[รีวิวคุเม#8] Hacksaw Ridge
...เพราะเขาเกลียดสงคราม เขาจึงเข้าร่วมกับมัน...
หลังจากสร้างชื่อเสียงในฐานะนักแสดงมานาน วันนี้
Mel Gibson ถึงเวลาสร้างชื่อในฐานะผู้กำกับหนังคุณภาพอีกสักทีนึง เมื่อเขาได้ชักชวนนักแสดงหนุ่มสุดหล่ออย่าง
Andrew Garfield มาเข้าร่วมกับภาพยนตร์สงครามโลกสุดแสนระอุ
Hacksaw Ridge
ภาพยนตร์สร้างจากเรื่องจริงของ
Desmond Doss พลทหารหนุ่ม ผู้ที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 กับกองทัพสหรัฐ ด้วยเหตุผลแสนเรียบง่าย "เขาอยากช่วยประเทศของเขาด้วยการรักษาชีวิตของผู้คน มิใช่การพรากมันจากผู้อื่น"
เพื่อการนั้น เดสมันด์ จึงเลือก "ไม่จับอาวุธ" แม้เพียงนาทีในสงครามโลกครั้งที่สอง และลงไปมีส่วนร่วมในสมรภูมิรบในฐานะแพทย์สนาม
ในเหตุการณ์ประวัติศาตร์นั้น ดอสส์ สามารถช่วยเหลือทหารผู้บาดเจ็บได้มากถึง 75 ราย และได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติในฐานะวีรบุรุษสงครามโลก
และเมื่อมันถูกดัดแปลงมาสู่ภาพยนตร์จอเงิน เราก็ได้รับชมวีรกรรมสุดแสนกล้าหาญในสมรภูมิเดือดอย่างสุดมัน
หนังเรื่องนี้แบ่งออกเป็นสามองค์ใหญ่ ๆ ในช่วงแรกจะเป็นการพาไปแนะนำให้รู้จัก เดสมันด์ ดอสส์ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) ว่าโตมาแบบไหน เป็นคนเช่นไร และแรงจูงใจที่เขาอยากเข้าร่วมสงครามนั้นคืออะไร รวมถึงชีวิตรัก และคนที่เป็นคู่แท้ของเขานั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน
ช่วงต่อมา ตัวหนังพาเราไปพบกับความยากลำบากในการยืนหยัดจะเข้าร่วมสงครามโดยไม่จับอาวุธ ทำให้เขาต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย ทั้งถูกดูถูกเหยียดหยามจากเพื่อนร่วมกองทัพ และการต้องทำงานภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่เขาขัดคำสั่งด้วยศรัทธาของเขา
และช่วงท้าย เมื่อกองทัพที่จบหลักสูตร เดินทางมาถึงผาแฮกซอว์ จากนาทีนี้ไปจะเป็นสงคราม สงคราม และสงคราม เราจะได้ทราบว่าเดสมันด์จะทำเช่นไร เมื่อเขาอยากเพียงช่วยเหลือผู้คน ในขณะที่ข้าศึกของเขาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หมายจะเอาชีวิตทุกคนที่พบเจอ
ส่วนที่ผมชอบมากที่สุด (แต่หลายคนหลับ) คือสององค์แรกของเรื่อง ที่เล่าที่มาที่ไป ว่าเหตุผลที่ดอสส์เข้าร่วมสงครามคืออะไร แรงจูงใจที่น่าหงุดหงิดสำหรับเบื้องบนของกองทัพคืออะไร และอุปสรรคที่เขาต้องก้าวผ่านทั้งจากเพื่อนร่วมรุ่นที่คอยกลั่นแกล้ง และดูแคลน รวมถึงข้อหาร้ายแรงขั้นสุดจากกองทัพว่าด้วยการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่เขาต้องรับมือจะเป็นเช่นไร เรียกว่า Set up มาดีมาก หนักหน่วงเข้มข้น ทำให้เราเอาใจช่วยตั้งแต่เขาตั้งแต่ยังไม่ไปไหน
ต่อมา แม้ Genre ของหนังจะเป็น Drama หนัก ๆ แต่ในส่วนของ Action นั้นคือจุดเด่นอีกอย่างของหนังเรื่องนี้ครับ ทันทีที่พวก Jap (ศัพท์ที่ฝ่ายกองทัพเรียก) ร้องให้สัญญาณยิงนัดแรก ทันใดนั้นห่ากระสุน และห่าระเบิดก็เสิร์ฟให้เราแบบไม่หยุดหย่อน แปบ ๆ ยิง แปบ ๆ ระเบิด สักพักยิง สักพักเขวี้ยงระเบิด เป็นซีนแอคชั่นที่โคตรมันอันดับต้น ๆ ของหนังสงครามยุคหลัง
และต้องชื่นชมผู้กำกับเมล กิบสันเลยว่า ทำออกมาได้บรรยากาศสงครามจริง ๆ เรารู้สึกถึงความสิ้นหวัง หวาดกลัว และมันต้อกย้ำเราว่าทุกคนที่เข้าร่วมกับมันจะพบกับความสูญเสียไม่ว่าทางใดทางนึงเสมอ
สำหรับคนที่กลัวดูไม่รู้เรื่อง บอกเลยว่าเรื่องนี้ตัดต่อ และลำดับซีนแอคชั่นดีมาก ลื่นไหลไปเรื่อย ๆ กล้องที่ไม่ส่ายไปมาชวนปวดหัวก็เป็นสิ่งดีงามอีกอย่างนึง เมื่อผนวกกับระบบเสียงจากโรงภาพยนตร์ คุณจะรู้ตัวอีกทีว่าจิกเท้า นั่งเกร็ง หยุดหายใจไปเป็นที่เรียบร้อย
ผมยกให้เป็น
Mad Max : Fury Road เวอร์ชั่น WWII กันเลย (คนดูได้พักหายใจหายคอแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น)
สุดท้ายที่ต้องชมคือพระเอกของผม แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของดอสส์ได้อย่างไม่มีที่ติ เราไม่เห็นแอนดรูวในเรื่องเลยครับ เราจะเห็นเพียงชายอ่อนแอ ผู้มีหัวใจที่แข็งแกร่งเท่านั้น และอย่าแปลกใจเมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ Oscar ในปีนี้
ด้านสิ่งที่ผมไม่ชอบ และเป็นปัญหาหนักมากในช่วงท้าย หนัง "พยายาม" มากไปนิดกับ Heroic Scene ซึ่งผมว่ามันเกือบ ๆ จะการ์ตูนอยู่แล้ว เราเข้าใจได้ดีว่าตัวจริงของเขาเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่อย่าลืมว่าแท้จริงแล้วทุกคนในสงครามคือฮีโร่ของอเมริกาเช่นกัน หากลดทอนอารมณ์ตรงส่วนนี้ลงสักหน่อย ตัวหนังน่าจะมีมิติมากขึ้นครับ
และต่อมาตัวละครดอสส์นั้นแบนราบมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ เราไม่ได้เห็นการพัฒาของตัวละครเลย เขาเป็นคนดี และเสียสละทุกอย่างเพื่อคนอื่นจริง แต่มันจะดีกว่าหากได้เห็นมุมอื่น ๆ บ้าง เช่นอารมณ์ลังเล กลัวตาย หรือความยับยั้งชั่งใจในการเสียสละตัวเองของเขา กลับกันเพื่อนพระเอก (มีเด่น ๆ อยู่คนนึง) เป็นตัวละครที่ดูเป็นคนมากกว่าเยอะมาก เราได้เห็นการเติบโตของเขา เมื่อเทียบกับช่วงแรกนั้น เหมือนจะเป็นคนละคนกันเลย
ภาพรวมของเรื่องต้องบอกว่าสนุกครบรส ดราม่าข้นคลั่ก ส่วนแอคชั่นก็บิ้วหนักมาก ไม่เคยนั่งดูหนังเรื่องไหนแล้วเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน การแสดงของการ์ฟิลด์สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวละครสมทบก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี และมีการแทรกมุกเพื่อเบรคอารมณ์ได้ลงตัว เรียกว่ามาตรฐานสูงมากสำหรับหนังเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นคนชอบหนังดราม่าสงคราม ระเบิดภูเขาเผากระท่อมไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และในฐานะที่หนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar ในหลาย ๆ สาขา น่าจะการันตีคุณภาพของมันได้เป็นอย่างดี ไม่เสียดายเงินแน่นอนครับ
และเหมือนเดิม ไม่ว่าคุณจะกะเกณฑ์คะแนนในใจไว้เท่าไหร่ จำไว้ว่าต้อง + อีก 1 คะแนนให้กับความสวยสง่า เหมาะกับยุคเรโทรของ Teresa Palmer ด้วยครับ
ท้ายสุด ฝากเพจสำหรับพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นสังคม ความรู้ และความบันเทิงทั่วไป
อยากได้กำลังใจ และคำติชมจากทุกคนนะครับ
เพจ : โตแล้วคุยอะไรก็ได้
https://www.facebook.com/TalksWithKaowPong/
