แข้งลีกเอิง
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 6314
ที่อยู่: Manchester
โพสเมื่อ: Thu Feb 28, 2019 21:17
ประสบการณ์ผ่าเข่าและเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ
บางครั้งที่เขาว่าชีวิตจริงมันยิ่งกว่าหนังกว่าละคร...
ขอเกริ่นย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี2017ผมได้เข้าชิงบอลถ้วยในรายการการแข่งขันระหว่างคณะ(ภาคinter)ในระหว่างมอ ซึ่งผมกับทีมได้เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าชิงรายการนี้
(ตอนนั้นผมอยู่ปี2 ตอนปี1แพ้รอบ4ทีมสุดท้ายแถมไปแพ้ชิงที่3อีกที)
ด้วยความที่ว่าพร้อมมากสภาพร่างกาย จิตใจ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าเล็กน้อยแต่จังหวะนั้นพร้อมชนได้ทุกเมื่อ เกมล่วงเลยมาถึงต้นครึ่งหลังในขณะที่สกอร์ยัง0-0 ในสถานการที่ว่าทีมผมโคตรบัส ยื้อครึ่งแรกไปได้พอมีจังหวะตอบโต้บ้าง พอครึ่งหลังเริ่มไปได้สักพัก ทีมผมเสียฟรีคิดระยะที่ฝั่งนู้นเขาสามารถหวังผลทำประตูได้ ซึ่งตัวผมเองรู้อยู่แล้วว่าเขายิงมาทางนี้แน่นอน นัดนั้นผู้รักษาประตูทีมผมก็พอเล่นได้แต่ตัวเล็กไปหน่อย ผู้ตัดสินเป่าให้สัญญาณซึ่งก็นั่นแหละครับยิงมาทางที่ผมยืนดักไว้ โกลไมหมดสิทธิ์รับแน่นอน เหลือเพียงผมกับบอลที่กำลังจะเสียบใต้คาน ในความคิดตอนนั้นคิดว่าถ้าโหม่งไม่ถึงจะใข้มือปัดยอมใบแดงแล้วไปลุ้นเอาจุดโทษ ภาพหลุย ซัวเรสตอนบอลโลกลอยมาในหัวพอดี แต่สุดท้ายแล้วมันโดนศีรษะผมแบบเฉี่ยวๆออกหลังไปแบบหวุดหวิด หลังจากตอนนั้นไอเราก็ยิ่งได้ใจใหญ่ว่า เอ็งบุกมาเถอะไหวแน่นอน รับดีๆรอสวนหรือยื้อไปถึงจุดโทษก็จะพอมีหวังเป็นแชมป์ได้ หลังที่ที่ลูกออกหลังฝั่งตรงข้ามก็ได้เล่นลูกเตะมุมตามกติกาสากลชองฟุตบอล ทันใดนั้นแหละหนึ่งในวันที่ผมไม่อยากจะจำที่สุดในชีวิตการเล่นบอลก็มาถึง ลูกเปิดจากมุมบอลไม่ได้มีอะไรแต่ผู้รักษาประตูรับหลุดมือบอลแฉล่บมาโดนหน้าแข้งของผมซึ่งเป็นตัวคุมเส้นเข้าประตูไป ถ้าตามถ่ายทอดสดกราฟฟิกก็จะขึ้นว่าOG
นั่นแหละครับผมทำเข้าประตูตัวเอง จิตใจผมตอนนั้นแหลกสลายยิ่งกว่าเจ็บกล้ามเนื้ออีก เจ็บข้อเท้านู่นนี่ยังพอฝืนได้ แต่ใจผมตอนนั้นพังจริงๆ เพื่อนๆพี่ๆเข้ามาปลอบก็จริงแต่มันก็สายไปเสียแล้ว สมองผมสั่งปิดการทำงานอยากจะเอาตัวเองออกไปจากสนามให้เร็วที่สุดแต่ทำมไ่ด้ เพราะไม่มีตัวเปลี่ยนแล้ว สุดท้ายมาโดนลูกฟรีคิกท้ายเกมอีกลูก จบเกมทีมผมไม่สามารถต้านความแข็งของอีกทีมได้ แพ้ไป2ประตูต่อ0 ได้ที่2ก็จริงซึ่งถือว่าดีกว่าปีที่แล้ว แต่น้ำตาลูกผู้ชายมันหลั่งออกมาราวกับว่าวันนี้จะได้เล่นบอลเป็นวันสุดท้าย ผมเสียใจมากเพราะหวังไว้ค่อนข้างสูงแถมมั่นใจในตัวเองมากๆว่าสามารถทำได้ ยิ่งมาทำเข้าประตูตัวเองนี่ยิ่งแล้วใหญ่ สัญญาที่ให้กับรุ่นพี่ปี4(ซึ่งแกจะได้เล่นเป็นปีสุดท้ายแล้วผมก็สนิทมากด้วยเพราะเคยอยู่รรเดียวกันสมัยมัธยม)ว่าจะเอาแชมป์มาให้ก็ทำไม่ได้ ผมร้องไห้อยู่นานมาก จนสุดท้ายก็เอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เพื่อนๆพี่ๆต่างเข้ามาให้กำลังใจผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เสียใจอยู่ได้2-3วัน นอนคิดทั้งคืนว่าถ้าลูกนั้นไม่เสียอาจจะยันได้จนถึงลูกโทษ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ผมก็ได้พยายามลืมความเจ็บปวดนั้นไปแล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติต่อไป รายการนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดสำหรับผมใน1ปีการศึกษาระหว่างทางอาจจะมีบอลภายในคณะบ้าง ภายในมอบ้าง แต่ระหว่างคณะในระหว่างมอมันยิ่งใหญ่ไปอีกระดับ
ตั้งเป้าไว้ว่าปีหน้าเรามาแน่ ตัวผมเองที่โตขึ้นร่างกายต้องดีขึ้นประสบการณ์ย่อมมีมากกว่าเดิมอยู่แล้วก็ใจจดจ่อรอขึ้นปี3เพื่อที่จะได้แข่งรายการนี้อีกครั้ง แต่ทว่าโชคชะตาเหมือนเล่นตลก ต้นปี2018ช่วงที่ไม่มีแข่งเราก็นัดเตะหญ้าเทียมแถวมอทุกอาทิต อาทิตละครั้งสองครั้งเป็นประจำอยู่แล้ว จนมาวันนึงต้นเดือนกุมภา อยู่ดีๆผมก็เกิดอุบัติเหตุ เข่าบิดไขว้หน้าขาดหมอนรองฉีก(ใครที่นึกภาพไม่ออก ไปดูคลิปธนบูรณ์ได้เลย บิดแบบนั้นเลย)ถามว่าเจ็บมั้ยก็ไม่มากเท่าตอนข้อเท้าพลิกยังจะเจ็บกว่า แต่อาการผลกระทบหนักกว่าแน่นอน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนผมก็ได้เข้าทำการผ่าตัดรักษาตามกระบวนการทางการแพทย์ ไอเราตอนนั้นก็คิดแบบจบแล้วความฝันที่จะเอาถ้วยครั้งหน้ามันจบแล้ว เพราะรู้ดีว่าเข่ากับฟุตบอลมันแทบจะเป็นอะไรที่ยากมากที่จะกลับมาเหมือนเดิม เจ็บแฮมสตริง ข้อเท้า ขาหัก เจ็บไหล่ ยังพอฟื้นฟูได้ดีและยังไม่มีผลกระทบอะไรมากนักหลังผ่า ยิ่งเราดูบอลบ่อยติดตามวงการนักบอลที่ผ่าเข่าเกินครึ่งไม่สามารถกลับมาอยู่ในฟอรมที่ตัวเองเคยเล่น นี่ขนาดนักบอลที่กายภาพฟื้นฟูอย่างจรืงจังเพื่อกลับไปเล่นเพราะเป็นอาชีพของเขา แต่เรานี่สิเด็กธรรมดาคนนึงมันก็ต้องเรียนต้องทำอย่างอื่น ออกกำลังก็ได้ประมาณนึง ลำพังอย่าว่าแต่เตะบอลเลยกลับมาวิ่งได้หรือเปล่ายังไม่รุ้ด้วยซ้ำ ช่วงนั้นมีให้คิดอะไรในหัวเยอะแยะมากมาย ครึ่งนึงทำใจไว้แล้วไม่ทันแข่งแน่นอน ขอให้ได้กลับมาเตะให้เกือบเหมือนเดิมก็พอ
สิ่งที่ทำได้มากที่สุดในช่วงนั้นคือคิดบวก กายภาพเท่าที่ทำได้ซื้อที่ถ่วงขามายกที่บ้าน เพราะผมเองก็ไม่สามารถเข้ายิมได้ตลอดเวลา ระหว่างทางก็ทำไปเรื่อยๆ ไปหาหมอกายภาพอาทิตย์ละครั้งซึ่งพี่หมอก็บอกว่าผมอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูที่ดี สี่เดือนทำนี่ได้ ห้าเดือนทำนั้นได้ ซึ่งระหว่างทางก็ไม่ได้ลำบากแบบหมดหวัง ก็มีท้อบ้างเหนื่อยบ้างกายภาพไปตามเวลา แม้ว่าหมอที่ผ่าผม ไม่ใช่พี่หมอที่กายภาพนะครับ บอกว่าปีนึงถึงจะหายแล้วก็ไม่แนะนำให้กลับไปเตะบอลอีก ส่วนพี่หมอกายภาพก็ได้แต่แอบบอกว่าหายแน่ กลับไปเล่นได้แน่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณทีมงานที่หมอกายภาพที่ดูแลผมาตลอดระยะเวาเกือบ10เดือน พ่อแม่เองก็แอบเป็นห่วงอยู่ห่างๆซึ่งพวกท่านคงไม่อยากให้ผมกลับไปเล่นเท่าไหร่แต่ผมก็ก้มหน้าก้มตากายภาพต่อไป ได้หนังพี่ตูนก้าวคนละก้าวช่วยบู๊สพลังบวกไปอีกระหว่างทาง
เส้นทางเหมือนจะไปได้ดี ถ้าท่านใดเคยอ่านที่ผมเคยเขียนไปเมื่อเข้าสู่เดือนที่8 ผมสามารถกลับไปเตะบอลได้วิ่งได้ในระดับ ก็เข้าสู่ช่วงปีที่3ในมหาลัยซึ่งถ้าใครอ่านแต่ต้นจะทราบว่าจะมีรายการเล็กๆย่อยๆแทรกเข้ามาก่อนที่จะถึงรายการใหญ่ โชคดีอีกอันที่รายการใหญ่ปีนี้เลื่อนไปจัดช่วงต้นปี2019 แทนที่จะเป็นปลายปี2017เหมือนครั้งก่อน ผมก็ตัดสินใจลงแข่งรายการบอลภายในคณะ แบ่งตามสาขา เพราะผมรู้ดีว่าเล่นกันไม่แรงแถมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมให้ผมลองกลับคืนสู่สนามว่าสภาพร่างกายผมเป็นอย่างไรบ้าง ผลที่ออกมาคือสาขาผมได้แชมป์และผมก็เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้ในระดับนึง แถมยิงประตูได้ลูกนึงอีกต่างหาก ความพร้อม พลังใจ หลายๆอย่างเหมือนเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง พร้อมนำไปสู่รายการใหญ่ แต่อนิจจังเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างที่ผมซ้อมเพื่อที่จะเตรียมตัวไปแข่งต้นปีหน้า เข่าผมดันบิดอีกรอบ บิดแบบเดิมท่าเดิมแต่ความแรงน้อยกว่าครั้งแรกที่บาดเจ็บ ผมำด้ยินเสียงดังป๊อก เบาๆ ถามว่าเจ็บมั้ยไม่ได้เจ็บ แต่วินาทีนั้นแม้งยิ่งกว่าตอนที่ผมยิงเข้าประตูตัวเองเสียอีก ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวผมเอง ผมรู้เลยว่าพักแน่ๆ3-6เดือน ต้องผ่าอีกรอบมั้ยก็ไม่แน่ใจ ผมเดินออกจากสนามซ้อม เดินไปอีกสนามที่ไม่มีใครอยู่ พูดกับตัวเอง”แม่งโหดร้ายเกินไปหวะ”เกือบร้อยรอบได้มั้งครับ ลงไปนอนหน้าควำกับพื้นร้องไห้แบบไม่อายใครพร้อมกับพูดกับตัวเองว่า”แม่งโหดร้ายเกินไปหวะๆ” ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะไม่อินมากไม่เป็นไรผมเข้าใจ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมฟื้นฟูผมขับเคลื่อนตัวเองพร้อมกับความหวังที่ว่ากลับมาได้แน่ รายการที่ถึงนี้เอ็งเจอกูแน่ พอเจอแบบนี้เข้าไปมันชัทดาวน์มันที ร้องไห้อยู่เป็นช่วโมง ยุงกัดจนเกือบจะได้ไข้เลือดออกแถมมาอีกต่างหาก ขับรถกลับบ้านพร้อมน้ำตาร้องไห้ตลอดทาง โทรหารุ่นพี่ โทรหาแฟน แต่มันยิ่งทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก คำปลอบใจที่ว่าอาจจะแค่บิดนิดหน่อยอักเสบแต่บาดเจ็บที่เข่ามันต้องใช้เวลาพักระดับนึง แถมเป็นแผลเดิมข้างที่ผ่ายิ่งแล้วใหญ่ กลับถึงบ้านเจอหน้าแม่ร้องไห้อีก แม่นึกว่าไปโดนใครรังแกมา พ่อกลับมาทีหลังเจอหน้าพ่อก็ร้องอีกรอบ ร้องแบบสิ้นหวังเลยครับ ร้องขนาดที่ว่าอยากนอนอยู่บ้าน3วันแล้วค่อยออกไปเจอโลกภายนอก แต่เราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง วันรุ่งขึ้นผมก็ต้องไปเรียน 55555 อาการน่าจะไม่แย่เท่าครั้งแรกเพราะครั้งแรกผมไม่สามารถเดินได้เลย แต่ครั้งนี้พอเดินได้กะเผลกๆ แต่ก็ยังอยุ่ในโมเม้นที่ว่าตกลงเราเป็นไรกันแน่ หนักแค่ไหน ซึ่งผมก็ได้นัดหมอไปแล้วในวันอาทิตย์หน้าเพื่อmriและดูอาการพร้อมกับทำใจยอมโดนด่าได้เลย เพราะนี่ยังไม่ถึงปีเลย แถมหมอสั่งห้ามกลับไปเตะบอลอีก วันที่3ผมเดินไม่ได้ปวดมากๆ พ่อผมบอกว่าน่าจะมาจากอาการอักเสบ คือมีการบิดเกิดขึ้นบอกไม่ได้ว่าขาดไม่ขาด แต่ที่เราปวดเพราะหลังอวัยวะร่างกายบาดเจ็ยจะเกิดการปวดเรียกว่าอักเสบ วันที่4-5เริ่มดีขึ้นผมเดินได้ตามปกติ ผ่านไปอาทิตย์นึงก่อนเจอหมอก็เริ่มซ่า ไปวิ่งเข้ายิมนิดหน่อยด้วยความที่ยังมีความหวังว่าถ้าหมอบอกไม่ขาด เราก็ต้องฟิตต่อเพื่อไปแข่ง เพราะยังพอเหลือเวลาอยู่ แต่อีกใจก็ทำใจยอมรับว่าถ้าผลmriมันขาด ฉีกต้องผ่าซ้ำก็คงต้องอด สุดท้ายเหมือนพระเจ้ายังจะคงเห็นใจผม ผลmriบอกว่าเข่าผลปกติดี เอ็นทุกอันอยู่ครบ ที่ผ่าไปไม่เกิดการเสียหาย แต่เตือนว่าที่มันบิดเพราะกล้างเนื้อรอบๆเข่า ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อต้นขา แฮมสตริง น่อง หน้าแข้ง แม้แต่เอ็นด้านข้างก็ตามอาจจะยังไม่แข็งแรงพอทำให้เกิดการบิด หมอบอกใจเย็นๆอย่าเพิ่งรีบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆแต่ในใจพูดว่า เอ็งเจอกูแน่รายการนี้ ซึ่งเสี่ยงหน่อยแต่ผมรู้ตัวเองดีว่าผมหายดีแล้วระดับนึง เพราะสามารถกลับไปเล่นหญ้าเทียม สนามเล็กกับเพื่อนได้ตามปกติ แต่พอระดับการแข่งขันร่างกายมันใช้เยอะขึ้น คู่แข่งเค้ามาเล่นๆเหมือนที่เล่นกับเพื่อนและท่าบางท่าที่ผมชอบทำ(ที่ปอกบามันชอบทำ ขาตะขอ เกี่ยวไปมาโดยเอาขาหลักยึดกับพื้นแล้วยืดอีกขามาเล่น)ท่าเก่งผมเลยก็ต้องงด เพราะไม่อยากเจ็บซ้ำอีก
ประมาณเดือนกว่าที่เหลือให้ผมเรียกความฟิตไม่ว่าจะร่างกายและความพร้อมของจิตใจ เหมือนจะต้องเริ่มใหม่เรื่องจิตใจเพราะแหยง หายเจ็บรอบแรกไม่กลัวพอเจ็บรอบสองเริ่มแหยงซึ่งก็ลำบากเหมือนกันถ้าต้องแข่งแล้วสภาพจิตใจไม่พร้อม
และแล้วเวลาช่วงนี้ก็มาถึง วันที่ผมรอคอยมาเกือบ1ปี
รอบแบ่งกลุ่มทีมผมชนรวด3นัด
(ขออธิบายกติกาการแข่งเล็กน้อย มี12ทีม แบ่งเป็น3สาย สายละ4ทีม ทีมที่ได้ที่1ของสายจะเข้าๆไปรอรอบ4 ส่วนที่2ของทุกสายจะมาเล่นเพลออฟแบบเจอกันหมด ใครทำได้ดีสุดก็จะเข้าไปเป็นทีมที่4 ในรอบ4ทีมสุดท้าย )
ทำให้ทีมผมเข้าไปรอรอบ4 จับฉลากว่าผมได้รอเจอคู่ที่ชนะมาจากเพลออฟ ส่วนอีก2ทีมแข่งกันเอง ผมเริ่มรู้สึกโชคเริ่มส่งสัญญาณเข้าข้างตั้งแต่ตอนจับฉลากเพราะ ทีมเก่าที่เคยแพ้ปีก่อนจับไปเจอกับที่1อีกสาย แต่ทีมผมได้เจอทีมที่มาจากเพลออฟ ซึ่งถ้ามองเผินๆผมจะได้เจอกับทีมที่อ่อน(เสียงยาว)กว่าเพราะเป็นทีมที่มาจากที่สอง หาใช่แชมป์กลุ่มมาเจอกัน แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด 4ทีมสุดท้ายในปีนี้แข็งทุกทีม แต่สุดท้ายแล้วผมก็ผ่านมาได้ไปสู่รอบชิง ซึ่งแชมปเก่าที่พวกผมพ่ายไปเมื่อปีก่อนดันแพ้อีกทีมทำให้พวกเราอดชิงกัน2ปีติด จังหวะนั้นผมเบาใจไปอีกเปราะเพราะถ้าเจอกันจริงๆงานหนักแน่นอนเพราะเหมือนบอลจะแพ้ทางกัน ไม่ได้หมายความว่าอีกทีมจะด้อยกว่าแต่ผมชอบทีมที่เล่นสไตล์นี้มากกว่ามันก็แค่นั้น
เกมเริ่มไปถึงช่วงท้ายครึ่งแรกทีมผมได้ประตูนำจากลูกฟรีคิกสุดสวยจากรุ่นพี่ผมแล้วก็จบครึ่งแรกไป โมเมนตั้มเหมือนจะเข้าทางเราหมดเพราะเกมก็เหนือกว่านิดๆแถมนำก่อนจบครึ่งแรกอีกเข้าสูตรทีมที่จะเป็นแชมปชัดๆ แต่ก็ไม่ประมาทจนกระทั่งโดนตีเสมอจนได้ จากการที่อีกฝั่งมุ่งมั่นขึ้น เล่นแรงขึ้น บอล50-50ได้ตลอด ก็ไม่แปลกที่เริ่มครึ่งหลังมาได้ซักพักพวกผมโดนบดยู่พอสมควรจนมาสู่การเสียประตู กลายเป็นว่าพอสถาการณ์กลับมาเป็น1-1 โมเมนตั้มกลับเทไปอยู้ฝั่งนู้น เค้าเล่นแรงกว่าเดืมมุ่งมั่นกว่าเดิม ส่วนฝั่งผมก็ไม่ได้เสียกำลังใจไปแต่อย่างใดเพียงตัวผมเริ่มกลัวเจ็บมากขึ้น มากขึ้น ในตอนนั้นอึดอัดมากเพราะมันควรจะเป็นผมที่ใส่เกินร้อย แต่สภาพตอนนั้นคือเล่นให้เตมร้อยยังยากเลย ใจนึงก็อยากชนะแต่อีกใจก็กลัวเจ็บ ใจผมสู้มาในระดับนึงแต่คงไม่ใช่แลกบวกกันส่งผมเข้ารพอีกรอบ บอลอาชีพก็ไม่ใช่ชีวิตผมก็ต้องทำอย่างอื่นต่อ อยากจะบอกว่าตอนนั้นอึดอัดมากครับ กลัวเป็นตัวถ่วงเพื่อนได้แต่แปะไปมาให้บอลพ้นตัว ในขณะที่อีกฝั่งเล่นบอลอย่างบ้าคลั่งเพราะพวกเขาก็อยากชนะเหมือนกัน
จนสุดท้ายเวลาได้ล่วงมาถึงช่วงท้ายเกมก่อนหน้านั้นทีมผมมีโอกาสจะยิงนำ จากเปิดตั้งเตะ2-3ครั้งไม่ว่าจะเป็นเตะมุมหรือฟรีคิก็ตามก็ได้แต่เฉี่ยวไปมา จนสุดท้ายได้ฟรีคิกถัดจากจุดเตะมุมเยื้องมาทางมุมกรอบเขตโทษฝั่งขวา มุมเปิดเท้าซ้ายบอลโค้งเข้าหาประตู ตอนนั้นผมเห็นบอลมาหาผมในใจคิดว่ากูทำได้แน่ ก็ที่จะมีรุ่นพี่โฉบโหม่งเข้าไปเป็นประตู วินาทีนั้นไม่มีเสียดายที่ไม่ได้ยิงมีแต่ความดีใจที่มันล้นออกมาผมเฮดังลั่นวิ่งไปกอดกับรุ่นพี่คนนั้นพร้อมน้ำตาคลอเบ้า หลังจากรวมทดเวลาแล้ว3นาทีให้ฟัง ผู้ตัดสินเป่าจบเกม ทีมของผมเฉือนชนะไปได้2ประตูต่อ1
ผมพูดกับตัวเองมาเสมอในวันที่แข่งว่า น้ำตาในวันนี้กับปีที่แล้วจะต้องไม่เหมือนกันแแล้วมันก็เป็นจริงครับ ผมกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พร้อมโฮ่ชูถ้วยกับทีม บรรยากาศในตอนนั้นมันแทบจะคุ้มค่าคืนทุนกับทั้งหมดที่ผมอดทนสู้มา เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมจะจดจำไปตลอดชีวิต และอยากจะเล่าประสบการณ์เหล่านี้ให้พี่น้องชาวssได้ฟัง มีลูกมีหลานผมก็จะเล่าให้พวกเค้าเหมือนกันครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ ไม่ได้จะมาอวดอะไรแต่อยากให้เป็นกำลังใจกับทุกๆคนในSSและทุกๆเรื่อง ยิ่งคนที่กำลังจะผ่าเข่ามาพูดคุยได้ครับ
ขอบคุณทุกคนอีกรอบที่แนะนำ ให้กำลังใจที่ผมเคยได้ตั้งกระทู้สอบถามเรื่องเข่าต่างๆนานา
ขอบคุณที่เว็บนี้เป็นพื้นที่ให้ผมได้เล่าเรื่องราวส่วนนึงของชีวิตสู่กันฟัง
ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่กีฬา “ฟุตบอล” จะสร้างเรื่องราว ประสบการณ์ บทเรียนให้กับชีวิตขนาดนี้
ขอบคุณฟุตบอลที่ทำให้เราได้เจอกัน
ไว้โอกาสหน้ามีอะไรจะมาเล่าสู่กันฟังใหม่ครับ
สวัสดีครับ
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ