[รีวิวหนัง] Glass คนเหนือมนุษย์ (2019)
วันนี้ผมอยากจะรีวิวหนังนอกกระแสเรื่องหนึ่ง (หรือระบายก็ไม่แน่ใจฮ่าๆ) นั้นคือเรื่อง Glass 2019 บางคนอาจจะเคยดูแล้ว แต่เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ไม่น่าจะเคยดูอย่างแน่นอน เรื่องนี้นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมือไม่ว่าจะเป็น Samuel L. Jackson, Bruce Willis, James McAvoy ซึ่งเป็นดาราที่ผมชอบทั้งนั้นโดยเฉพาะ L. Jackson และในเรื่องตัวเอกทั้ง 3 คนจะมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์เฉพาะของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
ส่วนคะแนนนั้น IMDB rate: 6.8 และ Rotten Tomatoes rate (มะเขือเน่า) : 37% / 71% มองเห็นเรทจากคนดู 6.8 / 71% ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่ เลยตัดสินใจดู ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นหนังฮีโร่ที่แปลกใช้ได้เลย
เดิมที่ที่ผมเคยได้ยินมาเรื่อง Glass เป็นหนังฮีโร่แนววิทยาศาสตร์ เลยได้หาข้อมูลจากเพื่อน เพื่อนก็แนะนำว่า มันเป็นหนัง 3 ภาค ต้องดูภาคแรกถึงจะเข้าใจทั้งหมดและต้องดูจนจบ 3 ภาคถึงจะเข้าใจ
1. Unbreakable (2000)
คะแนน IMDB rate : 7.3 , มะเขือเน่า 71%
ตอนนั้นคิดว่าด้วยคะแนนที่ออกมาก็ไม่เลว ถึงจะเก่าแต่ก็น่าสนใจนะ
2. Split (2016)
คะแนน IMDB rate : 7.3 , มะเขือเน่า 77%
ผ่านมา 16 ปีถึงจะมีภาค 2 แต่ก็ถึงกับตกใจคะแนนวิจารณ์ในเว็ปมะเขือเน่าที่ให้ถึง 77% เพราะโดยนิสัยส่วนตัว เวลาดูหนังจบแล้วคุยกับเล่นกับเพื่อน คะแนนในใจจะออกมาใกล้ๆ กับเว็ปมะเขือเน่านี่แหละครับ
และภาคสุดท้ายนั่นก็คือ
Glass (2019) ผมจึงตัดสินใจเริ่มไล่ดูตั้งแต่เรื่องที่ 1
Unbreakable (2000) นำแสดงโดย Samuel L. Jackson และ Bruce Willis
เปิดเรื่องมาจะเป็นการดำเนินเรื่องแบบช้าๆ รูปแบบของภาพ ฉาก เพลง ให้ความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันต้องมาแนวแอคชั่นดราม่าแน่ๆ ดูปมแต่ละตัวละครแล้วมันปูมาไกลมาก และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ จะออกแนวหนังชีวิตเลยก็ว่าได้ การโชว์พลังของตัวเอกจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะคงต้องการกั๊กและปูไว้ในภาคต่อไป
ขอพูดถึงข้อดีก่อน คือ หนังเขียนบทได้ดี ที่ไปที่มาถือว่ารับได้ การดำเนินเรื่องดูมีเหตุและผล ดูน่าสนใจในหลายๆ ช่วงของหนัง
มาถึงข้อเสีย ด้วยความเป็นภาคแรกของหนังชุดนี้และเหมือนจะปูเพื่อไปภาคต่อ (มั้ง) มันเลยไม่ได้สื่ออะไรถึงความเป็นฮีโร่มากนัก ออกแนวดราม่าครอบครัวซะเยอะ แถมดำเนินเรื่องช้าพอสมควรเหมือนพยายามจะอธิบายตัวละคร ปมต่างๆ จนทำให้รู้สึกว่า ดราม่าโคตรๆเลย ฉากแอดชั่นไม่ต้องถามถึงน้อยมาก (หรือไม่มีเลยหว่า 55)
โดยรวม เรื่องนี้ผมโอเคนะ ดำเนินเรื่องน่าสนใจ แม้มีน่าเบื่อบ้าง ดราม่าไปหน่อย แต่ในแต่ละช่วงของหนังก็ทำออกมาให้ชวนเราดูได้ต่อจนจบเรื่อง
พอจบเรื่องแรก แม้เป็นหนังเก่าถึงปี 2000 แต่ก็โอเคเลย ผมเลยตัดสินใจดูภาค 2 ต่อทันที
Split (2016) นำแสดงโดย James McAvoy
ภาคนี้มันให้ความรู้สึกราวกับถูกจับหัวกดน้ำลงแบบไม่ทันตั้งตัว (นี่มันอะไรของมันฟ่ะ!!!) ดำเนินเรื่องบนฉากเพียงไม่กี่ฉาก ซึ่งส่วนผมไม่ชอบหนังแบบนี้เลย ถ้าใครชวนไปดูหนังแนวๆ นี้ผมจะไม่ไปเด็ดขาด!!
โดยรวม เป็นหนังแนวการเอาตัวรอด (Survival) ไม่ค่อยเข้าใจแนวทางที่ ผกก สื่อออกมาเท่าไหร่ (ผมคงเข้าไม่ถึงเอง ใครเข้าใจช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะครับ 555) ภาคนี้เหมือนทนๆ ดูให้จบ พยายามทำความเข้าใจ ว่า ใคร ทำอะไร เพื่ออะไร จะสื่ออะไร แต่ขอบอกตามตรงว่า เข้าไม่ถึงเลยซักนิด
หลังจากผิดหวังเรื่องที่ 2 มาก็มาถึงเรื่องสุดท้าย ภาคนี้พลังในการดูเต็มเปี่ยมเพราะมันคือภาคที่เราอยากดูเว้ย!! และปูมาขนาดนี้ อั้นมาขนาดนี้แล้วมันต้องมีอะไรน่าสนใจ มีอะไรสนุกๆ แน่ๆ
Glass (2019) มันคือบทสรุป 2 ทั้งเรื่องที่ปูมาตั้งแต่ปี 2000 (เกือบ 20 ปี!!) ตัวละครเอกทั้งหมดถูกจับมารวมไว้ในห้องขัง (ดูจากโปสเตอร์พอจะดูออก) การดำเนินเรื่องในช่วงแรกถือว่า ใช้ได้ มีฉากให้ปะทะกัน สมกับเป็นภาคสุดท้ายจริงๆ แต่พอผ่านไปการดำเนินเรื่องมันช้าลงๆ แต่ตรงนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไม และในตอนไคลแม็คและปิดฉากของเรื่อง เป็นอะไรที่มีทั้งความผิดหวังและเซอร์ไพส์แบบ Wow ปะปนกัน
ขอพูดข้อเสียก่อนนะครับ
ข้อเสียของภาคนี้คือ
ถ้าใครหวังชากสู้กันมันๆ บอกเลยว่า ไม่มี!!
การดำเนินเรื่องออกไปทางสนทนากันซะเยอะ (หลังจากทั้งหมดถูกจับ)
ไคลแม็กและตอนจบของเรื่อง รู้สึกแบบ แบบนี้ได้ด้วยหรอ!! ยิ่งมาถึงตอนที่ตัวร้ายเฉลยทุกอย่างมันรู้สึกว่า OMG!!! WTF!! (พระเจ้านี่มันอะไรกันนนนนน) เอาแบบนี้เลยหรอ
ส่วนข้อดี
อย่างแรกคือ หนังซับซ้อน มีปม น่าติดตาม ในตอนท้ายมีความเซอร์ไพส์ให้ว้าวได้อยู่
การดำเนินเรื่องถึงจะช้า แต่ถ้าดูจนจบก็จะเข้าใจ (ต้องดูให้จบนะครับ 55)
ข้อดีอย่างสุดท้ายภาคนี้ คือ มันจบซะที!!! ด้วยข้อดีที่ไล่เรียงมาทั้งหมดตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคนี้ ถ้าคุณไม่ดูทั้งหมดคุณจะไม่เข้าใจ พอคุณดูภาคนี้คำตอบต่างๆ มากมายที่สงสัยตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2000!! จะถึงบางอ้อ
โดยรวม มันเป็นหนังแบบอาร์ตมากๆๆๆๆ (พยายามจะคิดว่ามันอาร์ต) ไม่คุ้มที่จะเสียเวลาดู เว้นแต่คนที่สนใจและอยากดูจริงๆ เท่านั้น ถ้าจะดูเอาสนุกผมแนะนำว่า อย่าเลย (นี่คือคำเตือน 55) เพราะเมืองนอกจัดให้หนังเรื่องนี้อยู่ในแนว
American psychological thriller superhero film ผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนดูหนังละเอียดพอสมควร แต่เข้าไม่ถึงจริงๆ ครับ พอกลับไปคุยกับเพื่อนที่แนะนำมา มันก็หัวเราะและบอกว่า ก็ตามนั้นแหละ ตามสไตล์ของ ผกก เขา
ทั้งหมดเป็นความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนตัวของผม ท่านใดที่ดูมาแล้ว มาแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจภาษาที่หนังเรื่องนี้จะสื่อให้ผมเข้าใจกว่านี้จะดีมากเลยครับ 555