จากกระทู้ที่แล้วนะครับ
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1476925
กระทู้ที่แล้วผมเล่าเรื่อง คนอังกฤษ ไอริช เวลส์ สก๊อต ว่าเป็นใครมาก่อนแตกต่างกันอย่างไร
กระทู้นี้มาต่อกัน เป็นเรื่องของอังกฤษช่วงปี ค.ศ.400 - ค.ศ.1066
เป็นยุคที่ชนเผ่าเยอรมันนิกเข้ามาตั้งรกรากในบริตัน จนพัฒนาเป็นคนแองโกล-แซกซอนจนเป็นคนอังกฤษ
เรื่องการรุกรานของไวกิ้งจากเดนมาร์ก เรื่องกษัตริย์ราชวงศ์ต่างๆทั้งของแซกซอนทั้งของเดนมาร์กที่ครองบัลลังค์อังกฤษ
ภาพการแต่งกายของชาวแองโกลแซกซอน
หลังจากกรุงโรมกำลังจะล่มสลายจากการบุกของพวกคนเถื่อนในปลายศตวรรษที่ 4 - ต้นศตวรรษที่ 5 ทหารโรมันได้ถอนกำลังออกจากเกาะบริตัน(เกาะอังกฤษ)จนหมด
หลังจากครอบครองเกาะบริตันมาเกือบ 400 ปี ทำให้ชาวบริตันต้องอยู่กันเองปราศจากทหารโรมันคอยป้องกันคนเถื่อนจากยุโรปแผ่นดินใหญ่
จากนั้นพวกแองเกิ้ล พวกแซกซอน พวกจูทส์ จากตอนเหนือของเยอรมันและตอนใต้ของเดนมาร์ก หลังจากคอยมาปล้นสะดมเรื่อยๆ พอไม่มีทหารโรมันแล้ว
พวกนี้ก็เข้ามาครอบครองเกาะบริตัน ต่อสู้กับพวกบริตันเดิมแล้วผลักดันให้เจ้าถิ่นเดิม ขึ้นไปทางเหนือและทางตะวันตกของเกาะ
ภาพการบุกเกาะบริตันของ 3 เผ่าชนชาติเยอรมันนิก
ซึ่งพวกบริตันดั้งเดิมขึ้นไปทางเหนือก็พัฒนาตัวเองเป็นชาวสก๊อต พวกที่ไปทางตะวันตกเป็นชาวเวลส์ในปัจจุบัน
พวกผู้มาใหม่ก็จับจองพื้นที่ราบลุ่มทางตอนใต้ ภาคกลางและตะวันออกของเกาะ แต่ไม่ได้รวมกันเนื่องจากคนละเผ่ากัน
กระจายกันอยู่ทั่วดินแดนที่ครอบครอง ตอนกลางของเกาะครอบครองโดยพวกแองเกิ้ล ส่วนตอนใต้ครอบครองโดยพวกจูสท์และแซกซอน
ภาพจำลองการเป็นอยู่ของพวกแองโกล-แซกซอนในอังกฤษ
ตอนนี้พวกแองเกิ้ล-แซกซอน-จูทส์ ก็ได้ครอบครองเกาะแห่งนี้แล้ว อยู่มาจนพัฒนาตัวเองเป็นแองโกลแซกซอนสร้างอาณาจักรของแต่ละกลุ่ม
มีการค้าขายกันบ้าง รบพุ่งกันเองก็บ่อยเพื่อขยายดินแดนเหมือนที่กรีกยุคโบราณทำ
จนประมาณศตวรรษที่ 7 อาณาจักรต่างก็เป็นรูปร่างชัดเจน ประกอบไปด้วยเจ็ดอาณาจักร
1.นอร์ทธัมเบรีย
2.เมอร์เซีย
3.อีสต์แองเกลีย
4.เอสเซ็กซ์
5.เค้นท์
6.ซัสเซ็กซ์
7.เวสเซ็กซ์
พร้อมๆกันศาสนาคริสต์ก็ได้เข้ามาเผยแผ่บนเกาะแห่งนี้โดยนักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรี โดยเริ่มจากอาณาจักรเคนท์เป็นที่แรก
ในช่วงนั้นอาณาจักรเมอร์เซียเป็นอาณาจักรที่เรืองอำนาจมากที่สุดโดยมีเครโอดาแห่งเมอร์เซียเป็นกษัตริย์พระองค์แรก ส่วนอีกหกอาณาจักรก็มีกษัตริย์เป็นของตนเอง
ทั้งเจ็ดอาณาจักรก็รบพุ่งกันผลัดกันแพ้กันชนะ บางช่วงเวลาบางอาณาจักรก็ได้ครอบครองอาณาจักรอื่นบ้าง ช่วงเวลาดังมีไม่ได้มีการจดบันทึกที่ชัดเจนเท่าไรนัก
จนเกิดมีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของทั้งเจ็ดอาณาจักรขึ้น คือในปี ค.ศ.865 ชาวไวกิ้งจากเดนมาร์กที่ชาวอังกฤษเรียกว่า"เดนส์" (Danes)
จากที่เคยรุกรานประปรายต่อเกาะนี้ กลายเป็นรวพลเป็นทัพใหญ่มาบุก ทัพที่เรียกว่า Great Heathen Army
เข้ารุกรานเกาะบริตันแบบเต็มรูปแบบจนปีต่อมา คือปี ค.ศ.866 พวกเดนส์ก็ยึดอาณาจักรนอร์ทธัมเบรีย และอีก 4 ปีต่อมาก็ยึดอาณาจักรอีสต์แองเกลียได้
ปีต่อมาคือ ค.ศ. 871 ก็ยึดอาณาจักรเมอร์เซียฝั่งตะวันออกได้ ถึงตอนนี้พวกเดนส์ยึดเกาะบริตันไปกว่าครึ่งของพื้นที่แล้ว และยังรุกคืบไปอาณาจักรที่เหลืออีก
และในปี ค.ศ. 871 ที่พวกเดนส์ยึดอาณาจักรเมอร์เซียฝั่งตะวันออกได้ มีเจ้าชายหนุ่มของอาณาจักรเวสเซ็กซ์ ได้ขึ้นครองราชย์
เนื่องจากพระเจ้าเอเธอลเรดผู้เป็นราชบิดาสวรรคต แล้วลูกชายองค์โตผู้เป็นพี่ชายเจ้าชายอัลเฟรดได้เสียชีวิตไปก่อน
ถึงจะมีลูกชายสองคนแต่เนื่องจากยังเด็กอยู่ ไม่สามารถเป็นกษัตริย์ยามสงครามได้
เจ้าชายอัลเฟรดเลยได้ขึ้นครองราชย์แห่งอาณาจักรเวสเซ็กซ์โดยปราศจากการประท้วงสิทธิ์การสืบราชบัลลังค์ เพราะเจ้าชายองค์นี้มีความสามารถและทำสงครามต่อต้านพวกเดนส์มาแต่ก่อนหน้าที่แล้ว
พระเจ้าอัลเฟรดก็ได้ทำการรบต่อสู้กับพวกเดนส์จนชนะได้ในปี ค.ศ.878 และทรงแสดงพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์แห่งชาวแองโกลแซกซอนทั้งมวล
นับได้ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ของอังกฤษพระองค์แรก แล้วได้รับการยกย่องภายหลังให้เป็น"มหาราช" (Alfred the Great) และยังเป็นกษัตริย์ที่เป็นมหาราชพระองค์เดียวของอังกฤษ
อนุสาวรีย์พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช
แต่ ชัยชนะของพระเจ้าอัลเฟรดในครั้งนั้นก็ไม่ได้ขับไล่พวกเดนส์ออกไปจากเกาะจนหมด แต่แบ่งเขตปกครอง พวกเดนส์ยังมีอำนาจเหนือเกาะอังกฤษอยู่
เขตแบ่งที่พวกเดนส์อยู่เรียกว่า เดนส์ลอว์ แล้วพวกเดนส์จากแผ่นดินใหญ่ก็หลั่งไหลเข้ามาอยู่บนเกาะอังกฤษ เรื่องมันก็เลยยังไม่จบแค่นี้
ภาพเขตแบ่งการปกครองระหว่างแองโกลแซกซอนกับเดนส์
((ต่อจากนี้ขออนุญาติเรียกกษัตริย์ว่าคิง และชื่อคิงตามด้วยชื่อแทนคำนำหน้าว่าพระเจ้านะครับ เพื่อความกระชับ))
ตามการลงนามนั้น อังกฤษได้แบ่งเป็นสองส่วนคือทางเหนือรวมทั้งลอนดอนนั้นเป็นเขตของพวกเดนส์ ส่วนทางใต้เป็นของพวกแซกซอน
ตลอดการครองราชย์ของคิงอัลเฟรดก็มีความสงบอยู่เป็นพักๆจากนั้นก็ทำสงครามกับพวกเดนส์โดยตลอด จนปี ค.ศ.885 คิงอัลเฟรดก็ยึดลอนดอนจากพวกเดนส์ได้
ปี ค.ศ. 893 พวกเดนส์ก็ส่งกองเรือขนาดใหญ่มารุกรานอีกกะจะยึดอังกฤษทั้งหมดให้เป็นอาณานิคม แต่คิงอัลเฟรดและเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระโอรสก็ต้านพวกเดนส์และต่อต้านพวกเดนส์ได้อีก
สู้รบกันอีกหลายศึกแต่พวกเดนส์ก็พ่ายแพ้ตลอด คิงอัลเฟรดก็ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนปี ค.ศ.896 กองทัพเดนส์ก็ถอยร่นเป็นสองส่วนไปตั้งหลักอาณาจักรนอร์ธัมเบรียและอีสต์แองเกลีย
แต่ก็มีบางส่วนหนีกลับแผ่นดินใหญ่ยุโรปเลย ตอนนี้พวกเดนส์ก็มีดินแดนบนเกาะอังกฤษเหลือนิดเดียว
ยังไม่ทันจะไล่พวกเดนส์หมด ในปี ค.ศ.899 คิงอัลเฟรดก็สวรรคตตอนอายุ 50 ปี คาดกันว่าสวรรคตเพราะโรคประจำตัวที่เป็นมานาน น่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร
แต่คิงองค์ต่อไปคือคิงเอ็ดเวิร์ด(Edward the Elder)ก็สืบต่องานของพระบิดาจนไล่พวกเดนส์ออกจากส่วนของอังกฤษได้ทั้งหมดในเวลาต่อมา
และหลานปู่ของคิงอัลเฟรดคือคิงแอเทลสแตนก็รวมอาณาจักรเมอร์เซีย(ที่หลงเหลือ)เข้ากับอาณาจักรอังกฤษ
จนมาถึงปีรัชสมัยของคิงเอ็ดการ์ก็ยึดนอร์ทธัมเบรียทางตอนเหนือ(สก๊อตแลนด์บางส่วนในปัจจุบัน)ที่เป็นของพวกเดนส์ได้ และขับไล่ไวกิ้งทั้งหมดออกจากเกาะบริตันและรวมอังกฤษทั้งหมดได้เป็นครั้งแรก
คิงอัลเฟรดนับว่าเป็นคิงองค์แรกของอังกฤษและเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์แรกของอังกฤษคือ ราชวงศ์ เวสเซ็กซ์ (House of Wessex)
จากเจ็ดอาณาจักรของพวกแองเกิ้ลและพวกแซกซอนมาเป็นอาณาจักรเดียวที่เรียกว่าแองโกล-แซกซอนหรืออังกฤษ
ราชวงศ์เวสเซ็กซ์มีคิงอยู่ทั้งหมด 10 พระองค์ ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.871-1016 รวม 145 ปี ราชวงศ์นี้หมดอำนาจ
เพราะ
คู่แค้นเก่าครับ พวกไวกิ้งจากเดนมาร์ก(เดนส์)
ขอเริ่มเลยนะครับ ในช่วงปลายศตววรษที่ 10 ราวๆปี ค.ศ. 986-999 คิงสเวน ฟอร์คเบียร์ดแห่งเดนมาร์ก ผู้เป็นทั้งคิงของเดนมาร์กและนอร์เวย์มีอำนาจขึ้นมาเหนือบริเวณทะเลเหนือ
ทางอังกฤษมีคิงแอเธลเรดที่ 2 ครองราชย์อยู่ แล้วไวกิ้งก็บุกอังกฤษช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ไวกิ้งบุกอังกฤษ คิงแอเธลเรดได้จ่ายเงินสินบนให้พวกไวกิ้งถอนทัพกลับไป
แต่พวกไวกิ้งก็กลับมาบุกอีกครั้งแถมเรียกเงินสินบนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายปี ค.ศ.1013 คิงสเวนก็บุกอังกฤษและยึดได้ ตั้งราชวงศ์เดนมาร์กครองบัลลังค์อังกฤษ
Sweyn Forkbeard – First Viking King of England 960-1014
คิงแอเธลเรดและพระโอรส เจ้าชายเอ็ดมันด์ ได้ลี้ภัยหนีไปนอร์มังดีในฝรั่งเศส ทำให้ตอนนี้คิงสเวนได้เป็นคิงแห่งอังกฤษ เดนมาร์ก และนอร์เวย์
แต่ก็ครองราชย์ได้ปีเดียวก็สิ้นพระชนน์ในปี ค.ศ.1014 เจ้าชายคนุทขึ้นครองราชย์แทน และในปีเดียวกันนั้น คิงแอเธลเรดก็ยกกองกำลังมาทวงบัลลังค์คืนได้
ทำให้คิงคนุทต้องหนีไปพึ่งคิงฮาราลด์ที่ 2 แห่งเดนมาร์กผู้เป็นพี่ชาย สะสมกำลังและในปี 1015 ก็ได้บุกอังกฤษ คิงแอเธลตันและเจ้าชายเอ็ดมันต์ก็พยายามต้านไว้
จนในปี ค.ศ.1016 คิงแอเธลเรดได้สิ้นพระชนน์ เจ้าชายเอ็ดมันต์ขึ้นครองราชแทน ก่อนจะแพ้เสียบัลลังค์ให้คิงคนุทไป แล้วคิงเอ็ดมันต์ก็สิ้นพระชนน์ในปีนั้นเอง
คิงคนุตจึงได้ครองบัลลังค์อังกฤษ และอีก 2 ปี คือ ปี ค.ศ.1018 คิงฮาราลด์ที่ 2 แห่งเดนมาร์กผู้เป็นพี่ชายคิงคนุทได้สิ้นพระชนน์
ทำให้คิงคนุทครองบัลลังค์ของอังกฤษ เดนมาร์ก และนอร์เวย์ เหมือนคิงสเวนผู้พ่อ คิงคนุทได้รับการยกย่องเป็นมหาราชด้วย แต่เป็นมหาราชฝั่งเดนมาร์ก
King Canute the Great
ราชวงศ์เดนมาร์กก็ครองบัลลังค์อังกฤษ มีคิงทั้งหมด 4 พระองค์ แล้วอำนาจก็กลับมาสู่คนอังกฤษอีก ได้มาแบบแปลกๆด้วย
รายพระนามคิงจากราชวงศ์เดนมาร์กที่ครองบัลลังค์อังกฤษ
- คิงสเวน ฟอร์คเบียร์ด (Sweyn Forkbeard) 1013-1014
- คิงคนุทมหาราช (Canute the Great) ลูกชายคิงสเวน 1016-1035
- คิงฮาโรลด์ แฮร์ฟุต (Harold Harefoot) ลูกชายคิงคนุทกับนางเอลกิฟูแห่งนอร์แธมป์ตัน 1035-1040 (เป็นแค่คิงของอังกฤษไม่ได้เป็นคิงของเดนมาร์ก)
- คิงฮาร์ธาคนุท (Harthacanute) ลูกชายคิงคนุทกับเอ็มมาแห่งนอร์มังดี พระราชินีแห่งอังกฤษ 1040-1042 (เป็นคิงของเดนมาร์กตั้งแต่ปี 1035-1042)
ตอนที่คิงคนุทสิ้นพระชนน์ในปี 1035 เจ้าชายฮาร์ธาคนุทผู้เป็นรัชทายาทติดพันสงครามกับนอร์เวย์และสวีเดนอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ยุโรปจึงไม่สามารถมารับตำแหน่งคิงของอังกฤษได้
ทางขุนนางอังกฤษเลยให้ฮาโรลด์พี่ชายต่างมารดาของคิงฮาร์ธาคนุทเป็นผู้สำเร็จราชการไปก่อน และปี 1037 ฮาโรลด์ก็ได้ทำการยึดบัลลังค์อังกฤษ
แถมนรเทศเอ็มม่าแห่งนอร์มังดีซึ่งเป็นควีนองค์ก่อนและเป็นแม่ของคิงฮาร์ธาคนุทไปยังเมืองบรูกส์(เบลเยี่ยมในปัจจุบัน)
พอสงบศึกกับนอร์เวย์และเดนมาร์กในปี 1039 แล้ว คิงฮาร์ธาคนุทเตรียมจะบุกอังกฤษเพื่อปราบคิงฮาโรลด์พี่ชายต่างแม่ผู้เป็นลูกนอกสมรส แต่คิงฮาโรลด์มาตายซะก่อนในปี 1040
พอคิงฮาร์ธาคนุทมาถึงอังกฤษแล้วยังแค้นพี่ชายต่างแม่อยู่ จึงสั่งให้ทหารขุดร่างของคิงฮาโรลด์แล้วเอาไปทิ้งแบบศพไร้ญาติ (อืมคงแค้นจริงๆ)
คิงฮาร์ธาร์คนุท เป็นคนที่โหดร้ายและไม่เป็นที่นิยมของประชาชนเลย อีกทั้งยังเก็บภาษีอย่างหนัก ชาวเมืองวูสเตอร์ได้สังหารคนของคิงฮาร์ธาคนุทที่มาเก็บภาษีสองคนตาย
คิงฮาร์ธาคนุทก็ตอบโต้โดยการเผาเมืองนั้นเลย แถมยังชอบทะเลาะกับขุนนางเป็นประจำ จากการบันทึกเกี่ยวกับคิงองค์นี้มีเพียงสั้นๆว่าไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยระหว่างที่ครองราชย์
จากนี้ไปเริ่มเรื่องแปลกๆที่ว่ามาจากเบื้องต้นนะครับ
พอปี 1041 คิงฮาร์ธาร์คนุทได้ให้ขุนนางเชิญเอ็ดเวิร์ดผู้เป็นโอรสของคิงแอเธลเรดที่เสียบัลลังค์ให้คิงคนุทพ่อของคิงฮาร์ธาคนุท
และเอ็ดเวิร์ดกับคิงฮาร์ธาร์คนุทเป็นพี่น้องกัน!!! เป็นพี่น้องต่างบิดา งั้นต้องย้อนไปนิดนึง
คือคิงแอเธลเรดมีภรรยา(ควีน)คือเอ็มม่าแห่งนอร์มันดี พอคิงแอเธลเรดเสียบัลลังค์ให้คิงคนุทมหาราช คิงคนุทก็เอาเอ็มม่ามาเป็นภรรยา(ควีน)ต่อ
เรียกได้ว่าคิงคนุทมหาราชได้ทั้งบัลลังค์และได้ทั้งเมียของคิงแอเธลเรดเลยงานนี้ ว่ากันว่าเอ็มม่าทั้งสวยแถมยังมาจากตระกูลขุนนางแห่งนอร์มันดี
เอ็มม่าแห่งนอร์มันดีคงสวยประมาณนี้ ผมทองสไตล์ไวกิ้ง(ชาวนอร์มังดียุคนั้นเชื้อสายจากไวกิ้ง)
เอ็ดเวิร์ดก็คือลูกติดของเอ็มม่ากับคิงแอเธลเรด ก็เป็นพี่ชายต่างพ่อของคิงฮาร์คนุทนั่นละครับท่านผู้ชม
คราวก่อนพี่ชายต่างแม่ก็แย่งบัลลังค์แล้ว คราวนี้เชิญพี่ชายต่างพ่อมาอยู่ในราชสำนักแถมแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอีกต่างหาก แปลกดีมั้ยล่ะครับ
เรื่องคิงฮาร์ธาคนุทแต่งตั้งให้พี่ชายต่างพ่อเป็นรัชทายาท เพราะตัวเองยังไม่มีลูก แต่ตอนนั้นคิงฮาร์ธาคนุทอายุพึ่งจะ 23 ปีเอง (เอ็ดเวิร์ดอายุ 37 ปี)
แล้วในปีต่อมาคือ ปี 1042 คิงฮาร์ธาคนุทก็มาสวรรคต ตามบันทึกกล่าวว่าในงานแต่งงานหนึ่ง คิงฮาร์ธาคนุทได้ดื่มเหล้าเป็นจำนวนมาก
แล้วทำให้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก เป็นการตายที่ปัจจุบันทันด่วนมาก จนมีข้อสันนิษฐานว่าเอ็ดเวิร์ดอยู่เบื้องหลังการตายหรือเปล่า ตายจากเหล้าจริงๆหรือจากยาพิษ
แต่สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆก็คือเอ็ดเวิร์ดผู้เป็นรัชทายาทที่คิงฮาร์ธาคนุทแต่งตั้งเอง
และในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็เป็นคิงเอ็ดเวิร์ด(Edward the Confessor) ผู้ครองบัลลังค์อังกฤษ กับราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงค์เวสเซ็กซ์ เป็นการจบราชวงศ์เดนมาร์กเหนือบัลลังค์อังกฤษ
จริงๆแล้วเอ็ดเวิร์ดเคยพยายามจะครองบัลลังค์อังกฤษมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่คิงฮาร์โรลยึดบัลลังค์ในปี 1037 แต่ก็พ่ายแพ้จึงหนีไปนอร์มังดีที่เป็นบ้านแม่ จนคิงฮาร์ธาคนุทเรียกตัวถึงได้กลับอังกฤษ
คิงเอ็ดเวิร์ดขึ้นครองบัลลังค์ด้วยความนิยมของบรรดาขุนนางและประชาชนอย่างมากเพราะความไม่นิยมในตัวคิงฮาร์ธาคนุทและทั้งคิงเอ็ดเวิร์ดเป็นคนอังกฤษ
เอ็ดเวิร์ดก็ครองราชย์ตลอดรัชสมัยทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอทำให้พระราชอำนาจของกษัตริย์เสื่อมลงและบรรดาขุนนางต่างๆกลับมีอำนาจมากขึ้น
การอ่อนแอของอำนาจตน และด้วยที่ไม่มีโอรสหรือธิดาเลย คิงเอ็ดเวิร์ดก็เอาใจหลายๆฝ่ายทั้งขุนนางภายใน ขุนนางนอกประเทศว่าจะยกราชสมบัติให้
เพื่อเป็นการเอาใจและช่วยเหลือตนในเรื่องต่างๆ แล้วในปี 1066 ในวัย 62 คิงเอ็ดเวิร์ดก็สวรรคต โดยที่ไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาทหรือยกบัลลังค์ให้ใครเลย
คราวนี้ก็เกิดปัญญาใหญ่ซิครับ เป็นเทิร์นนิ่งพ๊อยซ์สำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษครั้งนึงเลย เพราะมีคนอ้างสิทธิ์ในบัลลังค์อังกฤษถึง 3 คน
คนที่ 1 แฮโรลด์ กอดวินสัน เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ (Harold Godwinson Earl of Wessex) อายุ 44 ปี
- คนนี้เป็นขุนนางอังกฤษที่มีอำนาจมากที่สุด บ้างก็ว่ามีอำนาจมากกว่ากษัตริย์เสียอีก มีผลงานปราบพวกเวลส์ให้อยู่อำนาจของอังกฤษในปี 1063
ในปี 1065 เป็นผู้เจรจาต่อรองกับกบฏในนอร์ธแธมเบรียจนสงบ และแฮโรลด์ได้อ้างว่าก่อนคิงเอ็ดเวิร์ดได้ยกบัลลังค์ให้ และบรรดาขุนนางก็สนับสนุนแฮโรลด์เต็มที่
คนที่ 2 คิงฮาโรลด์ที่ 3 แห่งนอร์เวย์ (Harald Hardraada) อายุ 58 ปี
- คนนี้เป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ อ้างว่าเป็นข้อตกลงระหว่างคิงฮาร์ธาคนุทแห่งอังกฤษและเดนมาร์กกับคิงแม็กนุสแห่งนอร์เวย์ผู้เป็นบิดาตน
ว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนโดยไม่มีทายาท อีกผู้หนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้สืบเชื้อสายจากผู้นั้นก็จะได้รับราชบัลลังก์ของทั้งสองอาณาจักร
คิงฮาโรลด์ที่ 3 แห่งนอร์เวย์ จึงคิดว่าตนมีสิทธิ์ในบัลลังค์อังกฤษ
คนที่ 3 วิลเลี่ยม ดยุคแห่งนอร์มันดี (William Duke of Normandy) อายุ 38 ปี
- คนนี้เป็นดยุคแห่งนอร์มันดี ถือว่าเป็นขุนนางฝรั่งเศส มีฉายาว่า William the Bastard(ลูกนอกสมรส) อ้างสิทธิ์ว่า ตอนคิงเอ็ดเวิร์ดลี้ภัยอยู่กับตนในปี 1037-1041 ที่นอร์มังดี
ได้รับปากตนว่าหากได้เป็นกษัตริย์อังกฤษแล้วจะแต่งตั้งตนเป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ อีกทั้งคิงเอ็ดเวิร์ดและวิลเลี่ยมเป็นญาติกันผ่านทางเอ็มม่าผู้เป็นมารดาของคิงเอ็ดเวิร์ด
โดยที่เอ็มม่าเป็นน้องสาวแท้ๆของปู่ของวิลเลี่ยม คิงเอ็ดเวิร์ดก็มีศักดิ์เป็นอาของวิลเลี่ยม ด้วยคำสัญญาของคิงเอ็ดเวิร์ดและที่เป็นญาติกัน
วิลเลี่ยมจึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ในบัลลังค์อังกฤษโดยชอบธรรมเช่นกัน
บทความนี้ก็ขอจบตรงนี้ตรงปี ค.ศ.1066 หลายๆคนคงรู้อยู่แล้วว่าใครได้ครองบัลลังค์อังกฤษหลังจากนี้
คราวหน้าหากมีโอกาศจะมาเล่าต่อว่าใครได้ครองบัลลังค์เหล็กเอ๊ยบัลลังค์อังกฤษ แล้วได้มายังไง
แล้วผลที่ได้ในครั้งนี้ก็เป็นบ่อเกิดของสงครามร้อยปี อังกฤษ-ฝรั่งเศส ในอนาคต / ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนะครับ