Halodoc สตาร์ทอัพจากอินโดนีเซีย ส่ง โปรแกรมแชทกับหมอได้ตลอดเวลา แถมยังสั่งซื้อยาตามใบสั่งแพทย์ สุดท้ายก็รอรับที่บ้านได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเผชิญรถติดหรือต้องนั่งรอที่โรงพยาบาล


แชทหาหมอ รับรู้อาการ สั่งยา รอรับที่บ้านได้เลย

..:: สตาร์ทจากอินโดนีเซีย Halodoc สำรวจค่าเฉลี่ยคนที่ไปหาหมอในแต่ละครั้งพบว่า ต้องเสียเวลากันคนละ 4 ชั่วโมง 10 นาที Felicia Kawilarang รองประธานฝ่ายการตลาดของ Halodoc บอกว่า “เวลานี้รวมการเดินทางระหว่างไปกลับโรงพยาบาล และรวมเวลาที่ต้องนั่งรอหมอมาตรวจอีกด้วย”

..:: 4 ชั่วโมง 10 นาที ต่อวันถือว่าเป็นเวลาที่ไม่น้อย หากจะต้องสูญเสียไปในแต่ละวัน เพราะต้องการนัดพบหมอ

..:: เมื่อเห็นปัญหาแบบนี้ Halodoc ก็ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา จากความต้องการย่นระยะเวลาในการพบปะ พูดคุยกับหมอด้วยการใช้เทคโนโลยี

..:: การพูดคุยไม่ใช่แค่แชทผ่านตัวอักษรเท่านั้น เพราะสามารถใช้บริการเป็นวิดีโอคอลได้ด้วย ที่สำคัญคุยได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะบนแพลตฟอร์มนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้คอยให้บริการอยู่ตลอดเวลา



..:: Halodoc บอกว่า ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมีหลากหลายมาก ตั้งแต่คนหนุ่มสาวที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง ไปจนถึงวัยคุณพ่อ-คุณแม่ที่ต้องการปรึกษาคุณหมอสำหรับลูกๆ ของตัวเอง

..:: ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ เมื่อปรึกษาแพทย์ผ่าน Halodoc เสร็จแล้ว เราต้องการสั่งซื้อยา สตาร์ทอัพรายนี้ก็ส่งบริการ “จัดส่งยา” ให้ด้วย นั่นหมายความว่า เมื่อปรึกษาอาการกับหมอเสร็จเรียบร้อยก็สั่งซื้อยาแล้วรอรับที่บ้านได้เลย

..:: สำหรับการจัดส่งยา Halodoc ไปจับมือกับ Go-Jek ที่เป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นด้านโลจิสติกส์ในอินโดนีเซีย ทำให้การบริการเป็นไปอย่างราบรื่น ค่าเฉลี่ยเวลาในการส่งตอนนี้อยู่ 45 นาทีเท่านั้น

..:: ลองไปดูตัวแอพพลิเคชั่นกันได้ที่นี่


สรุป

..:: ถือเป็นไอเดียที่ดีเลย เพราะเอาเทคโนโลยีมาใช้กับวงการสุขภาพในอินโดนีเซีย เหมาะสำหรับคนเมืองที่เวลาน้อย จะว่าไปแล้วประเทศไทยก็น่าสนใจไม่น้อย หากจะมีสตาร์ทอัพแบบนี้เกิดขึ้นมา โดยเฉพาะในกรุงเทพ ที่การจราจรไม่ค่อยเป็นมิตรต่อเวลาสำหรับใครเลย

..:: ถึงที่สุดแล้ว เราเห็นว่าอินโดนีเซียทำได้ แต่คำถามที่สำคัญ และอาจถูกถามในอนาคต นั่นคือ แล้วจรรยาบรรณของแพทย์ต่อไปจะเป็นอย่างไร? จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน? คงต้องติดตาม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------










ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Brand Inside



ติดตามข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ (ย้อนหลัง) ได้ที่ Germanicas

ผมว่าแบบนี้มันดีมากๆเลยนะ

คือมันเหมือนกับเราไปคลีนิคไง ซึ่งคลีนิคมันก็ไม่ได้รักษาอะไรมากอ่ะ แค่ตรวจแล้วก็รับยา

จริงๆคนเราควรรักษาแบบนี้ถึงจะถูก คือไปคลีนิคหรืออนามัยก่อน ถ้าเป็นโรคร้ายแรงถึงจะส่งไปโรงพยาบาล

โรงบาลมันควรจะแบบรักษาแต่คนไข้ฉุกเฉิน ผ่าตัด อะไรแบบนั้นอย่างเดียว

แต่ทุกวันนี้ คนไอ ท้องเสีย ปวดหลัง เป็นหวัด ก็เข้าแต่โรงบาลอย่างเดียวเลย

เวลาหมอตรวจเค้าไม่ได้ดูแค่ประวัตินะ เค้าต้องใช้องค์ประกอบสามส่วน เพื่อความแม่นยำในการตรวจโรค
1 ประวัติที่แม่นยำเชื่อถือได้ มีส่วนช่วย60-70%
2การตรวจร่างกายโดยแพทย์ มีส่วนช่วย 15-20%
3ผลแลป เช่น เลือด เอ็กซเรย์ มีส่วน 5-10%

ดังนั้น แอปนี้อาจช่วยในส่วนประวัติที่จะซักได้เร็วขึ้น แต่อีกสองข้อล่ะ? คุณจะตรวจท้องจากทางบ้านได้ยังไง? จะคลำก้อนผ่านทีวีได้ยังไง? จะบอกว่าไม่ต้องมาหาหมอเลยก็คงไม่ได้หรอกครับ ถ้าโรคมันซับซ้อนอาจต้องมาตรวจกับหมออีกอยู่ดี

ถ้าให้เดาคงเฉพาะกรณีไม่เร่งด่วนมั้งครับ เพราะรอรับยาที่บ้านกรณีด่วนๆคงไม่ไหว

จะเช็ค v/s ยังยากเลย

มองเป็นเคสๆไปดีกว่าครับ

ไม่เอาอ่ะ ผมเอาที่ผมสบายใจดีกว่า

อย่างน้อยให้หมอได้เห็น มันจะทำให้เราสบายใจเยอะกว่า

ผมว่ามันก็ช่วยได้ส่วนหนึ่งน่ะ
แต่อยากให้แค่แบบเป็นการปรึกษาเบื้องต้นเฉยๆมากกว่า ว่าอาการแบบนี้ต้องรีบไปหาหมอไหม หรือสามารถรอไปตรวจอีกวัน ผมว่ามันจะช่วยคัดกรองผู้ป่วยที่ไปห้องฉุกเฉินตอนกลางคืนได้ส่วนหนึ่งเลย

หรือไม่ก็อาจจะพ่วงการนัดหมอไว้เลยก็โอเคนะ เหมาะกับคนแบบผมด้วยละ

อย่างผม ถ้าไม่เป็นอะไรที่มันกระทบกับชีวิตประจำวันมาก ๆผมไม่เข้าเลยนะพวก รพ. หรือคลีนิค มันไม่คุ้นอะ ไม่กล้าเข้า

แต่ถ้ามีนัดไว้แล้ว อย่างเช่นไปหารอบแรก หมอนัดรอบสองมา จะเข้าได้แบบชิว ๆไม่คิดอะไร

เราจะรู้ได้ไง ว่าเป็นมากเป็นน้อย

ถ้ารู้ว่าเป็นน้อย จะไปหาหมอทำไม ซื้อยากินเอง กรณี มีไข้ ไอ มีน้ำมูก ปวดท้อง

ถ้าอาการหนักกว่านี้ คือต้องไปหาหมอแล้วอะไม่มานั่งหาหมอออนไลน์หรอก

จากคดีฟ้องร้องบ้านเรา ถ้าไม่ใช่แพทย์พาณิชคงไม่มีใครกล้าทำครับ
เพราะการถามซักประวัติอย่างเดียวโดยไม่ได้ตรวจร่างกาย ไม่ได้มีสัญญาณชีพ ไม่ได้ส่ง Lab / film เพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น เสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดมาก
และปัจจุบันก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วครับ ขนาดปรึกษาโรคผ่านทาง line /inbox FB แล้วผิดพลาด ก็ยังถูกฟ้องจนแพ้คดีได้

หวังว่าคงไม่เกิดการฟ้องร้องหมอ เพราะรับการรักษาแล้วไม่หายหรือไม่ตรงโรคแล้วแย่ลงนะ แบบนี้

เหอะๆ

อันตรายต่อตัวคนไข้เองและหมอมาก

ก็ถูก แต่คนที่ตอบแชทก็หมอนะครับ เค้าคงคิดไม่ต่างจากท่านหรอก โรคบางอย่างตรวจร่างกายสำคัญกว่าประวัติด้วยซ้ำไป คนที่มาตอบประสบการณ์ต้องเยอะอยู่แล้ว น่าจะเป็นพวกเฉพาะทาง ถ้าฟังประวัติแล้วเห็นว่าควรไปตรวจเพิ่มเค้าก็แค่แนะนำให้ไป รพ ถ้าเป็นโรคที่รักษาตามอาการ รอดูอาการได้ก็แนะนำซื้อยาดูอาการไป โอกาส miss diag มีมั๊ยต้องมีแน่ๆอยู่แล้ว แต่ในมือผู้เชี่ยวชาญ benefit มันเยอะกว่า risk ทั้งระดับบุคคล องค์กร และระดับประเทศด้วยซ้ำไป

เดี่ยวนะ ถ้าเปนขนาดนี้ ตรวจเลือด เอ็กเร งี้ คนเค้าก้อไป รพ หมดแหละ แอปนี้มันคือ ประมาน เคสไม่ใหย่มาก

จะเสียเวลาไป รพ ทำไม ดูเปนเคสๆจะดีกว่า ไม่ใช่แอฟมันไม่ดี

คงได้แค่ปรึกษาเบื้องต้น และวินิจฉัยได้แค่บางโรค

"ดู คลำ เคาะ ฟัง" ใช้แอพคงได้แค่ "ดู"

ผมเป็นเริม(งูสวัด)ขนาดไปหาหมอถึงที่ หมอยังจ้องแต่ผลหน้าคอมเลย บางครั้งไม่ถูกตัวผมด้วยซ้ำ นั่งรอทั้งวันพบหมดไม่ถึง 2 นาที
วัดความดันก็แล้ว เจาะเลือดดูผลก็แล้ว จ่ายยามายังไม่ค่อยจะหายเลย

ผมเข้าใจประเด็นคุณนะแค่ไม่ชอบคำโปรยเฉยๆ. "จะไปหาหมอทำไม"

ผมเข้าใจ ผมแค่ไม่ชอบคำโปรย "จะไปหาหมอทำไม"