ก่อนจะไปถึงนรกมีจริง มันเริ่มจากความเชื่ออยู่สองแบบ
1.ถ้าคนที่คิดว่าชีวิตคือร่างกาย จิตใจคือสมอง แน่นอนต้องเชื่อว่าตายแล้วจบ เหตุผลก็ง่ายๆ ทุกสิ่งเกิดจากร่างกาย ถ้าร่างกายตายทุกอย่างก็จบ ไม่มีอะไรซับซ้อน
2.ส่วนคนที่คิดว่าจิตไม่ใช่สมองหรือร่างกาย แบบนี้จะเชื่อว่ามีโลกหลังความตาย เพราะร่างกายตายแต่จิตยังไม่จบ
จิตไม่จบแล้วยังไงต่อ ลอยออกจากร่างเป็นดวง? ก็ไม่ใช่อีก จิตไม่มีแสง สี เสียง รูปร่าง สัณฐาน ไม่มีอะไรเลย กระทั่งที่ตั้งยังไม่มี เพราะมันเกิดตรงไหนมันดับตรงนั้น หาที่ตั้งไม่เจอเลย
ประเด็นคือถ้าจิตทำหน้าที่แค่รู้ตามธรรมชาติของมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะพอรู้แล้วก็จบลงตรงนั้น แต่มันดันมีแรงส่วนเกินเกิดขึ้นมา คือแรงดึงดูดและแรงผลัก ก็คือพอจิตชอบอะไรก็ดูด เกลียดอะไรก็ผลัก
การเคลื่อนของจิตเพื่อดึงดูดหรือผลักก็คือการทำงานของจิต ส่งผลให้เกิดการกระทำ ทั้งการกระทำทางดีและชั่ว โดยการกระทำนั้นเริ่มจากจิตก่อน จากนั้นถึงจะออกมาทางกายและวาจา
ที่นี้เหมือนกับว่าธรรมชาติมันจะมีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือการปรับสภาพให้กลับสู่สมดุล คล้ายๆกับประจุไฟฟ้า ถ้าเราปล่อยๆประจุลบออกไปจากวัตถุหนึ่งมากๆ มันจะเกิดความต่างศักย์ขึ้นมา พอถึงเวลาหนึ่งประจุลบไม่ว่าจากแหล่งใดมันจะหาทางเข้ามาเติมวัตถุนี้เพื่อให้มันกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล
จิตก็เหมือนกัน เมื่อปล่อยพลังงานด้านลบออกไป มันจะเกิดความต่างศักย์ขึ้น ถ้าหากไปอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม พลังงานด้านลบนั้นจะกลับเข้ามาสู่จิต
เรื่องสภาวะที่เหมาะสมนี้เลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบางคนทำดีมาทั้งชีวิตไม่เห็นได้ดี บางคนทำชั่วมาทั้งชีวิตไม่เห็นได้ชั่ว ก็เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่สภาวะที่เหมาะสมที่พลังงานเหล่านั้นจะกลับมาสู่จิต
อาจเพราะอัตภาพของมนุษย์ที่เป็นฉนวนกั้นขวางไว้ ทำให้ได้รับผลที่ดีชั่วรั่วไหลข้ามฉนวนเข้ามาได้บ้างเพียงเล็กน้อย หรือที่เรียกว่าเศษกรรม
แต่ของจริงอยู่ตรงที่เมื่อร่างกายตายลง เมื่อไม่มีฉนวนคอยกั้นแล้ว ที่นี้จิตกลายเป็นตัวโดดเดี่ยว พร้อมกับการรับปรับสภาพ กลับสู่สมดุล
สะสมความต่างศักย์ด้านลบไว้ ก็ไปรับพลังงานด้านลบ สถานที่เหมาะสุดขั้วก็คือนรก
สะสมความต่างศักย์ด้านบวกไว้ ก็ไปรับพลังงานด้านบวก สถานที่เหมาะสุดขั้วก็คือสวรรค์
ปรับสภาพเสร็จก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกลางเลย มันจะยังเหลือเศษอยู่อีกนิดหน่อย ค่อยไปรับต่อในอัตภาพใหม่ จะกลับมาเป็นมนุษย์ยากดีมีจนอะไรก็ว่าไป จิตที่ไม่รู้จักจำก็ทำอะไรซ้ำๆตามความเคยชินอีก ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ
ทีนี้จิตบางดวงเกิดฉลาดขึ้นมา รู้ว่าการมีแรงส่วนเกินไม่ดี ต้องเป็นกลางไว้ ก็เลยไปหัดสมาธิ คราวนี้จิตเลยเป็นกลางจริง เพียงแต่ว่ามันทำได้แค่ชั่วคราว เมื่อเสื่อมอำนาจของสมาธิก็กลับมามีแรงกระเพื่อมเหมือนเดิม
จนสุดท้าย จิตที่ฉลาดสูงสุดคือรู้ว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนต้องดับ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของควรยึดถือ จิตเกิดการแปรสภาพ ไม่มีการกระเพื่อมของแรงผลักและดูดอีก คล้ายกับกลายเป็นสิ่งที่ไม่เก็บประจุใดๆ พลังงานด้านบวกหรือด้านลบไม่มีผลอีกต่อไป ไม่กลับมาวนเวียนรับและคายประจุอีก เป็นอันจบวัฎจักรการวนเวียนนี้ลง
พอละ ก่อนจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้