BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 6090
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 03:32
((( เรื่องของเวียตนาม )))
ประเทศเวียตนาม



วันนี้มีโอกาสได้เขียนถึงประเทศเวียตนาม เรื่องราวของประเทศนี้ ในยุค อาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส

กว่าจะมาถึงปัจจุบันประเทศนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และ เรื่องราวของโฮจิมินห์บิดาแห่งประเทศเวียตนาม

เวียตนามเป็นประเทศเก่าแก่กว่าไทยเยอะ ย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 2 ก่อน คริสตกาลเลย(ยุคใกล้ๆจิ๋นซีฮ่องเต้ของจีน)

ผู้เขียนจะขอหยิบยกช่วงที่เวียตนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ.1887 (ประมาณช่วงรัชสมัย ร.5)

แต่ก่อนหน้านั้นประวัติศาสตร์สองพันปีของเวียตนามตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอยู่เนืองๆ บางช่วงก็ได้ทั้งประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้

บางช่วงก็ได้เฉพาะทางเหนือ แต่ทางเวียตนามเองก็ได้อิสระภาพเรื่อยๆในช่วงราชวงค์ของจีนอ่อนอำนาจลง

ในเอเชียมีไม่กี่ประเทศที่รับประทานอาหารโดยใช้ตะเกียบแบบจีน ก็มี จีน มองโกล เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียตนาม ซึ่งของรับวัฒนธรรมจากจีน

บทที่ 1 การตกเป็นทาสเมืองขึ้น

ปัญหามันเริ่มจากฝรั่งเศส ในยุคนโปเลียน ฝรั่งเศส ถือว่าเป็นชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป ครอบครองดินแดนในยุโรปได้เกือบทั้งหมด

พอนโปเลียนหมดอำนาจ ฝรั่งเศสก็ตกต่ำ เศรษฐกิจไม่ดี เพราะทำสงครามมาตลอด ประเทศที่เคยครอบครองเคยได้ผลประโยชน์ในยุโรป ตอนนี้ฝรั่งเศสก็ไม่ได้

ฉะนั้นฝรั่งเศสจึงแสวงหาผลประโยชน์จากนอกทวีป ทั้งในแอฟริกาเหนือและเอเชีย

ในเอเชียทางอังกฤษก็มีพม่า อินเดีย มาลายู / สเปนมีฟิลิปินส์ / ฮอลแลนด์มีหมู่เกาะอินโด




เอาคร่าวๆนะครับสำหรับวีรกรรมของฝรั่งเศสในการตักตวงผลประโยชน์จากคาบสมุทรอินโดจีน

ปี 1862 (ช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา) ฝรั่งเศสเข้ายึดโคชินไชน่าของเวียตนาม
ปี 1884 ฝรั่งเศสเข้าปกครองอันนัมซึ่งเป็นเวียตนามกลาง
ปี 1884 ฝรั่งเศสรบชนะสงครามจีนฝรั่งเศสได้ตังเกี๋ยซึ่งเป็นเวียตนามเหนือ
ปี 1887 ฝรั่งเศสได้ก่อตั้ง เฟรนช์อินโดจีน ซึ่งเป็นประเทศเวียตนามทั้งประเทศเป็นอาณานิคมของฝรังเศส

ในส่วนของกัมพูชา
ปี 1863 สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ ได้ขอเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส เพื่อจะไม่ต้องเป็นประเทศราชของสยาม (อืมอันนี้ขอเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสเองเลย)
ปี 1867 สยามยอมรับกัมพูชาในรัฐอารักขาของฝรั่งเศส โดยแลกกับจังหวัดพระตะบองและเสียมราฐเป็นของสยาม

ในส่วนของลาวและพม่า
ปี 1893 วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เรื่องนี้ยาวจะเอาคร่าวๆนะครับ
- สงครามสยาม-ฝรั่งเศส ในช่วงร.5 ฝรั่งเศสยกทัพเรือปืนเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกร้องจะเอาลาวซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม
- ร.5 ได้ขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ เพราะเป็นพันธมิตรกัน หวังจะถ่วงดุลอำนาจกับฝรั่งเศส
- แต่อังกฤษกลับบอกให้สยามทำตามคำเรียกร้องของฝรั่งเศส(ซะงั้น)
- สยามทำตามที่อังกฤษแนะนำ ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส
- โดยมีอังกฤษได้ทำข้อตกลงร่วมกับฝรั่งเศสว่าจะรับรองบูรณภาพของดินแดนส่วนที่เหลือสยาม
- แต่งานนี้ไม่ฟรี อังกฤษขอค่าแรงจากสยามเป็นดินแดนในรัฐฉานซึ่งเป็นของสยามไป(เอาเข้าไปพวกนี้)

หลังจากเหตุการณ์นี้รัชกาลที่5 โทมนัสอย่างยิ่งจากการกระทำของพวกชาติตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศส



ตอนนี้ฝรั่งเศสได้ครอบครองอาณานิคมอินโดจีนแบบสมบรูณ์แบบแล้วในปี 1893

โดยใช้ ไซง่อน ในโคชินจีนเป็นเมืองหลวงของอาณานิคม ก่อนจะย้ายเป็น ฮานอยในปี 1902

ในบรรดาประเทศตะวันตกที่ล่าอาณานิคมมีฝรั่งเศสนี่ล่ะที่เป็นตัวสูบเลือดสูบเนื้อเจ้าของประเทศที่สุด

ออกกฏหมายกดขี่เจ้าของประเทศ ตัวเองเป็นเจ้าอาณานิคมมีกฏหมายคุ้มครองทุกอย่าง

เรียกเก็บภาษีมหาโหด ผลผลิตของแต่ประเทศประชาชนเจ้าของประเทศเป็นคนทำ แต่ฝรั่งเศสเอาไปหมด เหลือแค่เศษๆให้ประทังชีวิตกัน

ฝรั่งเศสทำเงินมากมายจาก ข้าว ยางพารา กาแฟ เครื่องเทศ ป่าไม้ ของอาณานิคม

ส่วนใหญ่คนฝรั่งเศสจะมาตั้งรกรากทำกิจการในกัมพูชากับเวียตนามมากกว่า ส่วนที่ลาวคนฝรั่งเศสอยู่มากสุดแบบพร้อมๆกันก็ประมาณ 6-700 คนแค่นั้น


คนเวียตนาม ลาว กัมพูชา ก็อยู่เยี่ยงทาสทำงานเพื่อเจ้าอาณานิคมที่เป็นจอมกดขี่อย่างฝรั่งเศส



บทที่ 2 กำเนิดวีรบุรุษ

จนถึงปี 1890 ได้มีเด็กคนนึงเกิด ที่จังหวัดเหงะอาน ทางตอนเหนือของเวียตนาม เป็นลูกคนที่ 3 ของตระกูลชนชั้นปัญญาชน

ชื่อแรกเกิดคือ "เหงียน ซิญ กุง" เด็กคนนี้เกิดมาในช่วงที่เวียตนามเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิฝรั่งเศส

ช่วงวัยเด็กซิญกุงได้รับการศึกษาที่ดี เริ่มจากเรียนภาษาจีนและปรัชญาขงจื้อ ไม่กี่ขวบก็ย้ายตามบิดาไปเมืองเว้

บิดาของซิญกุงอยากให้ลูกชายได้รับการศึกษาสูงๆจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนคนทั่วๆไปให้เวียตนาม

ได้ส่งลูกชายเข้าโรงเรียนเตรียม เพื่อเรียนภาษาฝรั่งเศสและวัฒนธรรมตะวันตกโดยหวังไว้ว่าจะส่งให้ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส

บิดาของซิญกุงถึงแม้รับราชการให้ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมแต่ก็พูดเรื่องการปลดแอกจากฝรั่งเศสอยู่บ่อยๆ

จนจุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึง บิดาของซิญกุงโดนเรียกตัวกลับมาเมืองเว้ และโดยสั่งปลดออกจากราชการเพราะพูดเรื่องเอกราช

ทำให้ชีวิตตกต่ำ ต้องพเนจรออกหางานทำทั้งไปทำงานสวนยางที่ไซง่อนและสุดท้ายต้องขายยาพื้นบ้านเดินทางตลอด

ทำให้ซิญกุงไม่ค่อยได้เจอกับบิดาเลย ซิญกุงก็รู้ว่าชีวิตต้องเป็นอย่างนี้เพียงแค่พ่อพูดในสิ่งที่ทุกรู้ว่าเป็นความจริงแต่ไม่มีใครกล้าพูดเหมือนพ่อ

ในปี 1908 ขณะที่ ซิญกุงอายุได้ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่สถาบันการศึกษาแห่งชาติในเมืองเว้

ได้มีชาวนาเดินประท้วงเรื่องการคอรัปชั่นของข้าราชการและการเก็บภาษีที่มากเกินไป

เด็กหนุ่มซิญกุงได้แปลคำประท้วงที่เป็นภาษาเวียตนามเป็นภาษาฝรั่งเศสเพื่อให้ผู้ปกครองต่างชาติได้อ่าน

นั่นเป็นบทบาทแรกทางการเมืองของเขา และผลจากการกระทำเช่นนั้นเป็นที่จับตามองจากตำรวจลับฝรั่งเศส

และในวันต่อมาซิญกุงโดนไล่ออกจากโรงเรียน พ่อโดนไล่ออกจากข้าราชการเพราะพูดเรื่องอิสระภาพ

ตัวเองโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะแค่แปลคำที่ชาวนาประท้วงเป็นภาษาฝร่ั่งเศส


พออายุ 20 ปี เขาได้เรียนพาณิชย์นาวีได้เรียนรู้การเป็นผู้ช่วยพ่อครัวบนเรือ และในปีต่อมาได้ทำงานแรกเป็นผู้ช่วยพ่อครัวบนเรือเดินทางของฝรั่งเศส

เป็นโอกาสที่ซิญกุงได้เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อแสวงหาอิสระภาพส่วนตัวและโอกาสที่ดีของชีวิตที่น่าจะดีกว่าในเวียตนาม

จากนั้นหนุ่มน้อยซิญกุงได้เดินทางรอบโลกกับเรือโดยสาร 2-3 ปีต่อเขาได้เห็นผลอันเลวร้ายจากลัทธิล่าอาณานิคมต่างๆทั่วโลก

ในที่สุดซิญกุงก็ไปถึงฝรั่งเศส เขาตั้งใจสมัครสอบในวิทยาลัยซึ่งฝึกสอนข้าราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ตามประเทศต่างๆในอาณานิคมของฝรั่งเศส

แค่เขาก็โดนปฏิเสธจากวิทยาลัยดังกล่าว ซิญกุงเสียใจมากและเจ็บช้ำกับระบอบของฝรั่งเศสที่ปฏิเสธตัวเขามาตลอด

จากนั้นซิญกุงก็ได้ออกเดินทางอีกครั้งกับเรือโดยสารกับงานเดิม จากระหว่างปี 1911-1915 ไปทั้งแอฟริกา อเมริกาใต้ และ สหรัฐอเมริกา

และได้ไปลงเอยที่เมืองนิวยอร์คทำงานล้างจานในร้านอาหารย่านไชน่าทาวน์

ซิญกุงได้สังเกตว่าในอเมริกามีผู้อพยพมากมายหลายเชื้อชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศนี้

ขนาดแรงงานชั่นต่ำสุดจากแอฟริกาจากเอเชีย ที่ไม่ได้รับการนับถือเท่าพวกคนผิวขาว แต่คนเหล่านั้นยังมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแต่มีอิสระภาพในการดำรงชีวิต

ซึ่งทำให้เขานึกถึงบ้านเกิดตัวเองที่เวียตนามว่าคนเจ้าของประเทศแท้ๆ ยังไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรในประเทศตัวเองแบบนี้

แล้วไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซิญกุงได้เดินทางของจากนิวยอร์คมากรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

ได้งานในครัวของโรงแรมคาร์ตันที่มีชื่อเสียงโดยมีเชฟใหญ่เป็นคนฝรั่งเศส ที่ชอบบุคลิก การนอบน้อม และการพูดภาษาฝรั่งเศสได้ของซิญกุง

จนซิญกุงได้เลื่อนขั้นเป็นถึงผู้ช่วยเซฟอบขนม ถือว่าหน้าที่การงานมั่นคงขึ้นมากสำหรับเด็กหนุ่มจากเวียตนามคนนี้

แต่ช่วงที่อยู่ในลอนดอน เขามีโอกาสได้พบปะผู้ที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมหัวรุนแรงจากทั่วโลก เช่น อินเดีย แอฟริกา ไอร์แลนด์ เป็นต้น

เป็นการจุดประกายการปลดแอกบ้านเกิด จนปี 1917 ซิญกุง ได้ลาออกจากงาน แล้วเดินทางไปกรุงปารีสฝรั่งเศส เพื่อเรียนรู้การเป็นนักปฏิวัติ


บทที่ 3 นักปฏิวัติ



ภาพ เหงียน ซิญ กุง อายุ ประมาณ 20 ปลายๆ

ซิญกุงย้ายมาอยู่ปารีสดำรงชีวิตด้วยงานหลายอย่างเช่น เป็นพ่อครัว, รับจ้างแต่งภาพ, รายงานข่าวมวย หรือ งานรีวิวหนังใน น.ส.พ.ฝรั่งเศส

แต่นั่นคืองานเสริมเพื่อให้มีรายได้ เพราะงานหลักที่ไม่มีรายได้คิือ ก่อตั้งสมาคมชาวเวียตนามในต่างแดนเพื่อโน้มน้าวให้รัฐบาลฝรั่งเศสปรับเงื่อนไขที่ดีขึ้นต่ออาณานิคมอินโดจีน

ไม่นานซิญกุงและเพื่อนร่วมอุดมกาณ์คนอื่นๆก็ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ต่อต้านการกดขี่ของฝรั่งเศสส่งไปยังชุมชนชาวเวียตนามทั่วฝรั่งเศส

ทั้งหนังสือพิมพ์และบทความที่ซิญกุงเขียนเหล่านั้น ได้โดนลักลอบเข้าประเทสเวียตนามด้วย

ทำให้คนรักชาติชาวเวียตนามเริ่มรู้จักซิญกุง แต่ ซิญกุงไม่ได้ใช้ชื่อจริง แต่ใช้นามปากกาว่า

เหงียน อาย กว๊อก (แปลว่า เหงียนผู้รักชาติ)


บทความที่เขาเขียนถือว่าเป็นการกบฏ ถ้าเขาถูกจับและส่งกลับเวียตนามโทษคือประหารชีวิต

ปี 1919 ประธานาธิบดี วูดโรล วิสสันแห่งสหรัฐ ได้เดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อเจรจาสันติภาพแวร์ซาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

ภายใต้กรอบ 14 ประการในสัญญาสันติภาพ มีข้อหนึ่งกล่าวว่า ทุกชาติจะต้องได้สิทธิในระบอบการปกครองด้วยตัวเอง

ซิญกุงเลยเชื่อว่าสหรัฐกำลังสนับสนุนการล้มล้างระบอบอาณานิคม และทำให้เขามีความหวัง

เขาเลยเดินทางไปพระราชวังแวร์ซาย แต่งตัวในชุดสากลสวมหมวกทรงสูงแบบอารยะประเทศ พร้อมเอกสารรายงานความไม่เป็นธรรมต่างๆที่ชาวเวียตนามไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฝรั่งเศส

เขาเชื่อว่าหากรายงานฉบับนี้ถึงมือ ปธน.วิลสัน ทางสหรัฐอาจจะโน้มน้าวฝรั่งเศสให้เอกราชแก่เวียตนามได้

แต่! เขากลับได้รับการปฏิเสธอย่างหยาบคายในการขอเข้าพบ ปธน.วิลสัน แม้กระทั่งเอกสารก็ได้รับการปฏิเสธส่งมอบให้

ทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างมากจากชาติที่เขาเคยชื่นชมว่ามีเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลก

และนี่เองต้องทำให้เขาหาที่พึ่งใหม่!!!!

ในวันนึงนักสังคมนิยมคนหนึ่งในฝรั่งเศสได้เอาบทความซึ่งเขียนโดย วลาดิเมียร์ เลนิน มาให้เขาอ่าน ในบทความนั้นกล่าวว่า

"กุญแจดอกหนึ่งในการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็คือ การให้เสรีภาพแก่ประเทศราชของชาติตะวันตกทั้งปวง"


วลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำคอมมิวนีสต์ของรัสเซีย

ทำให้ซิญกุงมีความหวังในการปลดแอกประเทศบ้านเกิด เพราะมีมหาอำนาจอีกขั้วให้การสนับสนุน

แล้วจริงๆทางรัสเซียก็อยากยุติระบอบล่าอาณานิคม แต่ไม่ใช่เพราะสงสารประเทศอาณานิยมเหล่านั้น

แต่เพราะต้องการให้มหาอำนาจโลกตะวันตกอ่อนแอลง เพราะอาณานิคมต่างๆล้วนแต่สร้างผลประโยชน์ให้ประเทศเจาอาณานิคม

เขาไม่ได้เลื่อมใสระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็มีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่จะยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือณ.เวลานั้น

ปี 1920 ขณะอายุ 30 ปี ซิญกุงได้เข้าร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนีสต์ฝรั่งเศส เขาเป็นแค่นักเขียนที่ดีในปารีสแต่ต้องการเขาต้องการจะเรียนรู้การเปลี่ยนจากบทความให้เป็นการกระทำขึ้นมา

เขาเลยเดินทางไปกรุงมอสโคว์เพื่อเข้าอบรมลัทธิคอมมิวนีสต์ จากนั้นก็กลับมาเคลื่อนไหวต่อในกรุงปารีสต่อ

ปี 1923 เขาได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมองค์กรคอมมินเทิร์นที่ก่อตั้งโดนรัสเซีย เพื่อที่ขยายลัทธิคอมมิวนีสต์ไปทั่วโลก

จากนั้นเขาก็หายไปจากปารีสไปอยู่ที่มอสโคว์ และเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญขององค์กรโดยรับคำสั่งโดยตรงจากมอสโคว์

และซิญกุงได้งานระดับชาติเป็นครั้งแรกโดยถูกส่งไปมณฑลกวางตุ้งของจีนเพื่อก่อตั้งขบวนการปฏิวัติ

เขาทำงานใต้ดินใช้นามแผง นามปากกา ชื่อปลอมมาตลอด ถ้าเป็นนามปากกาฝรั่งเศสจะใช้ชื่อ วิคตอร์ เลอบง ถ้าเป็นนามปากการัสเซียก็จะใช้ เนบรอนสกี้ อีกทั้งชื่อเวียตนามและชื่อภาษาจีนอีก

ในปี 1927 ผู้นำจีนตอนนั้นเจียงไคเชคได้ทำการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในจีนอย่างหนัก จนซิญกุงวัย 37 ปีเกือบเอาชีวิตไม่รอด


บทที่ 4 SPY

ปี 1927 เขาโดนทางการจีนจับได้ และต้องโทษประหารชีวิต แต่ไม่มีบันทึกว่าว่าทำไมเขาถึงหนีได้

รอดตายหวุดหวิดอยู่ประเทศจีนต่อไม่ได้ กลับเวียตนามก็ไม่ได้ เขาจึงหนีเข้าไทย(ตอนนั้นยังใช้ชื่อว่าสยาม)

จาก ปัญญาชน พ่อครัว นักเดินทาง นักเขียน นักปฏิวัติ ตอนนี้ต้องปลอมตัวเป็นสายลับหนีอยู่ต่างประเทศ

เข้าได้หลบตำรวจสายลับของฝรั่งเศสโดยการโกนผม โกนหนวด ห่มผ้าเหลือง ปลอมตัวเป็นพระธุดงค์ในไทย


หนีภัยมาอยู่เมืองไทย ทางด้านภาคเหนือและท้ายสุดได้พำนักที่จ.นครพนม เรียนรู้ภาษาไทยอีกภาษา จากที่พูดภาษา เวียตนาม จีน อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียได้

ช่วงใช้ชีวิตในเมืองไทย ใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" และ "ลุงโฮ"

ช่วงระยะเวลาดังกล่าวเขาได้ได้เคลื่อนไหวเพื่ออิสระภาพของเวียตนามไปยังประเทศต่างๆในย่านนี้

และใช้ไทยเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 คอยรอจังหวะและโอกาสกลับไปกู้เอกราชให้แก่เวียตนาม

จนปี 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 ประทุ และในเดือน มิถุนายน 1940 ฝรั่งเศสยอมแพ้ทัพนาซีเยอรมัน



รัฐบาลนาซีได้ครอบครองเวียตนามที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยมีเป็นรัฐบาลวีชี่ฝรั่งเศสที่เป็นหุ่นเชิดของนาซีเป็นผู้ดูแล

และซิญกุงได้คิดว่าได้เวลาเหมาะที่จะกลับบ้านแล้ว ต้นปี 1941 ในวัย 51 ปี ซิญกุงได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี


บทที่ 5 การกลับบ้าน

โดยเข้าเวียตนามตอนเหนือจากทางตอนใต้ของจีน มาเพียงตัวคนเดียว มีแค่แนวความคิดเป็นอาวุธ

กลับเข้าเวียตนามมาจากการที่เป็นนักเขียนนักพูด ซิญกุงได้รวบรวมชาวบ้านระดับล่าง และกลุ่มต่างๆเข้ารวมกัน

แล้วจัดตั้งเป็นฝ่ายเวียตมินห์ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น โฮจิมินห์ (แปลว่าแสงสว่างนำทาง)



นอกจากนั้นแล้วลุงโฮ(เปลี่ยนชื่อเรียกนะครับ) ได้พบกับ หวอ เหวียน จ๊าบ (Võ Nguyên Giáp) ผู้มีจิตใจห้าวหาญและฉลาดหลักแหลม

ซึ่งต่อมาจ๊าบได้เป็นขุนพลคู่บุญกับลุงโฮไปตลอดชีวิต และทั้งคู่ยิ่งสนิทชิดเชื้อกันไปอีกจากการเป็นคู่เขยกัน

ลุงโฮได้ทำการเคลื่อนไหวกับชนรากหญ้าที่อ่านหนังสือไม่ออกด้วยการใช้คำง่ายๆเข้าใจไม่ยาก และทำตัวติดดินกลมกลืนไปกับชาวบ้าน

จากนั้นสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปากต่อปาก ส่วนประชาชนในเมืองใหญ่ที่อ่านออกก็คุ้นเคยกับบทความของลุงโฮสมัยใช้นามปากกาว่าเหงียนผู้รักชาติดีอยู่แล้ว

จากผู้ชายตัวเล็กๆผอมบาง สูงแค่ 4 ฟุต 11 นิ้ว(150 ซม.) หนักแค่ 38 กิโลกรัม ตอนนี้กลายเป็นผู้นำกลุ่มผู้รักชาติเวียตนามไปแล้ว

พอญี่ปุ่นรุกรานแหลมมาลายูรวมทั้งได้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์แล้วนั้น

ทางรัฐบาลวีชี่ของฝรั่งเศสยอมญี่ปุ่นเพราะ ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมัน(รวมทั้งไทยด้วย)

ตอนแรกลุงโฮยินดีจะเข้าร่วมกับญี่ปุ่นเพราะเป็นเอเชียด้วยกัน แต่ท้ายสุดมาพบข้อสรุปว่าญี่ปุ่นก็ไม่ได้ดีไปกว่าฝรั่งเศส

เพราะทั้งคู่เป็นต่างชาติไม่มีใครจริงใจและทำอะไรดีๆให้คนเวียตนามหรอก ดังนั้นลุงโฮเลยเดินทางเข้าไปในจีนตอนใต้เผื่อได้กองกำลังผู้รักชาติมาร่วมต้านญี่ปุ่น

แต่พอไปลุงโฮก็โดนจับโดนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ และโดนจำคุกที่จีน

ระหว่างการโดนคุมขัง ลุงโฮได้เขียนประวัติตัวเองเป็นภาษาจีน ด้วยหวังว่าผู้คุมจะเห็นใจปล่อย ในบทความนั้นมีกลอนอยู่ท่อนหนึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า

"หัวใจข้า ท่องเที่ยวแสนไกล ไปยังประชาชนผู้ไร้เดียงสา ตอนนี้กายาถูกจองจำ ใช้น้ำตาแทนหมึก ถ่ายทอดความคิดเป็นบทกลอน"

ระหว่างอยู๋ในคุกลุงโฮสุขภาพแย่ลงมากร่างกายขาดอาหาร 14 เดือนผ่านไปลุงโฮได้รับการปล่อยตัว

หลังจากได้รับการปล่อยตัวลุงโฮได้เดินเท้ากลับเวียตนามทางตอนเหนือ ซึ่งทุกคนดีใจมากเพราะคิดว่าลุงโฮได้ตายไปแล้ว

ในปี 1943 ลุงโฮยังเชื่อว่าหากช่วยอเมริกาต่อต้านญี่ปุ่นแล้วท้ายสุดหากสงครามจบ อเมริกาจะช่วยให้เวียตนามได้เอกราช

ลุงโฮจึงให้การช่วยเหลือนักบินสหรัฐที่โดนยิงตกในเขตเวียตนามเหนือส่งกลับฐานทัพสหรัฐในจีนตอนใต้

ทำให้หน่วย OSS ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองสงครามสหรัฐได้ตกลงกับลุโฮในการเป็นพันธมิตรให้ลุงโฮหาข่าวจากฝ่ายญี่ปุ่นและคอยให้การช่วยเหลือนักบินสหรัฐที่ถูกยิงตก

และ OSS ให้การตอบแทนด้วยยุทโธปกรณ์ทั้งวิทยุสื่อสาร อาวุธ และการฝึกกำลังพลให้แก่กองกำลังเวียตมินห์ของลุงโฮ

นั่นเป็นความร่วมมือระยะเวลาสั้นๆระหว่างกองทัพสหรัฐกับเวียตมินห์ก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นศัตรูกันในอนาคตที่กำลังจะมาถึง

และแล้ว ปี 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จบ ฝ่ายอักษะแพ้ เกิดสูญญากาศทางอำนาจในเวียตนามทันที

ลุงโฮใช้โอกาสอันดีนี้ ใช้กองกำลังนำโดยนายพลจ๊าบเข้ายึดเวียตนามทางตอนเหนือไว้ได้ ชาวเวียตนามต่างยินดี

วันที่ 2 กันยายน 1945 ลุงโฮได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าฝูงชนที่กรุงฮานอยครั้งแรก เริ่มต้นด้วย

"เราทุกคนก็ต่างรู้แจ้งแก่ใจกันดีแล้วว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของความเป็นคน และตั้งด้วยองค์ประกอบสำคัญสามประการคือ ชีวิต อิสระภาพ และการแสวงหาความสุข"

ซึ่งคำกล่าวดังกล่าวมาจากหนังสือการประกาศเอกราชของสหรัฐเอง อาจจะเป็นการเอาใจสหรัฐเพื่อให้สหรัฐให้ความช่วยเหลือเวียตนามให้การได้รับอิสระภาพ

และลุงโฮยังได้ประกาศว่าไม่ได้ทำไปเพื่อการปฏิวัติแบบมาร์กซิสแต่ทำไปเพื่อเอกราชของประเทศเท่านั้นเอง

และยังเปรียบเทียบว่าที่เราทำไปก็ไม่ได้ต่างจากที่ท่านทำเหมือนปี 1776 (สหรัฐประกาศอิสระภาพ) ลุงโฮทำไปเพื่อปลดปล่อยอินโดจีน

แล้วเขายังได้เขียนจดหมายถึงหน่วย OSS ของสหรัฐที่ร่วมกันต้านญี่ปุ่นด้วยภาษาอังกฤษชั้นเลิศ แปลได้ว่า

"สงครามประสบชัยชนะแล้ว แต่เราเป็นประเทศเล็กๆที่ไม่มีส่วนแบ่งหรือมีน้อยมากในชัยชนะแห่งอิสระภาพและประชาธิปไตย ถ้าหากเราอยากได้ส่วนแบ่งที่พอเพียง บางทีเราอาจต้องสู้ต่อไป"


บทที่ 6 การทรยศของมิตร

ในปีต่อมาคือ 1946 ลุงโฮได้เดินทางสู่กรุงปารีสเพื่อทำการประนีประนอมให้ชาวเวียตนามได้มีอิสระในการปกครองตัวเองภายใต้การดูแลของฝรั่งเศส



แต่การเจรจาครั้งนี้กลับล้มเหลว ฝรั่งเศสไม่ให้อิสระภาพการปครองตัวเองของชาวเวียตนามเลยซักข้อตามที่ลุงโฮเรียกร้องไป

สถานการณ์ในเวียตนามยิ่งเลวร้าย เลวร้ายกว่าตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซะอีก หลังจากฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในอินโดจีน

ได้นำกองกำลังทหารมาเพิ่มในอินโดจีน และทำลายประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังเป็นผู้ปกครองยังมีอำนาจเหนืออาณานิคมนี้อยู่

ชาวเวียตนามมากมายต้องตายจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทั้งจากการปราบปรามและการอดยากเพราะข้าวก็ยังต้องถูกออกไปยังประเทศฝรั่งเศส



ลุงโฮได้ทำหนังสือไปยังสหรัฐเพื่อการไกล่เกลี่ยแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากสหรัฐเลย

เป็นเพราะผลของสงครามเย็นของสหรัฐกับสหภาพโซเวียต ทำให้อเมริกาต้องการให้ฝรั่งเศสร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์ในยุโรป

ฝรั่งเศสก็ยินดีร่วมมือกับสหรัฐแต่สหรัฐต้องไม่สานสัมพันธ์กับประเทศที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

เป็นอันว่าสหรัฐเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกลับไม่สนใจเวียตนาม ลุงโฮรู้สึกเหมือนโดนหักหลังจากสหรัฐที่ตนเองถือว่าเป็นมิตร

ในปีนั้นลุงโฮได้กล่าวกับนายทหารฝรั่งเศสคนนึงซึ่งคำพูดนั้นไม่ได้สำคัญกับฝรั่งเศสเท่ากับสำคัญต่อสหรัฐในเวลาต่อมา

ประโยคดังกล่าวได้มีเนื้อหาว่า

"ถ้าทำสงครามกัน เราจะยอมเสียคนสิบคนเพื่อให้คุณเสียคนไปคนนึง และในที่สุดเราจะชนะคุณ แล้วคุณจะเป็นฝ่ายเสีย"


บทที่ 7 สงครามเพื่ออิสระภาพ

ปลายปี 1946 ในเมื่อฝรั่งเศสไม่ยอมให้การปกครองตัวเอง (ในการเจรจายังไม่ได้กล่าวถึงการขอเอกราชเลยขอแค่ความชอบธรรมในการปกครองตัวเอง) ลุงโฮ นายพลจ๊าบ และ กลุ่มเวียตมินห์ได้กลับเข้าป่า

เพื่อต่อสู้แบบกองโจรกับฝรั่งเศส ทางกองทัพฝรั่งเศสเหนือกว่าเยอะทั้งกองกำลัง อาวุธ และเสบียง

แต่ทางเวียตมินห์ก็ต่อสู้แบบกองโจรสู้ยืดเยื้อกันมาเรื่อย 8 ปีผ่านไป จนปี 1954 ทหารฝรั่งเศสวางแผนจะเผด็จศึกกลุ่มเวียตมินห์ให้เด็ดขาดที่เดียนเบียนฟู

เดียนเบียนฟูเป็นจังหวัดทางตอนเหนือติดกับประเทศลาว ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร

เรื่องสมรภูมิเดียเบียนฟูยาวมากเป็นวีรกรรมการรบของชนชาติเอเชียกับมหาอำนาจตะวันตก

เอาเป็นว่าสรุปสั้นๆว่า เวียตนามชนะฝรั่งเศสในศึกครั้งนี้ ทำให้มีการเจรจาที่เจนีวาหลังจากที่ฝรั่งเศสยอมแพ้ที่เดียนเบียนฟู



เบื้องหลังชัยชนะครั้งนี้กลุ่มเวียตมินห์ได้รับการสนับสนุนอาวุธจากทั้ง จีน และ รัสเซีย

และว่ากันว่า ทางไทยโดยท่านปรีดี พนมยงค์ก็ให้การสนับสนุนทางอาวุธด้วย เพราะ คุณปรีดีไม่ชอบฝรั่งเศส ตั้งแต่เรื่องไทยเสียดินแดน และเรื่องที่ฝรั่งเศสเรียกร้องให้ไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับญี่ปุ่น(ฝรั่งเศสนี่ตัวโวยเลย จะเอาไทยแพ้ให้ได้)

เรื่องที่ว่ากันว่าเนี่ยจะมีผลในสงครามเวียตนามด้วย มีผลยังไงเดี๋ยวจะกล่าวในช่วงของสงครามเวียตนามนะครับ

แต่การเจรจากรุงเจนีวา เวียตนามยังไม่รับเอกราชแบบสมบูรณ์แบบนะครับ เพราะการเจรจานั้น ได้มีการตกลงแบ่งเขตเวียตนามเป็นสองส่วนชั่วคราว

โดยที่ทางจีนและรัสเซียก็โน้มน้าวให้ลุงโฮรับข้อเสนอนี้ไปก่อน ซึ่งใจลุงโฮไม่ต้องการให้ประเทศมาแบ่งเป็นสองส่วนแบบนี้

ทางเหนือเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียตนาม แต่ทางใต้ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศสจนอีก 2 ปีคือปี 1956 ฝรั่งเศสจะถอนกำลังทั้งหมดไป

และให้เวียตนามรวมประเทศได้หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1956

นี่เป็นข้อตกลงง่ายๆที่กรุงเจนีวาไม่มีอะไรซับซ้อน ฝรั่งเศสขอเวลาเก็บข้าวของทางตอนใต้ 2 ปีแล้วจะไปเอง

่ส่วนการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูในครั้งนี้มีผลต่อเนื่อง ทำให้ประเทศอาณานิคมอืนๆของฝรั่งเศส

ได้เรียกร้องเอกราชจากฝร่ั่งเศสบ้าง ทำให้ฝรั่งเศสต้องเสีย ทั้ง แอลจีเรีย โมร็อคโค และตูนีเซียไปด้วยในปี 1956



บทที่ 8 สหรัฐอเมริกา

หลังจากปี 1956 ฝรั่งเศสได้ออกจากประเทศเวียตนามตามข้อตกลงกรุงเจนีวา 1954

แต่

ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนรัฐบาลฝ่ายใต้(ขอเรียกว่าฝ่ายไซง่อน)ภายใต้จักรพรรดิ์บ๋าวได๋และนายกรัฐมนตรี โง ดินห์ เดียม ให้อยู่ในอำนาจต่อ

ไม่ให้ไปร่วมกับรัฐบาลทางเหนือ(ขอเรียกว่าฝ่ายฮานอย) โดยอ้างว่าทางฝ่ายฮานอยได้เข่นฆ่าประชาชนทางเหนือและคุกคามประชาชนทางใต้

ซึ่งการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลไซง่อนโดยการสนับสนุนจากสหรัฐถือเป็นขัดต่อข้อตกลงที่กรุงเจนีวา


โงดินห์เดียมกับ ปธน.ไอเซ่นฮาวของสหรัฐ

เพราะทางสหรัฐก็รู้ดีว่าถ้ามีการลงประมติทางประชาชนเวียตนามกว่าร้อยละ 80 ลงคะแนนให้ลุงโฮเป็นประมุขของรัฐแทนบ๋าวได๋แน่นอน

แล้วตอนนั้นโลกอยู่ในสภาวะสงครามเย็น มีการแก่งแย่งประเทศที่จะเข้าร่วมประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์สองค่ายชัดเจน

ทางสหรัฐก็ไม่อยากให้เวียตนามเป็นคอมมิวนีสต์ทั้งประเทศ จึงพยายามปกป้องรัฐบาลไซง่อนเอาไว้

ส่วนรัฐบาลฮานอยนำโดยลุงโฮก็ต้องการจะรวมประเทศให้เป็นประเทศเดียวหลังจากโดนฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเกือบร้อยปี

ในเมื่อความเห็นทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน การเจรจาทางการเมืองไม่เป็นผล สงครามจึงเกิดขึ้น โดยฝ่ายทหารเวียตนามเหนือบุกลงเขตเส้นขนานที่ 17 ที่เป็นเขตแดนเหนือ-ใต้


บทที่ 9 สงครามเวียตนาม

ช่วงยุค 60 สงครามเวียตนามก็ได้เริ่มขึ้น ทางสหรัฐก็ได้สนับสนุนรัฐบาลไซง่อนเต็มที่ ทั้งเรื่องเงินทุน อาวุธ กองกำลังทหาร

ทางสหรัฐกลัวการขึ้นมีอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์และผลประโยชน์มหาศาลของสหรัฐ

ส่วนทางรัฐบาลฮานอยก็ต้องการรวบประเทศให้เป็นประเทศเดียว และปกครองกันเองโดยปราศจากการแซงแทรกจากต่างชาติ

ทางประเทศไทยก็ได้ส่งทหารเข้าร่วมรบกับสหรัฐประมาณ 12,000 นาย และทางไทยยังยอมให้สหรัฐตั้งฐานทัพในไทยหลายจุด

จากที่ผู้เขียนเคยได้พูดคุยกับทหารไทยที่ผ่านศึกเวียตนาม และคนเวียตนามที่เคยรบในสงครามนี้

เรื่องเล่าของทหารไทย
- เล่าอย่างภูมิใจว่าเวียตกงกลัวทหารไทย ถ้าในค่ายไหนมีทหารไทย เวียตกงจะไม่กล้าเข้าตี พวกทหารสหรัฐบางส่วนก็รู้ดี เวลามีทหารไทยในค่ายก็อุ่นใจ แกยังบอกต่อไม่เคยเจอเวียตกงเข้าตีเลย เคยเจอแค่ตอนเดินลาดตระเวน

เรื่องเล่าของคนเวียตนาม
- คนเวียตนามบอกว่า ทางลุงโฮได้สั่งผ่านทางนายพลจ๊าบว่า ไม่ให้ทำร้ายทหารไทย ถ้าค่ายไหนมีทหารไทยอยู่ให้งดโจมตี เพราะคนไทยมีพระคุณส่วนตัวกับลุงโฮ ทั้งตอนที่ลุงโฮมาพำนักในไทย คนไทยดีต่อลุงโฮมาก และอีกทั้งช่วงรบกับฝรั่งเศสคนไทย(คงหมายถึงท่านปรีดี พนมยงค์) ยังแอบส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทางฝ่ายลุงโฮ ส่วนค่ายไหนไม่มีคนไทย เป็นทหารหัวแดงหัวทองให้เข้าตีได้ตามปกติ

เรื่องนี้น่าจะจริงเพราะทั้งปากของทหารไทยที่ผู้เขียนได้พูดคุยเอง ทั้งจากปากคนเวียตนามที่เล่าให้ผู้เขียนฟัง (มีคนแปลให้)

ทหารไทยไปร่วมรบเกือบ 12,000 คน มีสูญเสีย 351 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากน่าจะเกิดจากลาดตะเวณแล้วปะทะกัน หรือเหยียบกับระเบิด

ซึ่งทหารออสเตรเลียที่ไปร่วมรบกับสหรัฐส่งทหารไป 7 พันกว่าคนมีตาย ถึง 500

ทหารเกาหลีใต้ก็ไปรบ ส่งไป 50,000 คน ตายถึง 5,000 คนเลยทีเดียว


สหรัฐเริ่มส่งกองกำลังทหารจริงๆก็ช่วงปี 1963 หลังจากการลอบสังหาร ปธน.เคนเนดี้ แล้ว ลินดอน จอห์นสันขึ้นมาเป็น ปธน. แทน


Lyndon B. Johnson ปธน.สหรัฐ 1963-1969

ในสงครามลุงโฮไม่ได้เป้นผู้บัญชาการรบเพียงแค่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชนในชาติ เรื่องการรบเป็นหน้าที่ของนายพลจ๊าบ



ทางสหรัฐก็มี นายพล วิลเลี่ยม เวสมอร์แลนด์ เป็นผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐ


ในกลยุทธการรบ นายพลเวสมอร์แลนด์ให้กลยุทธปราบล้าง คือต่อต้านไม่ให้ทหารเวียตนามเหนือบุกเข้าเวียตนามใต้และฆ่าพวกเวียตกงที่แทรกซึมในเวียตนามใต้ให้ได้มากที่สุด

สงครามครั้งนี้ก็เหมือนสงครามเกาหลี ที่ทางสหรัฐแค่ต้องการยันทางเหนือเอาไว้ไม่คิดจะบุกเข้าครอบครองทางเหนือ

แล้วรอให้ทางเหนืออ่อนแรงลงไปเองจนยอมเจรจาสงบศึก แย่งประเทศเป็นเหนือใต้ชัดเจนแบบเกาหลี

แต่ทางเวียตนามไม่อ่อนแรง ด้วยความรักชาติรักอิสระภาพยิ่งชีพ คนทางตอนเหนือก็แทรกซึมมาทางใต้ทำสงครามกองโจรกับทหารสหรัฐ

เวียตกงมีคำขวัญจนบางคนถึงกับสักไว้กับร่างกายไว้ว่า "เิกิดทางตอนเหนือ ตายทางตอนใต้"

แน่นอนสงครามครั้งนี้ถ้าทางยุทธวิธีปกติ รัฐบาลฮานอยไม่มีทางสู้สหรัฐได้ ซึ่งข้อนี้นายพลจ๊าบก็รู้ดี

ทหารสหรัฐเหนือกว่าเกือบทุกด้าน ยกเว้น เหตุผลและกำลังใจในการรบ

ทหารสหรัฐส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์มา ข้ามมาครึ่งโลกมาสู้รบกับสงครามที่ไม่ใช่ของตัวเอง

ส่วนทหารเวียตนามมีเหตุผลมากมายที่จะสู้ในสงครามครั้งนี้ เพื่อประเทศชาติ เพื่ออิสระภาพ

แรกๆการรบครั้งนี้ทางประชาชนสหรัฐก็สนับสนุนเต็มที่ เพราะเป็นการต้านคอมมิวนิสต์ เพราะในโลกเสรีใครเกิดทันยุคสงครามเย็นอย่างผู้เขียนก็จะรู้ดีว่า

ในโลกเสรีมักสร้างภาพพวกคอมมิวนิสต์เป็นผีเป็นปีศาจร้าย เป็นมารพวกนี้ไม่มีศาสนา คอมมิวนิสต์มาศาสนาหมด อะไรประมาณนี้

นายพลจ๊าบเป็นนักการทหารที่เก่ง ขนาดหนังฮอลลิวูดเองยังกล่าวถึงในแง่ของความสามารถอยู่หลายเรื่อง

นายพลจ๊าบรู้เต็มอกว่ายังไงก็เอาชนะสหรัฐไม่ได้ในเวียตนามแน่ๆ แต่จะเอาชนะสหรัฐในบ้านของสหรัฐเอง

อ่านมาถึงกลยุทธนี้งงมั้ยครับ คือว่า สงครามจิตวิทยาแล้วได้ผลด้วย มันเริ่มจากเล็กๆน้อยๆ ภาพข่าวที่นักข่าวสหรัฐมาทำข่าวนั้น

ยิ่งยืดเยื้อหลายปีเข้าคนสหรัฐจะเริ่มหาเหตุผลกันเองว่าทำไมต้องไปรบไกลขนาดนั้น ให้ลูกหลานคนอเมริกันไปตายในสงครามของคนอื่น

กลยุทธกองโจรเวียตกงของนายพลจ๊าบได้ผลทางจิตวิทยามาก ทหารสหรัฐเหมือนรบกับผี ข้าศึกไม่มีตัวตน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน

เวียตกงปะปนกับกับพลเรือนยากจะแยกออกอันไหนศัตรูอันไหนมิตร บ่อยครั้งที่พลเรือนบริสุทธิ์ต้องตาย



จุดอ่อนของสหรัฐไม่ได้อยู่ในเวียตนาม แต่จุดอ่อนของสหรัฐอยู่ที่ความแน่วแน่ของคนอเมริกันในสงครามครั้งนี้ต่างหาก นายพลจ๊าบรู้ดีตั้งแต่เริ่มแรก

นายพลจ๊าบเลยคิดวิธีทำให้คนอเมริกันออกมาต่อต้านสงครามครั้งนี้แล้ว เวียตนามจะชนะเอง

ในปี 1965-1967 ปธน.จอห์นสันได้เพิ่มทหารสหรัฐจากเริ่มแค่ 190,000 คนเป็น เกือบ 500,000 คน

ส่งมาเยอะก็ตายเยอะขึ้น ในระหว่างปี 1959-1965 ทหารสหรัฐสูญเสียทหารไป 2,000 คน แต่ในปี 1966 เพิ่มเป็นตาย 6,000 คน

พอปี 1967 ก็ตายเพิ่มเป็น 11,000 คน แน่นอนทางเวียตนามสูญเสียมากกว่า แต่ก็อย่างที่ลุงโฮเคยพูดไว้กับทหารฝรั่งเศสว่า

"ยอมเสียคนเวียตนาม 10 คนเพื่อจะให้ศัตรูต่างชาติเสีย 1 คน"

ถึงคนเวียตนามจะตายมากมายเพียงไรแต่ขวัญกำลังใจยังดี ต่างกับทหารสหรัฐที่เกณฑ์มารบ ต่างคิดว่ามาถึงก็อยากกลับบ้านทันทีกันทั้งนั้น

แล้วเทิร์นนิ่งพ๊อยท์ของสงครามก็มาถึงในปี 1968 วันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันตรุษญวน(วันปีใหม่) วัน TET

นายพลจ๊าบได้วางแผนการนี้ล่วงหน้ามา 9 เดือนแล้ว โดนให้หน่วยเวียตกงกล้าตายแทรกซึมตามจุดต่างๆในเวียตนามใต้เป็นร้อยจุด

ก่อนวันตรุษอาทิตย์นึงนายพลจ๊าบได้สั่งให้ทหารเวียตนามเหนือบุกข้ามเส้นขนานบุกเคซานห์ ในจังหวัดกว๋างจิ

ซึ่งทหารสหรัฐก็ได้รบทำการปกป้องค่ายเคซานห์อย่างเต็มกำลัง แต่นั่นเป็นแค่กลยุทธหลอกของนายพลจ๊าบ

แต่เป้าหมายจริงคือวันตรุษ พอถึงวันจริงทหารเวียตนามเหนือและเวียตกง 8 หมื่นคนโจมตีพร้อมกันในเวียตนามใต้

ในกรุงไซง่อนก็โดนโจมตีหลายจุด รวมทั้งสถานทูตสหรัฐด้วย ผลลัพธ์คือทหารสหรัฐและทหารตำรวจเวียตนามใต้คุมสถานการณ์ได้ ทหารเวียตนามเหนือและเวียตกงสูญเสียจำนวนมาก


ภาพตำรวจเวียตนามใต้ยิงทิ้งเวียตกงในไซง่อนในวัน TET

ถึงแม้ทางทหารฝ่ายฮานอยจะแพ้ในวัน TET แต่ในทางจิตวิทยานั้น ทางฝ่ายฮานอยนั้นได้ผลประโยชน์มาก

เพราะหลังจากเหตการณ์นี้ ทั้งภาพข่าวที่กลับไปสหรัฐเริ่มมีคำถามว่าสงครามนี้เพื่ออะไร แล้วเริ่มมีการประท้วงสงครามในสหรัฐ

และหลายๆฝ่ายก็มองเห็นว่ารัฐบาลไซง่อนไม่สามารถป้องกันตัวเองได้แล้ว ทั้งทหารเวียตนามเหนือและเวียตกงบุกได้ถึงกลางกรุงไซง่อน

ถึงแม้จะเป็นการบุกแบบกองโจร แต่การบุกแบบนี้ต้องแทรกซึมทั้งกองกำลังและอาวุธเป็นจำนวนมาก บ่งบอกได้ถึงการไร้ประสิทธิภาพ ข่าวกรอง และน่าจะมีการร่วมมือของประชาชนในเวียตนามใต้เองเป็นจำนวนมาก





จากการเรียกร้องของคนอเมริกันเองที่ให้ยุติสงครามมีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ทางสหรัฐก็ค่อยๆถอนกำลังทหารออกจากเวียตนามใต้

จนเดือนมกราคมปี 1973 ได้มีการเจรจาที่กรุงปารีสว่าทางสหรัฐจะถอนกำลังทหารออกจากเวียตนามใต้และให้เวียตนามใต้สู้เอง

ทางสหรัฐยุติบทบาทตัวเองลงในวันที่ 15 สิงหาคม 1973 แต่กองทัพประชาชนได้ยึดกรุงไซง่อนได้ในเดือนเมษายนปี 1975(พ.ศ.2518)

อันเป็นจุดจบของสงครามเวียตนามโดยสมบรูณ์ เวียตนามจึงได้รวมชาติเป็นผลสำเร็จ


ภาพวันกรุงไซง่อนแตกปี 1975




บทที่ 10 บทสรุป

ในที่สุดเวียตนามก็เป็นเอกราช และได้รวมประเทศในที่สุด

ในปีที่รบชนะที่เบียนเดียนฟู เวียตนามนับเป็นประเทศที่สองที่ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมชาติยุโรปด้วยการชนะสงคราม

(ประเทศแรกคือสหรัฐอเมริกาที่ชนะอังกฤษแล้วเป็นเอกราช)

แต่ลุงโฮผู้รักชาติ ไม่ได้มีโอกาสเห็นประเทศที่ตัวเองรักได้รวมชาติเมื่อปี 1975 เพราะ โฮจิมินห์ ได้อสัญกรรมไปก่อนในปี 1969 ศิริอายุ 79 ปี

ลุงโฮมีความผูกพันกับไทยมาก ขนาดรัฐบาลเวียตนามจะสร้างจวนประธานาธิบดีให้

ลุงโฮขอแค่บ้านหลังเล็กๆอยู่แบบสมถะ และขอเป็นบ้านทรงไทย ปัจจุบันบ้านของลุงโฮเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงฮานอย



ทั้งชีวิตของลุงโฮทำเพื่อบ้านเมือง จิตใจตั้งปณิทานทุ่มเทชีวิตเพื่ออุทิศแก่การปลดแอกให้ประเทศได้รับเอกราช

ลุงโฮไม่ได้มีจิตใจหรือฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่คนที่ยื่นมือมาช่วยล้วนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์

ทั้งๆทีตอนแรกลุงโฮตั้งใจให้โลกเสรีช่วย แต่ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศเสรีล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น

ปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุในโลงแก้ว เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เคารพ ที่จตุรัสบาดิงห์



ใครมีโอกาสเที่ยวฮานอย,เวียตนามอย่าลืมแวะไปคารวะลุงโฮ แสดงความเคารพในฐานะบุคคลคนหนึ่งที่รักชาติยิ่งชีพ

มีชีวิตที่โลดโผน เป็นทั้ง นักการเมือง นักเขียน นักปฏิวัติ หรือแม้กระทั่งสายลับปลอมตัวแฝงตัว น่าจะเอาอัตชีวประวัติไปสร้างหนังน่าจะสนุกไม่น้อย

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
ดาวเตะลา ลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 8195
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 03:34
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
ดูบอลจบเดี๋ยวมาอ่าน
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status: Rise--Up!!!
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Sep 2010
ตอบ: 2399
ที่อยู่: Mersyside
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 03:49
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
อ่านก่อนจะไปเที่ยวปลายเดือนนี้พอดีครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Apr 2017
ตอบ: 22
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 04:21
[RE]((( เรื่องของเวียตนาม )))
อ่านจบรู้สึกเกลียดฝรั่งเศสกะอเมริกาขึ้นมาทันที แต่ งง ว่า ฮานอยกะไซง่อน สู้รบกันเองทำไม ปล ขอบคุณมากครับที่หามาลง สดุดีลุงโฮครับ..
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 10 Nov 2013
ตอบ: 10030
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 08:16
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
โคตรชอบเลย ผมอ่านจนจบ ปล.ทหารเวียดนามไม่ได้กลัวทหารไทยหรอก
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 2427
ที่อยู่: ที่ทำงาน
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 12:31
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
หลังจากอ่านจบได้ข้อคิดว่า อเมริกาพยายามที่จะอ้างประชาธิปไตยตลอด แต่เอาเข้าจริงเพื่อประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ.....
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะหมู่บ้าน
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Mar 2015
ตอบ: 1593
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 13:03
((( เรื่องของเวียตนาม )))
อ่านจนจบได้ความรู้กว่าเรียนมาทั้งเทอม
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 6090
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 13:47
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
October sky พิมพ์ว่า:
อ่านจบรู้สึกเกลียดฝรั่งเศสกะอเมริกาขึ้นมาทันที แต่ งง ว่า ฮานอยกะไซง่อน สู้รบกันเองทำไม ปล ขอบคุณมากครับที่หามาลง สดุดีลุงโฮครับ..  


ไซง่อนเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเวียตนามตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม

จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเมืองใหญ่กว่าฮานอยที่เป็นเมืองหลวง


ที่รบกันเพราะอเมริกันเสี้ยม

คนเวียตนามใต้ส่วนนึงก็อยากรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว

เอา เบ๋าได๋ มาอ้างเรื่องเป็นจักรพรรดิ์ ทั้งๆที่คนเวียตนามแทบไม่ได้นับถือเบ๋าได๋เลย

เบ๋าได๋อ่ะฝรั่งเศสชูมาแต่แรก คนเวียตนามมองว่าเบ๋าได๋ทรยศต่อชาติยอมรับใช้ฝรั่งเศสกดขี่คนในชาติ


ส่วน โงดินห์เดียม นั้นคนเวียตนามแทบไม่รู้จัก แต่เป็นเด็กของ CIA ปั้นมาให้โปรอเมริกันต้านคอมมิวนิสต์

โงนั้นเป็นคาธอลิค แล้วกีดกันชาวพุทธในเวียตนาม จนมีกรณีพระพุทธเผาตัวเองประท้วงโงในไซง่อนปี 1963





คนเวียตนามเกลียดโงยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์อีก

เพราะลุงโฮถึงจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่แกก็เป็นผู้รักชาติ

ส่วนโงนั้นเป็นฟาสซิสต์(พวกเผด็จการ) ทำไปเพื่ออำนาจของตัวเอง

พอประชาชนไม่พอใจโงมากๆ CIA เริ่มเห็นว่าโงคุมไม่อยู่

CIA ของสหรัฐก็เลยสนับสนุนการรัฐประหาร กลุ่มใหม่ก็รัฐประหาร

แล้วยิงโงทิ้งตายในวันที่ยึดอำนาจเลยในวันที่ 2 พ.ย. 1963

หลังจากโงตายได้ 20 วัน ปธน.เคเนดี้ก็โดนลอบสังหารในวันที่ 22 พ.ย. 1963


หลังจากนั้นทั้งรัฐบาลอเมริกันและรัฐบาลฮานอยก็เปลี่ยนผู้นำ แล้วเข้าสู่สงครามเวียตนามแบบเต็มรูปแบบ

คนเวียตนามไม่ได้อยากรบกันเองหรอก แต่มีบางคนในไซง่อนไม่ยอมลงจากอำนาจทำผิดข้อตกลงกรุงเจนีวา

ฮานอยก็มาถามความชอบธรรม เมื่อเจรจาทางการเมืองไม่สำเร็จ มันก็เกิดสงคราม (ตามกฏ)

4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Oct 2009
ตอบ: 73
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 15:18
[RE]((( เรื่องของเวียตนาม )))
กระทู้สาระเต็มร้อยฮะ ขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
นักเตะตำบล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 3805
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 13, 2017 18:48
((( เรื่องของเวียตนาม )))
ขอบคุณมากครับ ขอสงครามเกาหลีต่อเลยได้มั้ยครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 6090
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Apr 14, 2017 19:20
[RE: ((( เรื่องของเวียตนาม )))]
13lackgunners พิมพ์ว่า:
ขอบคุณมากครับ ขอสงครามเกาหลีต่อเลยได้มั้ยครับ  


ยินดีครับ เรื่องสงครามเกาหลีคล้ายๆเวียตนามแต่ซับซ้อนน้อยกว่า ระยะเวลารบก็น้อยกว่า(แต่มีผลระยะยาวกว่า)

ถ้ามีโอกาสจะเขียนมาให้อ่านนะครับ / ขอบคุณครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel