ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 16 Sep 2009
ตอบ: 7617
ที่อยู่: Taeyeon SNSD, Soyeon T-ara, Niky&Pakwan BNK, Aom CGM
โพสเมื่อ: Fri Jan 05, 2018 11:04 pm
เรื่องสั้น แพรสีเลือด


แพรสีเลือด ตอนที่ ๑

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...

เนื้อร้องบางส่วนของเพลง 'แพรสีเลือด'
ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ

----------------------------------------------

หลายคนคงฝันจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต บางคนมีหลายสิ่งเอื้อให้ครอบครองได้โดยไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ แต่อีกหลายคนต้องลำบากตรากตรำ กดเครื่องคิดเลขแทบพัง เช็คเรท MLR, MRR จนตาลายกว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า 'บ้าน' แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็หวังเหมือนกันทั้งนั้นว่า เมื่อมีบ้าน ก็ขออยู่อย่างสุขกายสบายใจ กินอิ่มนอนอุ่น ร่มเย็นเป็นสุข ได้พักผ่อนใต้ชายคาบ้าน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความสุขเช่นนั้น บางคนอาจจะระทมจมอยู่กับความทุกข์ และความทุกข์ที่ว่าไม่ใช่เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงลิบ แต่เป็นอย่างอื่นที่น่ากลัวยิ่งกว่า

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หลังพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งทำเอาเซไปทั้งประเทศ พี่ดินกับพี่เตยสองสามีภรรยาก็เซถลาไปเหมือนกัน ทั้งคู่มีโซ่ทองคล้องใจ เป็นเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มอายุขวบเศษชื่อน้องตั้งใจ สามคนพ่อแม่ลูกทนลำบากอยู่หลายปี ทำงานหนักหวังขยับขยายออกจากบ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่มาร่วมสิบปี หลังผ่านไปราวปีเศษก็พอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง พี่ดินจึงคิดจะหาซื้อบ้านสักหลัง ไม่ต้องใหญ่มาก แค่พออยู่ได้ ไม่อึดอัด ให้ลูกซึ่งกำลังโตวันโตคืนได้มีที่วิ่งเล่น ได้เจอเพื่อนบ้านใหม่ สังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม พี่ดินเข้าไปดูบ้านในโครงการหมู่บ้านหลายแห่ง แต่ก็ต้องส่ายหน้าเอาเท้าก่ายหน้าผาก เพราะราคามันแพงเหลือเกิน สุดท้ายจึงกลับไปปรึกษาภรรยาว่า ณ ตอนนี้คงซื้อได้แค่บ้านมือสองเท่านั้น ซึ่งพี่เตยก็ไม่ติดอะไร

'นกน้อยทำรังแต่พอตัว'

พี่ดินตระเวนหาบ้านมือสองอยู่นานร่วมเดือน สุดท้ายไปเจอบ้านเก่าหลังหนึ่งอยู่ห่างจากชุมชนเล็กน้อย ตั้งอยู่เกือบสุดซอย เนื้อที่กว้างขวาง เกือบ ๙๐ ตร.ม. พอให้ลูกชายที่กำลังซุกซนวิ่งเล่นได้สบาย ถึงจะดูทรุดโทรมไปสักหน่อย แต่หากซ่อมแซมคงดูดีไม่น้อย พี่ดินถูกใจบ้านหลังนี้มากแต่ก็ยังไม่ดำเนินการติดต่อซื้อขายกับเจ้าของ สิ่งแรกที่ทำนั้นเรียบง่าย บ้านหลังขนาดนี้ ลักษณะแบบนี้ ราคาเท่านี้ไฉนไม่มีคนอยู่...

เขาเข้าไปสอบถามเพื่อนบ้าน ตะล่อมคุยไปเรื่อยๆ ดินฟ้าอากาศ ท้ายสุดจึงหยั่งเสียงเพื่อนบ้านละแวกนั้นด้วยคำถามคล้ายๆ กันว่า

‘แถวนี้มีโจรขโมยบ้างมั้ยครับ’
‘ทำไมบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่’ หรือถามแม้กระทั่ง
‘เคยเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นมั้ยครับ’

ความโล่งใจมาเยือน เพื่อนบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มา ๒๐-๓๐ ปี ไม่เคยเห็นหรือเจออะไรแปลกๆ และไม่เคยได้ยินว่ามีโจรขโมยเพ่นพ่าน แต่ที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มาหลายปีเพราะเจ้าของเป็นลูกหลานข้าราชการใหญ่ตั้งแต่เก่าก่อน ทรัพย์สมบัติเหลือเฟือ ไม่เดือดร้อน จึงไม่เคยประกาศขายหรือปล่อยเช่า เพิ่งจะมาติดประกาศช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองเมื่อไม่ถึงเดือน พี่ดินก็มาเจอเข้าพอดี

'พรหมลิขิตชัดๆ' พี่ดินนึกในใจ

พี่ดินกลับบ้านในช่วงบ่าย เรียนแจ้งภรรยาผู้กุมอำนาจการตัดสินใจ จากนั้นกระเตงลูกกระเตงเมียกลับมาดูบ้านหลังนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกันเพราะกลัวจะมีใครมาสอยไปเสียก่อน แรกเห็นพี่เตยรู้สึกถูกโฉลกบ้านหลังนี้เช่นกัน ถึงจะอยู่สุดซอย ครึ้มไปด้วยต้นไม้และห่างจากบ้านหลังอื่นๆ เล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่ถือว่าวังเวงแต่อย่างใด ตอนแรกพี่เตยกังวลเรื่องเดียวกับสามีว่าจะมีอย่างอื่นแถมมาในดีลนี้ด้วยหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่าพี่ดินสอบถามเพื่อนบ้านดูแล้ว ค่อนข้างจะเคลียร์ในเรื่องของแขกไม่พึงประสงค์ ก็เป็นอันว่าตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้

หลังจากที่ชมบริเวณรอบๆ เรียบร้อย ขณะที่กำลังจะกลับ น้องตั้งใจซึ่งตอนนั้นอายุเกือบสามขวบแล้ว ยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วไม้เก๋ากึ๊ก
เด็กน้อยหันมาบอกพ่อกับแม่สั้นๆ อย่างไรเดียงสา แต่ไม่ชัดถ้อยคำนัก จับได้คร่าวๆ ว่า

“น้องตั้งใจไม่อยากอยู่ที่นี่"

แน่นอนว่าคำพูดไร้ที่มาที่ไปของเด็กน้อยไม่ประสีประสาขาดน้ำหนัก และไม่มีผลกับการตัดสินใจ ไม่มีแม้กระทั่งความสงสัยว่าทำไมเด็กน้อยถึงพูดเช่นนั้น

สองวันต่อมา พี่ดินไปพบเจ้าของบ้าน เป็นชายสูงอายุอยู่กับหลานแค่ ๒ คน หลังจากเจรจาต่อรองซื้อขายกันเรียบร้อย พี่ดินได้รับกุญแจเก่าๆ ขึ้นสนิมมาหนึ่งพวง ผู้เฒ่าซึ่งกำลังกลายเป็นอดีตเจ้าของได้บอกว่า หลังจากจัดการย้ายของเข้าบ้านเรียบร้อย ก็ทำบุญบ้านให้เรียบร้อยจะได้เป็นสิริมงคลกับครอบครัว ยังบอกอีกว่าฝากดูแลรักษาให้ดีด้วย เพราะเป็นบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษตั้งแต่ปู่ย่า

ผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันขนของบางส่วนมาไว้ที่บ้านใหม่...

บ้านหลังนี้เป็นบ้าน ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยา รอบข้างเป็นที่ดินรกร้าง มีไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้มไปหมด โครงสร้างอาคารด้านนอกถูกแดดฝนมาหลายปีก็ผุพังหมองลงไปไม่น้อย แต่ภายในกว่าครึ่งเป็นไม้สัก พอขัดถูเข้าหน่อยก็เงาวับดูดีมีระดับสมกับเป็นเรือนข้าราชการเก่าแก่

พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันทำความสะอาดทั้งวันจนบ้านเก่า ดูดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อนๆ พากันอิจฉาว่าราคาควรจะแพงกว่านี้สัก ๒ เท่า จากนั้นก็เริ่มเสี้ยมว่ามีอย่างอื่นแถมว่าด้วยหรือเปล่าให้ว่าที่เจ้าของใหม่ใจเสียเล่น สรุปคืนนั้นพี่เตยยอมจัดให้พี่ดินกับเพื่อนไปเบาๆ สามกลม

ค่ำคืนแรกในบ้านหลังใหม่ไม่มีสิ่งผิดปกติ พี่เตยนั่งกล่อมลูกอยู่ในห้องนอน ไม่นานเด็กน้อยก็ผล็อยหลับไป ปล่อยให้หนุ่มๆ ปาร์ตี้กันอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน พี่ดินกับเพื่อนตกลงว่าวันรุ่งขึ้นจะขนเฟอร์ฯ ชิ้นใหญ่ที่เหลือมาลงให้หมด คืนนั้นทุกคนนอนหลับเป็นปกติสุข

สายวันต่อมา พี่ดินและเพื่อนกลับไปบ้านเช่าเดิม ขนเฟอร์ฯ มาบ้านใหม่ เริ่มจากชิ้นเล็ก โต๊ะ เก้าอี้ เตียงที่ถอดได้ ปิดท้ายด้วยตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถแกะเป็นชิ้นๆ พี่ดินกับเพื่อนรวม ๓ คนยกอย่างทุลักทุเล เป้าหมายคือห้องนอนของเจ้าบ้าน เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เกิดเหตุสุดวิสัยว่าเพื่อนคนหนึ่งเกิดสะดุดพรมเช็ดเท้า เสียหลักเซล้ม ทำให้เพื่อนอีก ๒ คนรับน้ำหนักตู้เสื้อผ้าแบบปัจจุบันทันด่วนไม่ไหว จำต้องปล่อยให้ร่วงลงพื้น มุมตู้ด้านหนึ่งตกกระแทกกับพื้นจนแตกร้าว...

พี่ดินกะเทาะเศษปูนที่แตกออกมาจากหลุมเล็กๆ กว้างเท่าเหรียญห้า ลึกสักเซนนิดๆ เมื่อเขี่ยเศษดิน เศษปูนจนหมด ปรากฎว่ามีปลายด้ายแดงโผล่มาจากก้นหลุม ยาวสักครึ่งเซน พี่ดินไม่สนใจนัก ห่วงแต่ว่าจะโดน ผบ.สูดสุดงดเหล้ายาปลาปิ้งในวันนี้รึเปล่า ฐานมึนเมาจนทำให้บ้านเสียหายทั้งที่จริงก็สร่างกันตั้งแต่รุ่ง มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ โปรดเข้าใจ แต่อย่างว่า สุภาพสตรีมักมีตรรกะที่ต่างจากสุภาพบุรุษ

พี่ดินดึงเศษด้ายจนขาดติดมือมา ทันทีที่ด้ายขาด เขาได้กลิ่นคล้ายน้ำอบที่หมดอายุ กลิ่นหอมๆ แห้งๆ ชวนวิงเวียนโชยมาแตะจมูก แต่ไม่สู้สนใจ เลื่อนพรมทับรอยแตกเลี่ยงเป็นการชั่วคราว

แต่มีหรือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภรรยาหูตาเป็นสับปะรดจะไม่รู้เรื่อง ช่วงเย็นหลังจากปัดกวาดเช็ดถูกบ้านอีกรอบจนมาถึงห้องนอน พี่เตยพบรูดังกล่าว จึงเรียกพี่ดินมาสอบถาม หลังจากทราบเรื่องเป็นอันว่าของกำนัลแด่เพื่อนผู้มีน้ำใจ เป็นแค่กับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ไร้สุรายาดองของมึนเมา แน่นอนว่าของแค่นั้นไม่อาจรั้งหนุ่มๆ ได้นานนัก สัก ๒ ทุ่มหลังจากจัดข้าวของเสร็จ เพื่อนทั้ง ๒ ก็แยกย้ายกลับบ้าน พี่ดินเดินไปส่งเพื่อน ปิดประตูรั้วเก่าๆ เรียบร้อยจึงกลับเข้าไปในบ้าน อาบน้ำเตรียมพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

เมื่อเข้ามาในห้องนอน พบพี่เตยนั่งจัดเครื่องสำอางค์ เธอบ่นกระปอดกระแปดว่าของบางชิ้นหายไป แต่จำไม่ได้ว่าอะไร รู้แค่ว่าไม่ครบ คงหล่นระหว่างย้ายของ พอมีเรื่องแรก เรื่องที่สองค่อยๆ ตามมา พี่เตยบ่นสามีอีกรอบเรื่องรอยปูนที่แตก บอกให้เอาปูนมาอุดรูให้เรียบร้อย และทิ้งท้ายไว้ว่า

“แล้วพี่เห็นตรงก้นหลุมรึยัง มีเศษด้ายแดงๆ อะไรก็ไม่รู้โผล่ออกมา สงสัยตอนเทพื้นช่างเก็บงานไม่เรียบร้อย พี่มีเวลาก็จัดการซ่อมให้ด้วยนะ”

พี่ดินรับคำไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เขาทิ้งตัวนอนข้างๆ ลูกชายด้วยความอ่อนเพลีย

สองสามีภรรยาไม่ทราบเลยว่า คืนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ

จบตอนที่ ๑


แพรสีเลือด ตอนที่ ๒

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...

เนื้อร้องบางส่วนของเพลง 'แพรสีเลือด'
ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ

----------------------------------------------

คืนที่สองในบ้านหลังใหม่...

พี่เตยสะดุ้งตื่นเป็นคนแรก เนื่องจากได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากชั้นบน เสียงไม่ดัง แต่ไม่เบา คล้ายมีวัตถุบางอย่างเคลื่อนที่ช้าๆ เมื่อตั้งใจฟังเสียงนั้นเงียบหาย พอไม่สนใจก็กลับมาดังแว่วอยู่เรื่อย คนที่ตื่นเป็นคนต่อมาคือน้องตั้งใจ น้องร้องโยเยไม่ยอมนอนทั้งที่ปกติจะหลับยาวถึงเช้า สรุปคืนนั้นพี่เตยมาข่มตาหลับเอาเกือบรุ่ง

เช้าวันต่อมาพี่ดินออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยพี่เตยจัดเก็บข้าวของที่ยังกองอยู่เต็ม สาวเจ้าสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน (ใหม่) เริ่มจากเก็บขยะ กวาดหยากไย่ ดูดฝุ่น ขัดพื้น เฉพาะชั้นล่าง ส่วนชั้นบนคงไว้วันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงเริ่มตกแต่งบ้านเท่าที่ทุนทรัพย์อำนวย พี่เตยเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ วางกรอบรูปตามตู้โชว์ และติดมู่ลี่พลาสติกลวดลายสวยงามหน้าประตูห้องน้ำ เสร็จจากนั้นจึงพาน้องตั้งใจเข้านอนกว่าจะกล่อมจนหลับก็เย็นย่ำเต็มทน บรรยาศยามเย็นดูเงียบสงบ ทั้งที่ห่างจากบ้านเพื่อนบ้านไม่กี่สิบเมตร เสียงใบไม้ไหวรอบบ้านฟังดูวังเวง พี่เตยซึ่งยังไม่คุ้นกับพื้นที่เดินออกมาหน้าบ้าน มองซ้ายขวาไปนอกรั้ว จากนั้นปิดประตูและหน้าต่าง (เกือบ) ทุกบาน เสร็จแล้วผลัดผ้าเข้าไปอาบน้ำ

ระหว่างที่กำลังชำระล้างร่างกายอย่างสบายอารมณ์ เกิดเสียงบางอย่างแทรกเสียงน้ำที่กระทบร่าง กว่าที่จะได้ยินชัด ก็ตอนที่ปิดฝักบัว เสียงนั้นคล้ายมีวัตถุเคลื่อนที่ช้าๆ อยู่ชั้นสอง

พี่เตยไม่สนใจ คิดว่าบ้านเก่าเช่นนี้ นกหนูคงเต็มไปหมด หลังสระผมเสร็จเปิดฝักบัวอีกรอบ เสียงน้ำไหลพร้อมๆ กับที่พี่เตยได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงส้นบนบันไดดัง ตึก! พี่เตยปิดก๊อก เงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงอะไร ยกเว้นเสียงใบไม้ที่อยู่นอกตัวบ้าน พี่เตยยืนฟังอยู่นานเมื่อไม่มีเสียงจึงเปิดฝักบัวอีกรอบ พอมีเสียงน้ำไหลดัง ซ่า เสียงลงส้นก็ดังอีกรอบ ตึก! เสียงดังพร้อมกันจนไม่แน่ใจว่ามันดังจริงรึเปล่า แต่พี่เตยเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัว กระโจมอกเสร็จสรรพ อยู่ๆ ขนก็ลุกซู่ รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่หน้าประตู คือไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามี และถัดมาเสี้ยววินาที สิ่งที่คิดได้ถูกยืนยัน เมื่อพี่เตยได้ยินเสียงแหวกมู่ลี่ (อารมณ์ประมาณแหวกจากซ้ายไปขวา)

พี่เตยพยายามคิดว่าเป็นเพราะลม ทั้งที่จริงก็ปิดหน้าต่างไปเกือบทุกบาน ระหว่างที่คิดเสียงแหวกมู่ลี่ก็ดังอีกรอบ...
เธอตะโกนทันที

“ตั้งใจเหรอลูก”

เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ พี่เตยกลั้นใจเปิดประตูออกไป ภายในบ้านว่างเปล่า ผิวหนังเปลือยเปล่าชื้นไปด้วยน้ำบอกพี่เตยว่าไม่มีลมพัดเข้ามาในบ้าน ถึงมีก็น้อยเกินจะมีแรงส่งให้มู่ลี่ขยับได้ พี่เตยชะโงกไปมองประตูและหน้าต่างทุกบานยังปิดสนิทเช่นเดิม จึงเดินไปดูห้องที่ลูกนอนอยู่ ปรากฏว่าน้องตั้งใจก็ยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิม ความกังวลเริ่มผุดขึ้นในใจเป็นจุดเล็กๆ

ช่วงค่ำหลังมื้อเย็น พี่เตยคว้าแขนสามีออกมานั่งม้าหินหน้าบ้าน จ้องอยู่ 3 วิฯ ก่อนถามเข้าประเด็นแบบไม่ต้องอ้อมโลก

“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”
พี่ดินที่กำลังอิ่มแปล้หันขวับไปมองภรรยาบังเกิดเกล้า ถามกลับที่พูดหมายความว่ายังไง พี่เตยไม่ตอบแต่ยังถามคำถามเดิม

“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”
“อะไรที่ว่าหมายถึงผีใช่มั้ย?” พี่ดินถามกลับตรงๆ เช่นกัน หลังจากนั้นก็เล่าว่าตัวเองเดินถามชาวบ้านหลายหลังจนขาลาก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยเห็นว่าบ้านหลังนี้จะมีอะไรผิดปกติมากกว่าไปเป็นที่พักพิงของแมวเหมี๊ยวหรือสุนัขจรจัด พี่ดินย้อนถามกลับว่าทำไมถึงถามแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น พี่เตยไม่ตอบ คำชี้แจงของสามีทำให้คลายความกังวลได้เปราะหนึ่ง

แม้จะตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้รกๆ ไปไม่น้อย แต่ยามค่ำคืนจิ้งหรีดก็ส่งเสียงระงมดังไปทั่ว หลังจากกล่อมลูกเข้านอนเรียบร้อย พี่เตยออกมาเก็บกวาดครัว เสียวสันหลังเล็กน้อย กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็เกือบสามทุ่ม ครั้นจะอาบน้ำก็ขยาดนึกถึงเรื่องเมื่อช่วงเย็น จึงต้องไปตามสามีสุดที่รักมานั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำ (ฮั่นแน่ มีใครเคยทำแบบนี้บ้างรึเปล่าเอ่ย?)

พี่ดินทำได้แค่บ่น (ในใจ) เพราะรู้ดีว่าหากบ่นออกอากาศอาจถูกสวนกลับเป็นสองเท่าหูชาแน่นอน

พี่เตยคว้าผ้าขนหนูได้ก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างอาบก็ร้องเรียกเป็นระยะ

“พี่ยังอยู่ใช่มั้ย?”

พี่ดินก็นั่งหาว ตอบกลับแบบเนือยๆ “ก็นั่งอยู่ที่เดิมนี่ล่ะจ้า”

อาบไปสักพักพี่เตยก็เรียกอีก พี่ดินก็ตอบกลับทุกครั้ง จนระหว่างที่พี่เตยกำลังเช็ดเนื้อตัว ทุกอย่างดูเงียบเชียบไปหมด ก็ร้องเรียกสามีอีกครั้ง

“พี่”

ไม่มีเสียงตอบ จึงเรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับของคุณสามี พี่เตยขนลุกซู่อีกครั้ง ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วเปิดออกเบาๆ ประตูเก่ารอการเปลี่ยน (เมื่อเงินเดือนสามีออก) ส่งเสียง แอ๊ดดด...

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้พี่เตยเกิดความรู้สึก... โกรธ เพราะสามีตัวดีนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่บนเก้าอี้ พี่เตยเห็นดังนั้นจึงถามว่าไปไหนมา เรียกทำไมไม่ตอบ พี่ดินบอกว่าไม่ได้ลุกไปไหนเลย เห็นกลัวเลยแกล้งนั่งเงียบๆ พี่เตยเลยจัดให้ชุดใหญ่

“@#$^**&@@!%^(&#!@@&฿฿%”

พี่ดินหัวเราะร่าที่แกล้งภรรยาสำเร็จ ตรงข้ามกับพี่เตยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่แม้จะหงุดหงิด พี่เตยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้าง คนหนึ่งบ่นคนหนึ่งฟังเดินกลับเข้าห้องนอน

เมื่อเข้าไปถึงปรากฏว่าความครื้นเครงเมื่อสักครู่หายวับไปในพริบตา เพราะมีสิ่งหนึ่งปรากฏบนที่ๆ ไม่ควรอยู่ นั่นคือบนใบหน้าของลูกน้อยที่นอนหลับพริ้ม ส่งเสียงกรนเบาๆ มีรอยลิปสติกสีแดงชาดทาบริเวณปากลากยาวจนถึงแก้ม

จบตอนที่ ๒

แพรสีเลือด ตอนที่ ๓

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...

----------------------------------------------

พี่เตยถลาเข้าไปหาลูกน้อยด้วยความตกใจ หลังเขย่าตัวสักครู่ ตั้งใจงัวเงียลืมตา คุณแม่เค้นถามว่าเอาลิปสติกมาเขียนเล่นทำไม เด็กน้อยกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนมุดศีรษะเข้าไปใต้หมอน ไม่สนใจว่ามารดาตกใจเพียงใด พี่เตยหันกลับไปมองสามีตาขวาง

“หรือฝีมือพี่? ” พี่เตยหันขวับไปมองสามีเมื่อเห็นยืนยิ้มแหยๆ จึงจัดให้อีกชุด

“เล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้ ที่เมื่อกี้เรียกไม่ตอบ แอบหลบเข้ามาห้องแล้วแกล้งเขียนหน้าลูกใช่มั้ย”

พี่ดินขอโทษขอโพยพัลวันบอกวันหลังจะไม่เล่นแบบนี้อีก แต่พี่เตยโกรธจริงจัง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลบรอยลิปสติกบนหน้าลูก ก็ขึ้นเตียงนอนไม่สนใจสามีอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน พี่ดินก็ปิดไฟแล้วตามขึ้นมานอนเงียบๆ คงรับสภาพได้ว่าคืนนี้ไม่มีโอกาสเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะ

บรรยากาศในคืนนั้นแปลกไปเล็กน้อย ความวังเวงน่ะมีอยู่ แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดบวกกับสามีสุดที่รักไม่มาง้องอน ทำให้นอนไม่หลับ แต่ก็ขืนไม่พลิกตัวไปหาหมอนข้างดิ้นได้ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ประเดี๋ยวเสียเหลี่ยมเสียคู ต้องนับแกะอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับ

เช้าตรู่วันต่อมา ก่อนพี่ดินออกไปทำงาน น้องสาวชื่อเดือนก็แวะมาที่บ้าน เธอซื้ออาหารเช้ามาฝากพี่ชายและพี่สะใภ้ เดือนบอกว่าช่วงนี้พอมีเวลาว่างจะมาช่วยทำความสะอาด พี่เตยยิ้มแก้มปริ เพราะมีทั้งคนช่วยงานพร้อมเพื่อนในคราวเดียวกัน ความผิดฉกรรจ์ของพี่ดินเมื่อคืนที่ผ่านมา ควรถูกภาคทัณฑ์อย่างน้อยสัก ๒-๓ วัน งดล่อตะเข้ตะโขงด้วยสุรานานาชนิด ละเลิกความคิดชวนเพื่อนสามีมาสร้างความครื้นเครงที่บ้าน

พี่ดินเดินเข้าไปพูดกับน้องสาวสองสามคำจึงขับรถออกไปทำงานตามปกติ พี่เตยกับเดือนจึงหันมาสะสางงานที่คั่งค้าง ทั้งสองลงมือเช็ดกระจกทุกบาน เริ่มจากหน้าบ้าน ขะมักเขม้นกันได้ไม่นาน พี่เตยสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเดือน เธอดูล่อกแล่กพิกล พี่เตยฉลาดพอที่จะจับตาดูอยู่นานพอที่จะเชื่อได้ว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ความผิดปกตินั้นคือ ไม่ว่าพี่เตยจะทำอะไรที่ใด เดือนมักตามมาอยู่ใกล้ๆ เสมอ อาบน้ำให้ตั้งใจ เดือนจะมานั่งข้างๆ เช็ดกระจกหลังบ้าน เดือนปรี่มาขัดอยู่ใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งพี่เตยตัดแต่งกิ่งไม้เลื้อยอยู่ข้างบ้าน เดือนก็ตามมากวาดเสียชิดติดจอ ในที่สุดพี่เตยจึงบอกให้ช่วยขึ้นไปกวาดพื้นชั้นสองให้หน่อย เดือนหันขวับมาตอบทันควัน

“ไม่เอาอ่ะพี่เตย เดือนไม่กล้าขึ้นไป”

พี่เตยจ้องมองจนเดือนอึกอัก กลบเกลื่อนว่าขึ้นไปพร้อมกันดีกว่าจะได้เสร็จเร็ว พี่เตยคิดในใจก่อนถามตรงๆ

“เดือน... ถามจริงๆ มีอะไรเปล่า? ดูลุกลี้ลุกลนชอบกลนะ ตามติดพี่แจเลย”

จำเลยโดนซักก็พยายามปฏิเสธ แต่
‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’ พอโดนเจ้าหนูโคนันจี้เข้าก็ยอมสารภาพในที่สุด

“พี่ดินให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตย” เดือนตอบเสียงอ่อย...
“ให้มาอยู่เป็นเพื่อน? มีอะไรเหรอ?” พี่เตยถามต่อ
“เดือนไม่รู้หรอก พี่ดินโทรมาตั้งแต่เช้าตรู่ ถามว่าว่างมั้ย ถ้าไม่ติดธุระอะไรให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตยสัก ๒-๓ วัน”
“พี่ดินบอกมั้ยว่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ทำไม”

“เดือนก็ถามแบบที่พี่เตยถามนั่นล่ะ” เธอนิ่งไปชั่วครู่ สายตาเหลือบมองรอบๆ “พี่ดินบอกแค่ว่ารู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล”

พี่เตยได้ฟังก็สับสนไม่น้อย พยายามคาดคั้นสาเหตุ แต่ดูเหมือนสิ่งที่เดือนรู้ เธอได้บอกมาหมดแล้ว น้องสาวคนนี้เก็บความลับไม่ค่อยเก่ง พี่เตยหน้านิ่วอยู่ครู่จึงยกโนเกีย ๓๒๑๐ โทรหาสามีทันที เมื่อปลายสายรับ พี่เตยจึงระดมคำถามเป็นชุด แต่สามีคนดีบอกแค่ว่าไม่มีอะไร ให้น้องมาช่วยงานเท่านั้น และบอกว่ายุ่งอยู่มีอะไรช่วงเย็นค่อยคุยกัน สายนั้นตัดไป
ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ด...

หลังวางสาย (แบบจำยอม) คำแก้ตัวของสามีไม่เนียนเอาซะเลย

‘มันต้องมีอะไรแน่ๆ ค่ะหัวหน้า’

พี่เตยย้อนคิดถึงคำพูดของเดือน แล้วย้อนไปไกลกว่านั้นในช่วงเย็นเมื่อวานซืนที่ตัวเองเจอเหตุการณ์แปลกๆ เพียงเท่านั้นความกังวลที่หายไปพร้อมแกะตัวที่ ๗๐๐ เศษๆ ที่นอนนับอยู่ก่อนหลับ ก็ผุดกลับขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง พี่เตยแหงนมองไปรอบบ้าน ความรู้สึกชื่นชมแรกเริ่ม แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

จบบิ๊กคลีนนิ่ง ตะวันโน้มไปทางตะวันตก แดดแก่ๆ ถูกไม้ใหญ่รอบบ้านบดบัง พี่เตยจัดแจงยกเตียงผ้าใบออกมากางหน้าบ้าน พร้อมชวนเดือนมานั่งคุยกันด้านนอก สักพักพี่เตยวานเดือนช่วยดูน้อง ส่วนตัวเองก้าวออกจากบ้านช้าๆ หันไปมองถนนอ้างว้าง ช่วงเวลากึ่งบ่ายกึ่งเย็นช่างวังเวงพิกล ห่างออกไปเล็กน้อย มีบ้านเรียงรายสองฝั่งถนน ส่วนใหญ่ชาวบ้านแถวนี้เป็นชนชั้นกลาง บ้างเป็นลูกหลานข้าราชการเช่นเดียวกับอดีตเจ้าของบ้านหลังนี้ พี่เตยเดินสำรวจทีละหลัง ผ่านไปเรื่อยๆ จนพบชายวัยกลางคนกำลังตัดแต่งกิ่งหูกระจง (ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน) พี่เตยทักทายและแนะนำตัว สุดท้ายหักดิบถามตรงๆ

“น้าคะ น้าเคยเจออะไรแปลกๆ แถวนี้มั้ย? คือหนูกับแฟนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านสุดซอยหลังนั้น” พี่เตยพูดพลางชี้ไปที่บ้านใหม่ของตน

ชายคนนั้นฉงนเล็กน้อย ก่อนอมยิ้ม
“อ๋อ หนูเป็นภรรยาพ่อหนุ่มคนนั้นสิ วันก่อนเห็นมาถามเรื่องบ้านหลังนั้นทีละ ก็จะบอกเหมือนเดิมล่ะ น้าอยู่ที่นี่มา ๓๐ ปีแล้ว ไม่เห็นเคยมีเรื่องแปลกๆ แถวนี้เลย คนตายน่ะก็มีอยู่เป็นปกติ บ้านไหนก็มีทั้งนั้น แต่บ้านหลังนั้นมันปิดมานานมาก ไม่เคยขาย ไม่เคยปล่อยเช่า เด็กเกเรเมายาก็ไม่เคยเฉียดมาแถวนี้ เพราะฉะนั้นสบายใจได้”

พี่เตยได้ฟังก็ใจชื้นขึ้นมานิด แต่เดี๋ยวก่อน แจกแบบสอบถามที่เดิม ข้อมูลมีสิทธิ์ซ้ำซ้อนกันอยู่แล้ว พี่เตยเลือกจะเดินไกลออกไปอีก จนเกือบถึงกึ่งกลางทางจากปากถึงท้ายซอย บ้านหลังนั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์เก่าคร่ำคร่า ประตูรั้วเตี้ยๆ เปิดออกพร้อมชายและหญิงวัยกลางคนกำลังจูงมอเตอร์ไซค์ออกมาจากบ้าน พี่เตยเข้าไปชวนคุยทันที ๑๒๓ ปลาฉลามขึ้นบก ๔๕๖ จิ้งจกยัดไส้ แล้วปิดท้ายด้วยคำถามเดิม

“คุณค่ะ แถวนี้มีขโมยขโจรมั้ย? เออ... แล้วแบบว่า” พี่เตยอึกอักเป็นพิธี สีหน้าอารมณ์พอเข้าชิงในฐานะดารานำหญิงได้ แล้วพูดต่อ

“ฉัน (กำลัง) ย้ายมาอยู่บ้านหลังสุดซอย ถึงจะเก่าไปสักหน่อย แต่พื้นที่ก็กว้างขวาง ทำไมไม่มีใครมาซื้อ เออ.. ฉันขอถามตรงๆ นะ บ้านหลังนั้นมีประวัติไม่ดีอะไรรึเปล่า?”

หนุ่มสาวคู่นั้นหันไปมองหน้ากันอยู่ครู่จึงตอบ “ไม่มีนะครับ ผมกับแฟนอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรแบบนั้นเลย แถวนี้มีแต่บ้านข้าราชการทั้งนั้น โจรขโมยไม่มีหรอกครับ ส่วนเรื่องผีสางนางไม้ก็ไม่เคยมีใครพูดนะ ถ้ามีจริงผมต้องรู้อยู่แล้ว ผมเป็นหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์อยู่ปากซอย ใครลืออะไรผมรู้หมด พี่ซื้อบ้านหลังสุดซอยใช่มั้ย เอาจริงๆ นะ ผมชอบมาก ถ้ามีเงินบ้านหลังนั้นไม่ตกถึงพี่หรอก”

โอ้ว... โลกนี้ช่างสดใส อะไรๆ ก็ดูเป็นสีชมพู พี่เตยโล่งใจขึ้นเยอะ คำยืนยันจากเพื่อนบ้านช่างรื่นหู สามีที่เคารพทำการบ้านมาดี จะยอมลืมเรื่องพิเรนทร์ที่ทำเมื่อคืนก็ด๊ะ เธอเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยเรื่องก่ำกึ่งที่เกิด หากคิดในแง่ดีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ เป็นวิสัยของคนปกติที่ชอบมองหรือเชื่อและสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้กลับมีเพื่อความหลอนเล่นแก่ตนเสียอย่างนั้น

ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้านบนถนนที่โรยด้วยกลีบลาเวนเดอร์ พี่เตยเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ดูโอ่โถ่งแต่เก่าแก่ไม่แพ้ว่าที่บ้านใหม่ของตน นอกรั้วมีหญิงชราคนหนึ่ง อายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบ นั่งหลังค่อมม้วนเชี่ยนหมากอย่างเชื่องช้าอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆ มีตะกร้าใส่ดอกกุหลาบที่ตัดมาจากแปลงดอกไม้ที่ปลูกอยู่หน้าบ้าน พี่เตยจึงเดินเข้าไปทักทาย

“สวัสดีค่ะยาย ฉันชื่อเตยนะ ยายชื่ออะไรจ๊ะ”

หญิงชราชำเลืองมองพี่เตยช้าๆ ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปบ้วนหมากแดงคล้ำลงกระโถนที่วางอยู่ข้างๆ พี่เตยรอว่าหลังจากยายเสร็จกิจจะตอบหรือพูดอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ จึงชวนคุยต่อ

“ยายม้วนหมากสวยน่ากินเชียว” พี่เตยหาเรื่องพูดคุยไปเรื่อย แต่ยายก็ดูสนใจหมากมากกว่าหญิงสาวตรงหน้า เมื่อยายดูเป็นมิตรน้อยกว่าที่คิด พี่เตยจำต้องจรลีก่อนจะถูกตะเพิด แต่ยังไงก็เพื่อนบ้านกัน ก่อนไปก็ร่ำลาตามมารยาท

“วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ได้ ๒-๓ วัน อยู่บ้านหลังสุดซอยนั่นน่ะ”

ทันทีที่พี่เตยพูดจบ เชี่ยนหมากในมือยายก็ร่วงตกพื้น แกชะงักงันอยู่อึดใจ จึงหันมามองพี่เตย จ้องรู้สึกเกร็ง

“เออ ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า ไว้จะมาหาใหม่นะยาย” พี่เตยยกมือไหว้ แต่ยายซึ่งเงียบมาตลอดก็พูดด้วยเสียงแหบพร่าในที่สุด

“หล่อนหมายถึงบ้านหลังไหน?”

หล่อนงั้นเหรอ? พี่เตยนึกในใจ
“ก็บ้านเก่าหลังสุดซอยนั่นล่ะ” เสียงเธอเริ่มสะบัดน้อยๆ ชะช่า กับสามีที่เป็นชายอกสามศอกยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจ ยายคนนี้เป็นใครหน๋อ มาจิกหัวเรียกว่าหล่อน นึกว่าตัวเองเป็นผู้รากมากดีมาจากไหนกัน แต่ก่อนที่พี่เตยจะบ่น (ในใจ) ยืดยาวไปกว่านั้น หญิงชรามือสั่นจนเห็นได้ชัดแม้ไม่ต้องเพ่ง ตาเหลือกโต พี่เตยเห็นก็ตกใจรีบคุกเข่าไปนั่งข้างๆ

“เอ๊า ยายเป็นอะไร จะเป็นลมเหรอ ตัวสั่นใหญ่เชียว มีใครอยู่ในบ้านป่ะเนี่ย” พี่เตยลุกพรวด แต่มือสั่นๆ คว้าข้อแขนหมับ หญิงสูงวัยจ้องเขม็ง

“บ้านหลังนั้นปิดไปก็ดีอยู่แล้ว หล่อนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม”

ยายพูดเสียงสั่น ประโยคนั้นเหมือนจอบเล่มโตๆ มันขุดทุกเรื่องที่พี่เตยพยายามจะลืมขึ้นมากองอยู่ข้างเชี่ยนหมากที่ตกอยู่บนพื้น พี่เตยถามด้วยความสงสัย

“ยายพูดว่าอะไรนะ?”

แต่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงชราร้องเรียกใครคนหนึ่งเสียงดัง
“นังพรๆ หล่อนอยู่ไหน” ครู่เดียวมีหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพี่เตยวิ่งพรวดลงมาจากบ้าน พรเห็นคนแปลกหน้าก็ร้องเอะอะ เดือดร้อนพี่เตยต้องอธิบายเสียยกใหญ่ว่าเป็นแค่เพื่อนบ้าน โจรที่ไหนจะสวยแบบนี้ (คิดในใจ) แค่มาทักทายก็เท่านั้น หญิงชราไม่สนใจฟังบอกให้หญิงสาวชื่อพรพากลับเข้าไปในบ้าน

แต่ก่อนที่จะเข้าไปก็ชะงักเท้าอยู่หน้ารั้ว บอกให้พี่เตยย้ายออกไปจากบ้านนั่นเสีย พี่เตยฟังแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก

“ทำไมล่ะยาย? บ้านหลังนั้นมันมีอะไร?”

ในตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสาม ลมอ่อนๆ หอบอากาศร้อนๆ ตามมาด้วย แต่ไฉนพี่เตยขนลุกวาบ เมื่อได้ยินหญิงสูงวัยพูดเสียงสั่นก่อนเดินกระย่องกระแย่งเข้าบ้านว่า

“นังเสรียง”

จบตอนที่ ๓

แพรสืเลือด ตอนที่ ๔

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...

----------------------------------------------

พี่เตยเดินกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ คิดถึงแต่คำพูดและท่าทางแปลกๆ ของหญิงชรา ยิ่งบางประโยคในตอนท้ายยิ่งชวนฉงน เมื่อกลับถึงบ้าน เดือนสอบถามว่าหายไปไหน พี่เตยจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอสดๆ ร้อนๆ ให้น้องสามีฟัง

หลังจากได้ฟัง แบบสอบถามสองชุดแรกถูกตัดทิ้งจากสารบบความคิดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงคำให้การของหญิงชราที่ถูกนำมาประมวลผล (ในแง่ลบ) เดือนขนลุกซู่ ทวนสารส่วนสุดท้ายที่หญิงชราทิ้งไว้ให้นักสืบจำเป็นแกะรอย
‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’

“เรียงๆ เหลี่ยงๆ อะไรอ่ะพี่เตย หรือยายเค้าหมายถึงชื่อคน”
“พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินมายังไงก็เล่าไปยังงั้นล่ะ”
“มันแปลกๆ นะพี่เตย เดือนว่ายายคนนั้นต้องรู้อะไรแน่ๆ เราไปถามแกอีกรอบมั้ย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมั่วกันแน่”

แต่พี่เตยบอกว่าใจเย็นๆ ขอคุยกับพี่ดินก่อน ยายคนนั้นก็แก่มาก อาจจะเลอะเลือนพูดอะไร ผิดๆ ถูกๆ ออกมาก็ได้ (มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน บ้านก็ไม่ใช่ราคาบาทสองบาท)

ทั้งคู่นั่งรอพี่ดินจนโพล้เพล้ ไฟทุกดวงที่ใช้งานได้ถูกเปิดสว่างแบบไม่กลัวท่านนายกใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งที่เข้ามารับเผือกร้อนแทนบิ๊กจิ๋วติติง เย็นนั้นพี่ดินกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ กว่าจะถึงก็ค่ำเต็มทน พี่เตยในฐานะพนักงานสอบสวนกางสำนวนพรึ่บ! ซักจำเลยตั้งแต่เท้ายังไม่ผ่านธรณีประตู พี่ดินได้แต่ยืนฟังตาปริบๆ แกบอกเรียบๆ

"ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก"

เมื่อเวิร์ดดิ้งสุดคลาสสิคหลุดออกมาจากปากสามี พี่เตยปรี๊ดแตก ศูนย์ถึงสิบภายในวินาทีเศษๆ บ่นสามีชุดใหญ่ เล่าว่าไปได้ยินอะไรมาบ้าง พี่ดินก็อยู่เป็น นั่งนิ่งไม่ต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง บ้านที่วาดหวังให้เป็นสถานพักใจ เริ่มเกิดรอยร้าวซะแล้ว

ค่ำคืนนั้นไฟทุกดวงเปิดสว่าง เช่นเดียวกับทีวีที่เปิดซะดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน อย่างน้อยขอความสว่างไสวและอึกทึกขับไล่ความวังเวงสักนิด แถมมีเดือนนอนเป็นเพื่อนอัดกันอยู่ในห้องทำให้พี่เตยรู้สึกอุ่นใจขึ้น เธอคิดว่ายอมจัดอีกสองกลมให้เพื่อนสามีมาปาร์ตี้ที่บ้าน แต่อย่างเร็วก็คงเป็นพรุ่งนี้ สักพักก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

คืนนั้นพี่เตยรู้สึกที่นอนยุบยวบจึงสะดุ้งตื่น ชำเลืองปลายเตียงเห็นดวงไฟส้มๆ สว่างอยู่ก็ตกใจ นึกว่ามีเกรซมากลางดึก แต่ที่แท้เป็นพี่ดินกำลังใช้ไฟฉายส่องหาอะไรสักอย่างอยู่ในความมืด พี่เตยถามว่าทำอะไร พี่ดินสะดุ้งและบอกว่าเปล่า พี่เตยซึ่งหงุดหงิดเป็นทุนเดิมจึงจัดให้อีกสักดอกพร้อมเบิ้ลอัศเจรีย์

“ทำอะไรอยู่บอกมาเดี๋ยวนี้!!”

พี่ดินถอนหายใจ เรียกเบาๆ ให้ ผบ. สูงสุดเข้ามาใกล้ๆ จนเกือบถึงประตู พอพี่เตยลงมายืน ฝ่ายชายเลื่อนพรมเช็ดเท้าออกพร้อมใช้ไฟฉายส่อง ตอนแรกพี่เตยไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอดูดีๆ ก็กระจ่างในทันที พื้นที่แตกเมื่อวันก่อน จากที่มีด้ายแดงสั้นๆ โผล่แค่ปลายก้อยและถูกดึงจนขาดไปแล้ว วันนี้กลับมีปลายด้ายแดงแทรกปูนโผล่มาอีกเกือบนิ้ว??

พี่เตยอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก

“พี่ยังไม่ได้ซ่อมเหรอ? แล้วมันโผล่ขึ้นมาได้ยังไงพี่ วันก่อนเห็นเป็นเส้นกุดๆ แค่ก้นหลุม วันนี้มันงอกออกมาได้ยังไง”

พี่ดินส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน พยายามเกลี้ยกล่อมว่ามีอะไรให้คุยกันพรุ่งนี้ทีเดียว เดี๋ยวลูกตื่นจะเป็นเรื่อง พี่เตยขัดใจไม่น้อยจะชวนให้ออกไปคุยนอกห้อง แต่ความคิดดังกล่าวก็ถูกหยุดไว้ เมื่อเธอหันกลับไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอยู่ แล้วสายตาดันไปเห็นของธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เมื่อผ้าม่านที่เธอเพิ่งเปลี่ยนเกิดสะบัดปลิวจนเผยให้เห็นพกหญ้ารกร้างด้านนอก

คุณพระ... ผ้าม่านมันขยับพลิ้วจนเปิดเห็นวิวด้านนอก? กระจกก็ปิดสนิท ผ้าก็มีน้ำหนักพอตัว แถมแอร์คอนดิชั่นฯ ที่อยู่เหนือม่านก็เปิดแรงลมแค่เบอร์หนึ่ง ร้อยหนึ่งขอสลึงเดียวว่ามันไม่สามารถทำให้ม่านปลิวสูงขนาดนั้นได้ คราวมู่ลี่อาจเป็นเพราะลม แต่คราวนี้ไม่ใช่แน่ ขณะที่สมองกำลังคิดคำนวนมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ก็มีสิ่งย้ำว่า ที่กำลังคิดอยู่เนี่ย ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย
เมื่อผ้านม่านปลิวตลบขึ้นอีกรอบพร้อมกับที่พี่เตยเห็นชายผ้าสีแดงพลิ้วผ่านกระจก (ด้านนอก) ไปแบบต่อหน้าต่อตา พร้อมกลิ่นน้ำอบฝาดๆ ลอยผ่านนาสิก...

พี่เตยทรุดฮวบลงกับพื้น มือข้างหนึ่งปิดจมูก อีกข้างชี้ไปที่ผ้าม่านที่ตกลงมาปิดเช่นเดิมแล้ว

“พะ... พี่ เมื่อกี้มีอะไรไม่รู้ลอยอยู่ด้านนอก”

พี่ดินหันไปมองม่าน มันสงบนิ่งไม่ไหวติง
“เหลวไหลน่า ม่านปิดอยู่จะไปเห็นข้างนอกได้ยังไง”
“เมื่อกี้ม่านมันปลิวขึ้นไปนะสิ”
“ลมพัดละมั้ง” พี่ดินตอบ
“ไม่ใช่ลมแน่นอน” ว่าแล้วพี่เตยก็นั่งจ้องผ้าม่านอยู่นานหลายนาที ผ้าม่านผืนนั้นก็ไม่กระดิกกระเดี้ยปลอบใจแม้แต่นิดเดียว พี่ดินเห็นภรรยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงพูดเบาๆ เพราะเกรงลูกจะตื่น

“ตาฝาดละมั้ง ไป... ไปนอนเถอะ”

พี่เตยนึกถึงชายผ้าแดงที่ลอยผ่านตาไปเมื่อสักครู่ คิดในใจ ฝาด... ไม่ฝาด... ฝาด... ไม่ฝาด สุดท้ายหันไปบอกพี่ดิน

“พี่ เราขายบ้านหลังนี้คืนเขาไปเถอะ”

พี่ดินได้ยินก็ตกใจ เข้าไปกุมมือภรรยา ปลอบให้ใจเย็นๆ บอกว่าคิดมากไป
อีกอย่างหากทำแบบที่พี่เตยพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะขายคืน หรือขายต่อ ที่สำคัญเจ้าของเดิมก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วย มีอะไรเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าเดี๋ยวลูกตื่น ตอนแรกพี่เตยยอมกล้ำกลืนทำตามที่สามีบอกเพราะจะว่าไปก็มีแต่ตัวเองคนเดียวที่เจออะไรแปลกๆ แต่เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในคำพูดที่สามีเพิ่งโพล่งออกมาเมื่อสักครู่

“พี่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าของเดิมเขาป่วย? พี่ไปเจอเขามาเหรอ?”

เมื่อเห็นสามีอ้ำอึ้งอยู่สักพัก ก็เป็นอันแน่นอนว่าสามีตัวดีมีอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่แท้

“มีอะไรจะบอกมั้ย?”

พี่ดินถอนหายใจ ทำไมศรีภรรยาถึงช่างสังเกตขนาดนี้นะ
“ออกไปคุยกันข้างนอก”

ทั้งสองเดินออกมานอกห้อง พี่เตยยืนนิ่งรอฟังคำแก้ตัวของสามี ซึ่งหลายเรื่องผู้หญิงอาจจะมีความกล้ามากว่าชาย ยกเว้นก็เรื่องผีสาง พี่ดินถอนหายใจอีกรอบ โชคดีที่เขาไม่ใช่พระเอกในละครหลังข่าวสองทุ่มครึ่ง ที่ออกแนวทึ่มหน่อยๆ ความรู้สึกช้านิดๆ ให้ผู้ชมรู้สึกขัดอกขัดใจกับการกระทำว่า

‘ทำไมคุณพี่ถึงซื่อบื้อแบบนั้นล่ะจ๊ะ?’

พี่ดินเริ่มเล่าว่า ที่กลับค่ำกว่าปกติ เพราะไปหาเจ้าของบ้านเดิมมา ใจอยากจะเข้าไปคุยเรื่องขอขายบ้านคืน เขาจะคิดค่าใช้จ่ายยังไงก็ว่ามา ถือว่าเป็นค่าเช่าก็ได้ เพราะเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับโครงสร้างเลย นอกจากทำความสะอาดเท่านั้น แต่พอไปถึงปรากฏว่าคุณตาเกิดไม่สบายหนักเข้าโรงพยาบาล หลานที่อยู่ด้วยไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น ต้องรอให้คุณตาทุเลาขึ้นจึงสามารถคุยรายละเอียดได้

พี่เตยหน้าซึมไปเล็กน้อย การซื้อขายบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าวของก็ขนมาจนหมด บ้านเช่าก็คืนไปแล้ว เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่มากมาย ช่วงที่ดำเนินการซื้อขาย หากไม่อยู่ที่บ้านหลังนี้ไปก่อนก็ต้องระเห็จไปอาศัยอยู่บ้านญาติ คำถามก็คงตามมามากมาย ‘อ้าวซื้อบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมขายเสียล่ะ ไม่มีเงินผ่อนละสิ’

อีกอย่างต้องไปพร้อมกัน ๓ ชีวิตก็ดูลำบากไม่น้อย แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น
มีอะไรบางอย่างต้องถามสามีก่อน

“ทำไมอยู่ๆ พี่คิดจะขายบ้านล่ะ?”

พี่ดินอึกอักๆ พูดไปว่าก็เห็นพี่เตยไม่สบายใจเลยไปเลียบๆ เคียงๆ ถามดูก็เท่านั้น ยังไม่คิดจะขายแน่นอน แทนที่พี่เตยจะพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเหมือนปกติ กลับถามด้วยน้ำเสียงวิงวอน

“ทำไมพี่ถึงจะขายบ้าน บอกเตยเถอะ เราเป็นสามีภรรยากันนะ”

พี่ดินนิ่งอยู่นาน พี่เตยก็เงียบตามไม่พูดแทรก จนในที่สุดฝ่ายชายยกมือขึ้นลูบหน้าไปมาก่อนจะบอกในสิ่งที่ไม่อยากจะบอกในเวลานี้ เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่เพราะประโยค ‘เราเป็นสามีภรรยากันนะ’ พี่ดินจึงยอมพูด

“พี่ไม่ได้เป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก และพี่คิดว่าลูกก็คงไม่ได้เอามาเขียนเล่นเอง”

พี่เตยได้ฟังก็แปลกใจ แต่ก็เข้าใจในเวลาไม่นาน วันนั้นก่อนที่สามีจะรับว่าเป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก ก็หน้าถอดสีไปไม่น้อยเหมือนกัน ความจริงเขาไม่ได้เป็นคนทำ!? แต่ที่รับเพราะไม่อยากให้เธอกลัวนั่นเอง พี่เตยอยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง และถามต่อว่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าตั้งใจไม่ได้เอาลิปฯ ไปเขียนเล่นเอง ก่อนจะตอบ พี่ดินถามกลับ

"เตยเคยขึ้นไปบนห้องชั้นสองรึยัง?"

พี่เตยส่ายหัว เธอเคยขึ้นไปถึงบันไดชั้นบนสุดเท่านั้น ไม่เคยเหยียบพื้นชั้นสองซะทีแม้อยู่มาหลายวันแล้วก็ตาม

"พี่ขึ้นไปเมื่อวันก่อน ชั้นบนมีห้องอยู่สามห้อง แต่มีห้องเดียวที่ล็อคกลอนอยู่ พอไขประตูเข้าไป ด้านในมีผ้าปิดทึบรอบด้าน ฝุ่น หยากไย่เกาะเต็มไปหมด ในห้องมีตู้ไม้เก่าๆ รู้มั้ยว่าพี่เจออะไร"

พี่เตยส่ายหน้าอีกรอบ พี่ดินสีหน้าอึดอัดถอนหายใจก่อนพูดเบาๆ

"พี่เจอลิปสติกของเตยตั้งอยู่ในตู้กระจกใบนั้น"

จบตอนที่ ๔

ติดตามตอนต่อไปได้ที่ เพจ กฤตานนท์ ครับ


https://web.facebook.com/pg/Krittanont



1
0


Tottenham Hotspur-Roma-New England Patriots-SC30-J.Lin7


เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 3201
ที่อยู่: บ้านนา
โพสเมื่อ: Fri Jan 05, 2018 11:07 pm
[RE: เรื่องสั้น แพรสีเลือด]
0
0
เข้าร่วม: 19 May 2011
ตอบ: 9903
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 05, 2018 11:19 pm
[RE]เรื่องสั้น แพรสีเลือด
แนวไหน อยากได้เรื่องย่อ (ไม่ใช่คำโปรย)
0
0

เข้าร่วม: 03 Oct 2013
ตอบ: 944
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 05, 2018 11:20 pm
[RE: เรื่องสั้น แพรสีเลือด]
0
0
เข้าร่วม: 16 Sep 2009
ตอบ: 7617
ที่อยู่: Taeyeon SNSD, Soyeon T-ara, Niky&Pakwan BNK, Aom CGM
โพสเมื่อ: Fri Jan 05, 2018 11:22 pm
[RE: เรื่องสั้น แพรสีเลือด]
ปืนใหญ่ไร้เทียมทาน พิมพ์ว่า:
แนวไหน อยากได้เรื่องย่อ (ไม่ใช่คำโปรย)  


แนวผีๆอ่ะครับ


Tottenham Hotspur-Roma-New England Patriots-SC30-J.Lin7