อ่านเพลินดีครับ

เป็นบทความที่อ่านเพลินมากครับ


ย้อนความตอนนั้น BR โดนปลด ยังคิดในใจเลยว่าอยากได้คล๊อปมาก
เเต่เขาคงไม่มาหรอก ทีมเผือกร้อนมาก เเถมความคาดหวังสูง
เเต่เซอรไพรซ์มาก เเกยอมมาเสี่ยง มาลุยไปด้วยกันกับ Liverpool


ตอน คล๊อปมา ตอนเเรก ก็ไม่หวังอะไรมากครับคิดว่า ปีเเรกสร้าง
ปี 2 ติด TOP4 ปี 3 - 4 ลุ้นเเชมป์ สักถ้วย
เเค่นี้พอเเล้ว เเต่ผลงานบอสดีเกินหวังไปเยอะมากๆ
สงสารเเกปีเเรกปีที่ 2 ที่รับเเรงกดดันมาก เเต่ตอนนั้นเชื่อลึกๆว่าคนนี้เเหละ
จะปลุกหงส์ ขึ้นมาอีกครั้ง เเบบ" เซอรอเล็ก " เคยพูดไว้ เเกมาทรงเดียวกับป๋า
เป๊ะๆเลย เน้นสร้าง เเละเสริมไปเรื่อยๆเเก้ไปทีละจุด ไม่รีบร้อน เเละวันนี้เเกก็ทำได้จริง


ตอนที่พลาดเเชมป์ ยูโรป้า คาลิ่งคัพ เเละ UCL 2017/2018 ตอนนั้นคิดไว้ว่า
ถ้าเล่นดีเเบบนี้ เเพชชั่นดีเเบบนี้ ทรงดีเเบบนี้ นักเตะกระหายเเบบนี้
เดี่ยวสักวันก็มีเเชมป์ติดมือมาเองเเหละ เเละปีนี้ เขาก็เสกถ้วยเเชมป์เเรกเเบบ
โลกจารึกเลย ด้วยการโค่น บารซ่า เเละ สเปอร์ เถลิงถ้วยหูใหญ่ ในที่สุด


ตอนนี้ทีมก็กำลังมาดี เเกก็ต่อสัญญา ไปถึง 2024 นักเตะตัวหลักก็ทยอยต่อสัญญา
เเละนักเตะใหม่ๆ ก็อยากย้ายมามากขึ้น บอรด์ก็ให้การสนับสนุน
เเฟนบอลก็รัก ต้องบอกจริงๆเลยว่า เพราะ JK นี่ละครับที่ปลุกไฟหงส์ให้กลับมาอีกครั้ง



ตอนนี้อะไรๆก็ดีไปหมด เเต่ถ้าสักวัน JK ผลงานไม่ติด TOP ตลอดผมก็จะไม่บ่นเลย
เพราะ เเกลำบากกับนักเตะ เเละทีมงานชุดนี้ มาเยอะมากกว่าจะมีวันนี้


พิมพ์สะยาวเลย ขอบคุณที่เขียนบทความดีๆให้อ่านงับ

มูปีนี้ผมว่าคงลุ้นที่3-4

ปีหน้าคงเอาจริง

บทความเขียนได้ดีเลยครับ อ่านเพลินเลย

ขอให้กำลังใจผู้เขียน ให้มีบทความให้อ่านกันอีกครับ

เขียนดีเลย ชื่นชมครับ

เขียนได้ดีเลยครับ

ตอนแรกอุตส่าห์ดีใจ เห็นมีข่าวว่าคล็อปป์อาจจะอยู่ไม่นาน

ไปๆมาๆ ต่อสัญญาแล้วจ้าาา

ลิเวอร์พูลดึงคล็อปป์มานี่คุ้มโคตรจะคุ้มเลย

อยากรู้ว่าตอนต่อสัญญา ให้ใส่ค่าเหนื่อยเองหรือเปล่า

ปีที่แล้วมันเจ็บแบบ...0ุกไงท่าน รองแชมป์ที่แต้มเยอะสุดในประวัติศาสตร์ 14 เกม ขอแมนซิพลาดเกมเดียว แต่แม่งไม่พลาดเลย ไม่เป็นไร เก็บเปนแรงผลักดัน แล้วมาเอาใหม่ปีนี้

แล้วบอกว่าแต้มเดียวก็พลาดไม่ได้ ใครขวางฆ่ามานนน

มีข่าวว่าเพิ่มให้ 35% จากค่าเหนื่อยเดิมนะครับ ก็น่าจะราวๆ 10++ ล้านปอนด์ ต่อปี

เขียนดีขนาดนี้ ทำบทความสบายๆเลย

โอเล่ และ คล็อปป์ และ เป๊ป - สามกุนซือผู้เข้ามายกระดับพรีเมียร์ลีก หวังลึกๆๆนะครับคงจะได้เขียนเร็วๆๆนี้

ผมก็อยากทำอยู่ครับ

แต่ไม่รู้ลู่ทางอะไรกับเค้าเลย

เป้าหมายแรกของโซลชาร์ก็คือ

ยกระดับตัวเองให้ได้ก่อน

พูดถึงงานเขียนก่อนครับ ขอชมเลยว่าเขียนดีครับ บทความมันจะยาวแค่ไหน แต่ถ้าเขียนน่าสนใจ น่าติดตาม เชื่อว่ายังไงก็มีคนอ่านครบทุกตัวอักษรครับ รู้สึกสบายใจ เวลามีกระทู้ที่สาระจรรโลงใจแบบนี้ในบอร์ดบอลนอกครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ

.

.

พูดกันถึงเนื้อหาของกระทู้ โดยส่วนตัวมองต่างนิดหน่อยครับ ถ้านิยามคำว่า "ยกระดับพรีเมียร์ลีก" ผมมองว่าคนที่เปิดประตูให้ลีกนี้ ตบเท้าเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการเลยคือ โชเซ่ มูรินโญ่ ยุคแรกกับเชลซีนะครับ เป็นคนที่กล้าพาเชลซี ที่เป็นทีม "กำลังพัฒนา" ก้าวขึ้นมางัดข้อกับ สองมหาอำนาจแห่งยุคอย่าง "ปีศาจแดง" ของเซอร์ อเล็กซ์ และ "ปืนใหญ่" ของเวงเกอร์ได้ ทำให้ทีมที่จะคว้าแชมป์มีบริบทที่แตกต่างออกไป คือ ไม่จำเป็นต้องเล่นสวยงาม ไม่ต้องยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ แต่เน้นผลของการแข่งขัน เน้นผลสำเร็จที่จับต้องได้ และกล้าที่จะเป็นทีมแรก ๆ ของอังกฤษที่กล้า บ้า ทุ่มเงินซื้อนักเตะ จนถูกสื่อตราหน้าว่าเป็นทีมใช้เงินซื้อความสำเร็จ (สำหรับยุค 2000's นี่ แค่เชฟเชงโก้ 30 ล้านปอนด์ ก็สะเทือนทั้งยุโรปละครับ)

แต่ในส่วนของ คล็อปป์ และ เป๊ป สำหรับผมถือเป็นการ "ปลุกลีกอังกฤษ" ให้ฟื้นจากภวังค์เลยล่ะครับ เพราะก่อนหน้านี้ ทีมจากลีกอังกฤษ มีผลงานซบเซาในเวทียุโรปอยู่พักใหญ่เลย หมดจากแมนฯ ยูไนเต็ด ปี 2011 ก็ไม่มีลีกอังกฤษเข้าชิงอีกเลย แต่ได้กุนซือสองคนนี้เข้ามา คือเขาค่อย ๆ สร้างทีมของตนเองเรื่อย ๆ วางรากฐานเรื่อย ๆ แล้วมาแข่งขันกัน ด้วยมาตรฐานที่เข้มข้นขึ้น จนมันส่งผลดีกับทีมอื่น ๆ ให้ต้องอัพเกรดตัวเองตามขึ้นมา และมันเป็นผลพลอยได้โดยไม่รู้ตัว อย่างที่ท่านว่าเลยคือปีก่อนที่ สองนัดชิงบอลถ้วยยุโรปทั้งเล็กและใหญ่ เป็นทีมจากลีกอังกฤษทั้งหมดเลย