[รีวิวสั้น] Ghost Stories
หนังผีจากอังกฤษที่ต้นฉบับเป็นละครเวทีในชื่อเดียวกัน เรื่องราวของ Prof.Philip Goodman ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางโดยสิ้นเชิง แกไฝว้กับพวกคนทรงและกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องวิญญาณไปทั่ว จนวันนึงแกได้รับจดหมายลึกลับที่ชี้ชวนให้ลองไปไขคดีปริศนา 3 คดี ซึ่งคนที่ส่งจดหมายมายืนยันว่า 3 เคสนี้ผีจริงๆนะเฮ้ย ถ้าเจ๋งจริงก็ลองหาเหตุผลมาหักล้างหน่อยซิ เนื้อเรื่องที่แท้จริงจึงเริ่มจากตรงนี้
Ghost stories อาศัยเรื่องราวการสืบคดีของ Prof.Philip เป็นโครงเรื่องหลัก แล้วผูกเรื่องสั้น 3 เรื่องมารวมไว้ด้วยกัน ซึ่งถ้ารวมเรื่องของ Prof.Philip ด้วยก็เหมือนมีเรื่องราวอยู่ 4 เรื่องในหนังเรื่องเดียวกัน
ขอสรุปก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องที่ชอบและไม่ชอบในสปอยล์ เพราะอาจมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องนะครับ
ผมคิดว่าเป็นหนังผีที่โอเค ความดีงามอยู่ที่การร้อยเรื่องราวที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกันให้ไปขมวดรวมกันได้อย่างคาดไม่ถึง ทำให้มันค่อนข้างต่างจากหนังผีเรื่องอื่นในช่วง 2-3 ปีนี้ ถ้าใครชอบหนังผีที่พยายามเล่าเรื่องด้วยวิธีใหม่ๆ จะลองไปดูก็ได้ แต่ผมว่าไม่ถึงกับห้ามพลาดนะ
เรื่องที่ชอบและไม่ชอบ (ใครคิดจะไปดู ข้ามตรงนี้ไปนะครับ ดูแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้)
Spoil
Ghost stories เล่นกับความเชื่อเป็นหลักอย่างที่คำโปรยในโปสเตอร์ "Be careful what you believe in."
เหตุการณ์บางอย่างสามารถเปลี่ยนความเชื่อคนเราไปได้ตลอดกาล บ้างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี บ้างก็ไปในทางเลวร้าย ตลอดสองเรื่องแรกคนดูมีฐานะเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์เช่นเดียวกับ Prof.Philip เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเพียงแค่ปมทางจิตของตัวละคร แต่พอถึงเรื่องสุดท้าย หนังทลายความเชื่อและโยนความงุนงงสงสัยเข้าใส่ Prof.Philip เต็มแรง (ซึ่งมันก็ส่งผลมาที่คนดูอย่างเราเช่นกัน) และเมื่อหนังเปิดเผยความจริงทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นการสรุปว่า ความเชื่อก็คือความเชื่อ ตัวเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
สิ่งที่ชอบ
- จุดเด่นที่สุดคือ การผูกร้อยเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน มันมีรอยตะเข็บอยู่แต่เราไม่สังเกตเห็น หรือไม่ได้คาดคิดไปถึงด้วยซ้ำ การทิ้งเงื่อนงำบางอย่างไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง รวมทั้งในระหว่างเรื่องสั้นทั้งสามเรื่อง แล้วมาขมวดเฉลยในตอนท้าย ทำได้ดีเลย
- การสร้างบรรยากาศก็ทำได้โอเค ในเรื่องแรก บรรยากาศร้างๆ ทำให้รู้สึกเสียวๆ ดีเหมือนกัน (อารมณ์เดียวกับซีรี่ส์ญี่ปุ่นเรื่อง Akuryo Byoto เลย แต่เรื่องนั้นน่ากลัวกว่า 5555) ส่วนตอนที่สองตัวละครและบรรยากาศบ้านก็ทำให้รู้สึกได้ว่าโคตรไม่น่าไว้วางใจ เสียดายที่หนังทิ้งค้างไว้อย่างนั้น ไม่ได้เอามาเล่นอะไรเพิ่มเติม เจ้าเด็กที่แสดงในตอนสองดูแล้วคิดว่ากำลังดู Cillian Murphy ตอนหนุ่มๆ
สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ
- มันมีความแปลกบางอย่างในตอนที่ 2 ที่ทำให้อารมณ์หนังมันเริ่มแกว่ง เข้าใจได้ว่ามันเป็นความคิดสร้างสรรค์ในการทำให้ทั้งสามเรื่องมันมีเอกลักษณ์ของผีที่แตกต่างกัน แต่สำหรับคนที่ชอบหนังผีบริสุทธิ์อย่างผมแล้ว ผมรู้สึกว่าความน่ากลัวมันดรอปลง
- ในขณะที่การสร้างบรรยากาศทำได้ดี แต่อย่าคาดหวังเรื่องลูกล่อลูกชนในการหลอกคนดูมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เสียงให้ตกใจซะมากกว่า
- อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนชอบหนังผีบริสุทธิ์ (ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี คือผีแบบผีจริงๆ ไม่มีอะไรมาผสม) ทำให้การหักมุมในตอนท้ายเรื่องไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ แต่บางคนอาจจะชอบตรงจุดนี้ก็ได้ครับ กับการทิ้งเงื่อนงำไว้ตามทางแล้วมาหักมุมอย่างแรงในตอนท้าย (วิธีการนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังหักมุมในตำนานเรื่องนึงทันทีเลย แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร 555)
- อีตานักแสดงที่เล่นเป็น Prof.Philip ผมว่าแกยังเล่นได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีบางจังหวะที่รู้สึกแข็งๆ ขัดๆ ทั้งที่แกก็เป็นทั้งนักแสดงละครเวทีต้นฉบับ ทั้งเขียนบท ทั้งกำกับเอง
สรุป
ผมว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับคำชมน่าจะเป็นเรื่องการทิ้งเงื่อนงำตามทางแล้วมาสรุปรวมและหักมุมในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดีที่สุดของหนังเลยนะ เพียงแต่ผมไม่ถูกใจด้วยเหตุผลที่บอกข้างบน