บทวิเคราะห์: มาดริดกับการเป็นเจ้ายุโรปแห่งยุค
รีล มาดริดกับเป้าหมายที่สโมสรอื่นไม่อาจกล้าฝันถึง
ถ้าไม่นับ 4 ปีที่ผ่านมา ความฝันอันสูงส่งของรีล มาดริดที่จะเป็นสโมสรแรกของโลกที่จะคว้า
" La Decima" หรือการครองถ้วยแชมป์ยุโรปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครบ 10 สมัย อาจจะดูยาวไกลสำหรับบางคน แต่ ภายใน 4 ปีที่ผ่านมา ยอดทีมจากสเปนได้ทำผลงานอย่างยิ่งใหญ่ในเวทีสูงสุดของยุโรป โดยการคว้า 3 แชมป์ จาก 4 ปีหลังสุด ส่งตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุดของยุโรป เป็นสโมสรเดียวที่ทำ
"Duo La Decima" หรือแชมป์ UCL 12 สมัยได้สำเร็จ ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน 5 สมัย และนำคู่แข่งตลอดกาลของพวกเขาอย่างบาร์เซโลน่าถึง 7 สมัย
หากดูแค่จำนวนถ้วยรางวัลเพียงอย่างเดียว มันอาจดูเหมือนว่า มาดริดทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลา 62 ปีนับตั้งแต่การแข่งขันนี้ได้มีขึ้นใน ค.ศ. 1955 แต่นั่นไม่เป็นความจริงซักทีเดียว รีล มาดริดกับการครอบครองความยิ่งใหญ่นี้ในยุโรปนั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุคหลักๆ ด้วยกัน
ยุคแรก: 6 ถ้วยยุโรปแรกของมาดริด : 1956-1966
6 ถ้วยยุโรปแรกของมาดริดล้วนอยู่ใน ค.ศ. 1956-1966 ใน 10 ปีนี้ มาดริดได้สร้างประวัติศาสตร์ โดยการคว้าแชมป์ยุโรป 5 ปีติดต่อกัน และยังไม่มีสโมสรไหนที่จะทำได้ใกล้เคียงสถิตินี้อีกนับตั้งแต่นั้นมา
ยุคที่สอง:ถ้วยที่ 7,8 และ 9: 1998-2002
เป็นที่น่าตกใจ ที่จะบอกว่ารีลมาดริดต้องใช้เวลาถึง 32 ปี กว่าจะได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ในปี 1998
จากนั้น มาดริด ยุค กาลาคติกอส ทำได้สำเร็จอีก 2 สมัย ในปี 2000 และ 2002
ณ ตอนนั้น ความฝันของรีล มาดริด กับ "La Decima" ดูไม่ไกลเกินเอื้ม แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาต้องใช้เวลาและความพยายามเป็นเวลา 12 ปี กว่าจะทำความฝันนี้สำเร็จ!
ยุคที่สาม: La Decima- La Duo Decima: 2014-2017
หลังจาก ปี 2002 นั้น โปรเจคกาลาคติกอสในยุคที่ 2 ของเปเรซนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
จากการที่มีสตาร์ล้นทีม จนส่งผลกระทบถึงสมดุลของทีม อาการของมาดริด ดูย่ำแย่ขึ้นมากนับตั้งแต่ มาเกเลเล่ย้ายออกไปในปี 2005
หลังจากนั้นมา โมเดลการซื้อตัวของรีล มาดริด ได้เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย โดยคำนึงถึงความสมดุลของทีมากยิ่งขึ้น ในที่สุด ความสำเร็จของมาดริดในการครอง 3 ถ้วยยุโรปใน 4 ปีล่าสุดนั้น ส่วนหนึ่งมาจากโมเดลการซื้อขายตัวในรูปแบบใหม่ของมาดริด ต่างจากในยุคก่อนที่ทีมมีแต่สตาร์เกมรุกจนทำลายสมดุลของทีมไปโดยสิ้นเชิง
รีล มาดริดในชุดปัจจุบันนั้น มีคุณลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากยุคอื่นอยู่ 3 ข้อใหญ่ด้วยกัน
1. ความกลมกลืนของทีม
นับตั้งแต่การย้ายมาด้วยค่าตัว สถิติโลกของ โรนัลโด้ และ เบล ในปี 2009 และ 2013 จากนั้นพวกเขาซื้อโทนี่ โครส, โรดิเกวซ, และ นาวาสในปี 2014 ตั้งแต่นั้นมา มาดริดซื้อ-ขาย ตัวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งๆนี้ทำให้ ความต่อเนื่องของ 11 คนแรกของมาดริดเป็นไปอย่างน่าทึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากการที่ผู้เล่นชุดหลักจำนวน 9 คน ของมาดริด ประกอบด้วย คาร์วาฮาล, รามอส, มาร์เซโล่, โมดริช, อิสโก้, เบล, เบนเซม่า, และโรนัลโด้ ได้มีส่วนร่วมในนัดชิงขนะเลิศถ้วยยุโรปทั้ง 3 ปีที่พวกเขาได้แชมป์
รีล มาดริดมีความกลมกลืนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กองหน้าตัวหลัก 3 คน ทำงานกันได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เบนเซม่ามักจะเป็นคนที่ถูกมองข้ามแต่เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างต่อเนื่องในการวิ่งสร้างพื้นที่ให้โรนัลโด้ตัดเข้าในจากพื้นที่ฝั่งซ้าย กาเรธ เบล รับหน้าที่ตัดเข้าในเพื่อเชื่อมเกมกับเบนเซม่าและสร้างพื้นที่ให้ คาร์วาฮาล วิ่งโอเวอร์แลปขึ้นมา
กองกลางของมาดริดนั้นดูสมบูรณ์แบบ โครส และ โมดริช ล้วนต่างเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลก ประกอบกับคาเซมิโร่ที่คอยรับหน้าที่ปัดกวามเกม ให้กับมาดริดได้เป็นอย่างดี
ในแผงหลังของมาดริดนั้น แซร์จิโอ รามอสได้จับคู่เล่นกับ วาราน
และมาร์เซโล่แบ็คซ้ายทีมชาติบราซิลมาอย่างยาวนานถึง 6 ปี และ 11 ปีตามลำดับ แผงรับของมาดริดดูแข็งแกร่งและะน่าจะยืนระยะไปได้อย่างน้อยอีก 2-3 ปี
2. ซีดาน และ คาเซมิโร่
คาเซมิโร่นั้นสมควรจะได้รับเครดิตจากความสำเร็จในยุโรปของมาดริด ไม่น้อยไปกว่าโรนัลโด้หรือผู้เล่นหลักคนอื่นๆ เขาเป็นกองกลางที่คอยปัดกวาดพื้นที่เกมรับของมาดริดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อให้อิสระมากขึ้นแก่ผู้เล่นเกมรุก
ปัญหาในเรื่องกองกลางตัวรับของมาดริดนั้นสามารถย้อนกลับไปตั้งแต่ เปเรซยุคแรกในปี 2003 ที่เขาขาย โคล้ด มาเกเลเล่ และทดแทนมาด้วย เดวิด เบ็คแฮม เปเเรซในตอนนั้นได้กล่าวว่า "มาเกเลเล่นะเหรอ โหม่งบอลก็ไม่เก่ง แถมผ่านบอลแต่ละครั้งนี่ไม่เกิน 3 เมตรด้วยซ้ำ, เดวิด เบ็คแฮม และผู้เล่นดาวรุ่งจะทดแทนเขาได้อย่างแน่นอน" ในเวลานั้น ซีดานได้ออกมาตอบโต้ว่า "จะทาสีเบนท์ลีย์ด้วยสีทองอีกทำไมในตอนที่คุณกำลังสูญเสียห้องเครื่องหลัก?" ผลงานหลังจากนั้นเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าเปเรซคิดผิด
ในช่วงยุคที่ 2 ของเปเรซ คาเซมิโร่ไม่ได้รับโอกาสมากนักในช่วงแรกในสมัยเบนิเตซ เปเรซยังคงต้องการให้มาดริดเล่นในรูปแบบไร้มิดฟิลด์ตัวรับ ความดึงดันของประธานสโมสรส่งปลกระทบอย่างใหญ่หลวง เบนิเตซรู้สึกโดนกดดันให้ใช้กองกลาง 2คน (โมดริช-โครส) ทำให้มาดริด โดนบาร์เซโลน่าซึ่งไม่มีเมสซี่ถล่มไป 4-0 คาเบอร์นาบิว เรื่องนี้ทำให้เบนิเตซออกจากทีมไปหลังผ่านเพียงแค่ครึ่งฤดูกาล
หลังจากการเข้ามาของซีดาน คาเซมิโร่กลายเป็น หนึ่งใน 11 ตัวจริงของทีม รีล มาดริด ดูมีความสมดุลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คาเซมิโร่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในเกมบุกและทำประตูในเกมสำคัญๆได้ การเข้ามาเป็นตัวหลักของทีมของคาเซมีโร่ แสดงให้เห็นว่ามาดริดในยุคนี้ ยอมที่จะสตาร์คนใดคนหนึ่งเพื่อให้ทีมของพวกเขาเข็งแกร่งขึ้น
แน่นอนท่ีสุด ซีเนดีน ซีดานสมควรที่จะได้รับเครดิตจากการที่เขาลบคำสบประมาทเมื่อ 3 ปีก่อนได้หมดสิ้น ในฐานะผู้จัดการทีม เขา ใจเย็น, สุขุม, และเชื่อมั่นในพรสวรรค์ประกอบกับทีมเวิร์คของทีม เขาเป็นผู้จัดการในอุดมคติของ รีลมาดริด
3. ผู้เล่นดาวรุ่ง
ในทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งที่น่าผิดหวังของมาดริดคือการที่พวกเขาไม่ให้เวลาลงเล่นแก่ดาวรุ่งของสโมสร แต่ในตอนนี้มาดริดมีผู้เล่นดาวรุ่งกับศักยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ และพร้อมจะก้าวสู่ระดับท็อปในช่วงวเวลาข้างหน้า
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ มาร์โค อเซนซิโอ ซึ่งถูกซื้อมาจาก มาร์ญอก้าด้วยราคาเพียง 4 ล้านยูโร ก่อนจะปล่อยยืมไป 2 ฤดูกาล อเซนซิโอกลับมาในฤดุกาลก่อนในบทบาทตัวสำรองและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เขาออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้เป็นอย่างดีในอายุแค่ 21 ปี และหากเขารักษาฟอร์มระกับนี้ไว้ได้ คงเป็นเวลาอีกไม่นาน ที่เขาจะเข้ามาอยู่ใน 11 คนแรกของมาดริดเหนือเบล
ดานี เซบาญอส มิดฟิลด์ที่มีความสามารถรอบด้านวัย 21 ปี จาก รีล เบติส เป็นอีกหนึ่งคนที่รอดวันสอดแทรกสู่ทีมชุดใหญ่เช่นกัน ลูคัส วาสเกซ ได้ค่อยๆไต่เต้ามาจาก มาดริดทีม C และ B จนมีบทบาทเป็น ซูเปอร์ซับของมาดริด อิสโก้ถูกซื้อตัวมาเมื่อ 4 ปีก่อน และมาดริดได้พัฒนาเขาจนกลายมาเป็นผู้เล่นระดับโลกที่จะเป็นแกนหลักของมาดริดและสเปนในยุคต่อไป
รีล มาดริดเป็นทีมแรกที่สามารถรักษาแชมป์ยุโรปไว้ได้นับตั้งแต่ถ้วยได้มีการเปลี่ยนชื่อ เป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ และในปีนี้พวกเขาพุ่งเป้าหมายไปที่การคว้าแชมป์ 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นเพียง 3 ครั้งเท่านั้น: โดย พวกเขาเองในช่วง 1950, อาแจ็กซ์และบาเยิร์นในช่วง 1970 หากพวกเขาทำได้
คงถึงเวลาที่เราจะต้องเรียกว่าสุดยอดทีมยุโรปตลอดกาลจนกว่าจะมีทีมใดทีมหนึ่งเอื้อมถึงแล้วล่ะครับ...