.
.
.

------ สร้างทีมแบบ Howie Roseman ----------




ช่วงนี้ข่าว NFL ค่อนข้างเงียบจนถึงขั้นเหงา ไม่มีอะไรให้ค่อยน่าอัพเดทเลย จนมาเจอคลิปนี้ของ Brett Kollman ที่เจาะลึกการทำทีมของ Howie Roseman ผู้จัดการทั่วไปหรือ GM ฟิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลส์ ดูจนจบละรู้สึกว่าน่าสนใจมาก เลยขอหยิบมาแปลพร้อมใส่ข้อมูลเสริมเล็กน้อยให้ได้อ่านกันครับ

คลิปต้นเรื่อง https://www.youtube.com/embed/hgONzVArfTk

ยาวมากนะครับเตือนไว้ก่อน XD

.
.
.
.
.


1) ลงทุนกับควอเตอร์แบ็ค ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง

ไม่ใช่แค่ปีล่าสุดที่ อีเกิ้ลส์ มีควอเตอร์แบ็คมือสองที่ไว้ใจได้อย่าง Nick Foles เพราะย้อนไปปี 2016 อีเกิ้ลส์ เคยจ้างควอเตอร์แบ็คมือสองในราคาแพงมาแล้ว สมัยที่ยังมี Sam Bradford เป็นตัวจริงกับสัญญา 18 ล้านเหรียญฯ พวกเขายังไปเซ็นกับ Chase Daniel ในราคาถึงปีละ 7 ล้านเหรียญฯ แตกต่างกับทีมอื่นๆ ที่มักจะจ้าง QB มือสองในราคาระหว่าง 1-5 ล้านเหรียญเท่านั้น

และแม้ว่าทีมจะดราฟต์ Carson Wentz เข้ามา พร้อมเทรด Bradford ออกไป ค่าเหนื่อยของ Daniel ก็ยังสูงกว่ามือหนึ่งอย่าง Wentz อยู่ดี เช่นเดียวกับปีที่แล้วที่อีเกิ้ลส์ยังยึดมั่นกับการสร้างทีมในรูปแบบนี้ด้วยการไปดึง Foles กลับมาเล่นให้ทีมอีกครั้ง ในราคาค่าจ้างเฉลี่ยปีละ 5.5 ล้าน จนสุดท้ายผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นว่า Roseman คิดถูก เมื่อ Foles ก้าวไปจนถึงตำแหน่ง MVP ซุเปอร์โบว์ล

.
.
.
.
.
.
.

2) สร้างทีมจากตำแหน่งไลน์แมน

นับตั้งแต่ Howie Roseman รับหน้าที่ GM ของทีมในปี 2010 ดราฟต์รอบแรกของทีมประกอบไปด้วย

2010: Brandon Graham DE
2011: Danny Watkins OG
2012: Fletcher Cox DT
2013: Lane Johnson DE
2014: Marcus Smith DE
2015: Nelson Agholor WR (Roseman ไม่ได้เป็น GM ในปีนี้)
2016: Carson Wentz QB
2017: Derek Barnett DE

จะเห็นได้ว่านอกจากปี 2016 ที่ดราฟต์ Wentz เข้ามา Roseman จะเลือกแต่เฉพาะ OL และ DL แม้จะมีเลือกพลาดเป้าไปบ้าง (Watkins & Smith) แต่เมื่อเทียบกับตัวที่เข้าเป้าจังๆ อย่าง Cox, Johnson และ Graham ที่ติดออลโปรมาแล้วทุกคน รวมถึง Barnett ผู้เก็บฟัมเบิ้ลสำคัญในเกมรอบชิงแชมป์นั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

นอกจากนี้ Roseman ยังบริหาร cap space ในตำแหน่นี้ได้อย่างลงตัว เช่น Jason Kelce เซ็นเตอร์ที่ทีมดราฟต์มาในรอบ 6 ทีมก็ให้สัญญามูลค่า 6 ปี 40 ล้านเหรียญ (6.25 ล้านต่อปี) ไปเมื่อปี 2014 ซึ่งปัจจุบันถือว่าถูกมากกับเซ็นเตอร์ระดับท๊อปทรีของลีกในปีล่าสุด แต่สัญญาเฉลี่ยรายปีของ Kelce เมื่อเทียบกับเซ็นเตอร์คนอื่นในลีกเขาอยู่แค่อันดับ 14 เท่านั้น

อีเกิ้ลส์ลงทุนกับไลน์ทีมบุกอย่างมาก ทั้งการต่อสัญญากับ Jason Peters LT ไปสองหนด้วยสัญญามหาศาล (ตอนนี้ตกปีละ 9 ล้าน), Brandon Brooks RG ปีละ 8 ล้านเหรียญ หรืออย่างเมื่อสองปีก่อนก็ต่อสัญญา Lane Johnson 6 ปี เฉลี่ย 11.2 ล้านต่อปี สูงสุดในลีกกับตำแหน่ง RT

ขณะที่ในตัวผู้เล่นในไลน์เกมรับ ณ ตอนนี้ เป็นดังนี้

Left DE: Michael Bennett // Chris Long
DT:Fletcher Cox // Elijah Qualls
DT:Timmy Jernigan // Haloti Ngata
Right DE:Brandon Graham // Derek Barnett // Josh Sweat

ต่อให้ปล่อย Vinny Curry กับ Beau Allen ไป แต่การได้ตัวประสบการณ์อย่าง Bennett และ Ngata มาแทนกลับดูยกระดับทีมขึ้นไปอีก แน่นอนว่าสัญญาของ Cox นั้นแพงระดับ DT ที่ได้ค่าจ้างต่อปีอันดับหนึ่งของลีก

แต่ขณะเดียวกันทีมก็บริหารสัญญาของคนอื่นๆได้ดี ทั้ง Long ที่รับแค่ 2.25 ล้านต่อปี หรือสัญญา 6.5ล้านต่อปีของ Graham ที่ฟอร์มดีมาตลอดก็อยู่แค่อันดับ 25 ของลีกในตำแหน่ง DE (สัญญาจะหมดปีหน้า อายุ 30 แต่ไม่มีงอแงเรียกร้องสัญญาใหม่เลยด้วย) เช่นเดียวกับสัญญารุกกี้ของ Barnett ที่ฉายแววตั้งแต่ปีก่อน หรืออย่าง Sweat ที่ดราฟต์มารอบสี่ปีนี้ก็ได้ดราฟต์เกรดระดับดีทีเดียว

นี่คือเหตุผลที่ว่าแนวรับของอีเกิ้ลส์วิ่งไล่ล่า QB คู่แข่งได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยได้ตลอดทั้ง 4 ควอเตอร์ นั่นก็เพราะคุณภาพเชิงลึกที่ทีมมีนั่นเอง ซึ่งเมื่ออีเกิ้ลส์ประสบความสำเร็จด้วยการมีตัวหมุนเวียนชั้นดีแบบนี้ทั้งในแผนกปกป้อง QB ตัวเองและตัวเขมือบ QB ฝ่ายตรงข้ามดังนั้็นหากรูปแบบนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ทีมอื่นๆ ทำตามในปีหน้าก็ไม่ต้องแปลกใจ

ไฮไลท์แนวรับของอีเกิ้ลส์ปีล่าสุด


.
.
.
.
.
.
.
.

3) ลงเงินไปที่เซฟตี้ - ไม่ใช่คอร์เนอร์แบ็ค

หากไปดูตารางค่าเหนื่อยจะพบว่า ปัจจุบันเทรนด์ค่าจ้างของตำแหน่งกองหลังนั้นแทบทุกทีมจะจ่ายหนักให้ CB มากกว่า S โดยทั้งลีกมี S แค่ห้าคนที่ได้ค่าจ้างต่อปีเกินสิบล้าน แต่มี CB ถึง 14 คนที่ได้เงินหลักสิบล้านต่อปี

แต่แนวทางนี้ไม่ใช่สำหรับ Roseman

อีเกิ้ลส์มีเซฟตี้ค่าเหนื่อยแพงถึง 2 คน ทั้ง Malcolm Jenkins (อันดับ 8 ของลีกในตำแหน่งเซฟตี้) และ Rodney McLeod (อันดับ 11) ขณะที่ตำแหน่งตัวคุมปีกนั้น Sidney Jones ที่รับมากที่สุดของทีม กลับอยู่แค่อันดับที่ 78 เมื่อเทียบกับตัวคุมปีกในลีก

เหตุผลที่เป็นแบบนี้อาจเพราะ Roseman มองว่าการหาเซฟตี้ที่เข้ากับระบบทีมของอีเกิ้ลส์นั้นหายากกว่าตัวคุมปีก ภายใต้ระบบของอีเกิ้ลส์ เซฟตี้สมัยใหม่ต้องมีความยืดหยุ่น ต้องหยุดเกมวิ่งได้ คุมปีกตัวสล็อตได้ ประกบตัวต่อตัวได้ ต้องทำในสิ่งที่ตัวคุมปีกทำได้ทั้งแบบคุมตัวต่อตัวและแบบโซน

หากสังเกตดีๆ จะพบว่า Roseman ให้ความสำคัญกับผู้เล่นตำแหน่ง RB และ CB น้อยมาก เพราะหลายๆครั้งเราจะเห็น CB หรือ RB ตัวดราฟต์รอบแรกที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ใช่ที่ว่าหลายๆคนนั้นคุ้มค่า เช่น Patrick Peterson, Aqib Talib, Todd Gurley, Zeke Elliott แต่มันก็คือการเสี่ยง ถึงขนาดที่บางคนบอกว่าคุณจะดราฟต์ Leonard Fournette สูงถึงอันดับสี่ทำไม ในเมื่อคุณสามารถได้ตัว Alvin Kamara มาในรอบสาม หรือจะจ่ายรอบแรกกับ Peterson ทำไมในเมื่อก็มีตัวดีๆอย่าง Casey Hayward, Darius Slay, Josh Norman และRichard Sherman ในวันที่สองและสาม หรือจะพวกอันดราฟต์อย่าง AJ Bouye, Chris Harris และMalcolm Butler

ดังนั้นคุณย่อมหาตัวคุมปีกคุณภาพในราคาย่อมเยาว์แบบที่คุณหาตัววิ่งคุณภาพได้

และ Roseman น่าจะมองว่าการหาเซฟตี้ระดับคุณภาพที่ทำได้แทบทุกอย่าง และเข้ากับระบบทีมได้นั้นสำคัญกว่าตัวคุมปีก

ดูตัวอย่างจากการสร้างแผง CB ปีที่แล้ว

-Sidney Jones ที่ถ้าไม่เจ็บยาวก่อนดราฟต์นี่ก็คือตัวฝีมือระดับรอบแรกจน Roseman มาหยิบไปในรอบที่สอง

-ส่งดราฟต์รอบสามบวก Jordan Matthews ปีกสล็อตสัญญาปีสุดท้ายไปให้ บัฟฟาโล่ บิลล์ส แลกกับ Ronald Darby ที่ฟอร์มดีระดับดราฟต์รอบแรก (หากไม่นับเกม SB)

-หรือการเซ็น Patrick Robinson มาในราคาไม่ถึงล้านแล้วจับไปยืนตัวคุมปีกสล็อตจนฉายแสงที่สุดในอาชีพ กระทั่ง นิวออร์ลีน เซ้นต์ส มอบสัญญา 4 ปี 20 ล้านเหรียญฯให้ ซึ่งอีเกิ้ลส์ไม่สู้ราคานี้แน่ๆ เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในแนวทางของทีม เชื่อในการประเมินค่าฝีมือผู้เล่นของแมวมอง และมั่นใจว่าหาตัวแทนระดับเดียวกันในราคาที่ถูกกว่านี้ได้แน่ๆ (สุดท้ายดราฟต์ Avonte Maddox มาในรอบ 4)

ที่สุดแล้วแนวทางของอีเกิ้ลส์ก็คือไม่ทุ่มกับ CB แต่เน้นกับ DL และ S
ไม่ทุ่มกับ RB (Jay Ajayi สัญญารุกกี้รอบห้า, Corey Clement สัญญาอันดราฟต์) แต่ไปเน้นกับ TE และ OL

ไฮไลท์ Malcolm Jenkins


.
.
.
.
.
.
.

.

4) แท็คเกิ้ลขวา คือตำแหน่งสำคัญสำหรับ NFL ยุคใหม่

นี่น่าจะเป็นอีกเทรนด์ที่ทีมอื่นๆ จะเดินตามรอยอีเกิ้ลส์ในเร็ววัน เพราะย้อนไปก่อนปี 2000 ที่แต่ละทีมมักจะส่ง pass rusher ที่ดีที่สุดของทีมไปเจาะทาง LTอันเป็น Blindside ของ QB ซะมาก ดังนั้น LT ฝีมือดีที่คอยปกป้อง QB จึงสำคัญมาก และมูลค่าก็พุ่งสูงมาจนถึงทุกวันนี้ (เห็นได้จากสัญญาล่าสุดของ Nate Solder ตกปีละ 15 ล้าน และมี LT 12 คนที่ได้เกินปีละสิบล้าน)

สวนทาง RT ที่ค่าเหนื่อยห่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยหลายๆ เสียงถึงกับบอกว่าคนที่ไปเล่น RT นั้นก็คือ LT ผู้สอบตก ทำได้แค่เปิดทางวิ่งแต่ป้องกันเพลย์ขว้างไม่เป็น

ดังนั้นทุกคนจึงต่างสงสัยว่าทำไม Roseman ถึงยอมจ่ายให้ Lane Johnson จนกลายเป็น RT คนเดียวในลีกที่ได้สัญญาเฉลี่ยเกินสิบล้านต่อปี (ทิ้งห่าง RT อันดับสองอย่าง Ricky Wagner เกือบๆ สองล้านเหรียญฯ)

เหตุผลก็คือนับตั้งแต่ยุคของ ทอม เบรดี้ ความสำคัญของ RT กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในลีกที่ QB ขว้างกระจายกันเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ดังนั้นโค้ชเกมรับจึงหาวิธีหยุดเพลย์ขว้างด้วยการไปเจาะแนวบุกที่ฝั่ง RT ฝีมือห่วยแทน พวกเขาเลือกสลับสุดยอด pass rusher หนียอด LT อย่าง Joe Thomas, Trent Williams แล้วไปประจันหน้ากับ RT ดีกว่า

ทุกวันนี้เราเห็น JJ Watt, Von Miller, Khalil Mack, Joey Bosa, Justin Houston, Ryan Kerrigan, Cameron Jordan, Demarcus Lawrence, Demarcus Ware, Michael Bennett หรือ JPP เริ่มเพลย์ด้วยการจรดชนกับ RT ซะมาก ซึ่ง Roseman เห็นความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์นี้ และทำให้ RT กลายเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งสุดสำคัญของทีม

หากดูร่างกายและเทคนิคที Lane Johnson มีอยู่ ทั้งส่วนสูง, ระยะกางแขน และ first-step ชั้นเลิศ บางคนตีค่าความสามารถเขาไว้สูงในระดับไม่ใช่แค่ดีที่สุดในรอบสิบปีหลัง แต่สูงถึงระดับคนเดียวในประวัติศาสตร์ลีก นี่คือคนที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นสุดยอด LT ระดับตำนาน

แต่สิ่งที่อีเกิ้ลส์ทำกับตัวดราฟต์อันดับสี่คนนี้คือจับเขาไปยืนเป็น RT ชนิดที่ไม่มีทางย้ายไปยืนอีกฝั่ง เพราะต่อให้ Jason Peters LT ตัวจริงเจ็บยาวทั้งปีทีมก็ยังให้ Lane ปักหลักที่ฝั่งขวา นั่นเพราะทีมตีค่าของ RT ชั้นยอดไว้เท่ากับ LT ชั้นยอด

ตลอดซีซั่นที่ผ่านมาแนวบุกอีเกิ้ลส์ต้องเผชิญหน้ากับตัวอันตรายอย่าง Kerrigan, Houston, JPP, Bosa, Miller, Lawrence, Bennett และ Mack ที่กดแซ็ครวมกัน 87 หน (เฉลี่ยคนละเกือบ 11 แซ็คต่อซีซั่น) แต่เมื่อสุดยอดพาสรัชเชอร์เหล่านั้นมาดวลกับ Lane สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีใครผ่านเขาไปแซ็ค QB อีเกิ้ลส์ได้เลย (สรุปแล้วตลอดฤดูกาลปกติ Lane เสียไปแค่แซ็คเดียว ส่วนเพลย์ออฟไม่เสียแซ็คเลย)

โดยมีอยู่เกมหนึ่งที่หลายๆ คนติดตาคือการหยุด Ryan Kerrigan ไว้ได้เกือบๆ 9 วินาที ปล่อยให้ Wentz เต้นอย่างสบายๆ ในพ็อคเก็ตจนบอมบ์ยาวเป็น TD ได้ในที่สุด


ไฮไลท์ Lane Johnson
นาทีที่ 1.48 vs Von Miller///นาที2.40 vs Kerrigan


.
.
.
.
.
.
.
.

5) เตรียมพร้อมรับมืบความเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับตัวในทุกซีซั่น

สุดท้ายแล้วสิ่งเราเห็นจากการทำงานของ Roseman คือการมองการณ์ไกลและวางแผนเพื่อรับมือกับอนาคต พร้อมปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ และที่ทำสำคัญที่สุดก็คือการกล้าตัดสินใจลงมือทำนั่นเอง ตัวอย่างชัดๆ คือเมื่อเห็น Chip Kelly ปู้ยี่ปู้ยำทีมในฐานะเฮดโค้ช&GMจนเละเทะในเวลาแค่ปีเดียว Rosemanเห็นว่าหากปล่อยไปทีมลงเหวแน่ๆก็จัดการปลดเลย แล้วก็กลับมาดูแลทีมในฐานะ GM และไปดึง Doug Pederson อดีตลูกหม้อของทีมที่ไม่มีประสบการณ์เฮดโค้ชมาก่อนเลยขึ้นมาคุมทีมแทน

หรืออย่างการต่อสัญญากับ Bradford แต่ก็ยังทุ่มสุดตัวเทรดอัพไปดราฟต์ Wentz เพื่อสร้างทีมแห่งอนาคต การทุ่มทุนกับ QB มือสอง รวมถึงการเทรดในปีล่าสุดทั้ง Darby และ Ajayi จนพาทีมประสบความสำเร็จในที่สุด ซึ่งการทำงานของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับจากคนในวงการเดียวกัน จนทำให้ได้รับรางวัล NFL Executive of the year จาก sporting news สื่อกีฬาใหญ่ โดยรางวัลนี้คะแนนโหวตนั้นมาจากบรรดาฟอรนท์ออฟฟิศของทีมต่างๆ ใน NFL นั่นเอง

.
.
.

เครดิตภาพ http://www.sportingnews.com/…/ph…/1qv2cykgei5ea18t21r0nmo0ar

via: fb fanpage ทีเด็ดบอลรอง

.
.
.
.

แซ๊ก เอิ้ท เกมฤดูกาล ปกติ กะ เพลออฟก่อนชิงเล่นดีไหมครับ

อีเกิ้ลผมไม่ค่อยได้ดู ดูนัดชิง แซ๊กเอิ้ท แม้งอย่างแจ่ม

ก็ TE ระดับ Top3 ของลีกอะ

กู้วิกฤตช่วงยุค Chip Kelly มาพังทีมได้ นี่โคตรเก่งอ่ะ

รอดู Trey Burton

เป็น TE ตัวท็อปของลีกไปแล้วครับ

งั้นผมจองดราฟ เอิ้ท นะครับ 555

สถิติปี 2017 เทียบกับ Receiver คนอื่นในทีม
เป้าหลักอันดับสอง
รับบอลมากครั้งที่สุด
เปอร์เซ็นต์รับสำเร็จอันดับสอง
รับบอลได้ระยะหลามากสุด
รับ TD อันดับสองร่วม