS ว่าไม่ได้มาตรฐาน และยืนยันว่าซิตี้นั้นควรที่จะถูกเตะออกจากฟุตบอลยุโรปซะ ในตอนนี้เขาคงอยากยุบ CAS เช่นกัน
น่าตลกที่ ฆาเบียร์ เตบาส ไม่ออกมาบ่นอะไรซักคำ เมื่อ CAS ลดโทษแบนของ เรอัล มาดริด ลงครึ่งหนึ่งจากการที่พวกเขาทำผิดในการซื้อขายนักเตะดาวรุ่ง และเฆบาสก็ไม่ออกมาพูดอะไรเลยเช่นกันเมื่อ 6 วันที่แล้ว ตอนที่ CAS ปฎิเสธการยื่นฟ้องร้องของสโมสรซานโตส ต่อ บาร์เซโลน่าในเรื่องของการเซ็นสัญญาเนย์มาร์ เมื่อปี 2013
ในมุมของเตบาส CAS คงจะมีมาตรฐานที่ดีโดยตลอดจนกระทั่งคำตัดสินล่าสุดต่อซิตี้ ที่เหล่ามหาอำนาจเก่าไม่ได้สิ่งที่พวกของต้องการ
พวกเขาคิดว่าระบบที่ได้สร้างขึ้นมาจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ เดวิด กิลล์ แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กุมบังเหียนนั่งแท่นรองประธานของ UEFA, ริค แพร์รี่ อดีตประธานลิเวอร์พูล เป็น 1 ใน 8 ของคณะกรรมการทางการเงิน ซึ่งได้ออกบทลงโทษของซิตี้ออกมา
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้ไร้ซึ่งพันธมิตร และที่ยืนในกลุ่มมหาอำนาจแห่งฟุตบอล - พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อที่จะได้มันมา
Spoil
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8518971/MARTIN-SAMUEL-Man-City-lost-appeal-against-European-ban-CRUSHED.html