A GAME OF TWO HALVES?
FIRST HALF
เปิดเกมส์มาน้ามูเลือกที่จะไม่ส่ง แรชฟอร์ดลงสนามตั้งแต่ต้นเกมส์ แต่เป็นเอ็มเคกับลินการ์ดที่ได้ลงมาก่อน
ซึ่งทั้งสองคนลงมาในตำแหน่งปีก แทนมาต้าและมาเที่ยวตามลำดับในระบบ 4-2-3-1
ส่วนทางเป๊ปเลือกที่จะปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยการถ่างวิงแบ็คทั้งสองข้างออกไปทางด้านกว้าง
ซึ่งในนัดนี้ แม้วิงแบ็คของเป๊ปจะดันขึ้นสูง แต่ไม่ได้เข้ามาช่วยมิดฟิลด์มาก อย่างที่เป็นมาในหลายๆเกมส์
- จากรูปฝั่งซ้ายคือฟอเชั่นเบื้องต้น แต่เมื่อเริ่มเกมส์ดูเหมือนว่า ทีมของมูจะเสียพื้นที่ตรงกลางไปอย่างมาก
หลังจากเกมส์เริ่มต้น ดูเหมือน10นาทีแรกจะเป็น 10นาทีที่อึดอัดกันอย่างมาก
แต่ก็เป็นซิตี้ที่สามารถควบคุมเกมส์ส่วนใหญ่ไว้ได้อย่างอยู่หมัดในครึ่งแรก
แต่ประเด็นแรกเลยสำหรับแมนยู คือแมนยูจะเพรสแบบไหน ประเด็นนี่แมนยูเลือกที่จะเพรสในแนวลึก
นั่นคือยามที่ซิตี้ถ่ายบอลลงไปในแนวรับ แมนยูจะไล่บีบแนวลึกตั้งแต่เฟอนันดินโย่ตลอดจนบราโว่
ส่วนแมนยูมักจะบีบและวิ่งไล่โดย สลาตัน รูนีย์ เอ็มเค ลินการ์ด ขึ้นอยู่กับตามตำแหน่งที่อยู่ใกล้บอล
และนั่นแหละปัญหา เหมือนว่าผู้เล่นแนวรุกจะอยู่สูงเกินไป(เพื่อที่จะไล่บอล) ทำให้มีพื้นที่เยอะขึ้น
ซิตี้เลยถ่ายบอลไปมาซ้ายขวากลางสนาม ได้อย่างสบายใจมากขึ้น โดยใช้บราโว่เป็น เอ้าท์ฟิลด์ เพลเยอร์
คอยเปลี่ยนแกน ถ่ายบอลไปมาในช่วงแรก หรือคือแมนยูพยายามคุมโซนบล็อคต่ำ เพื่อปิดพื้นที่หน้าเขตโทษ
ให้ได้มากที่สุด
แล้วปัญหาที่ตามมาคือ การยืมคุมโซนกันต่ำมันดันไม่เวิร์คซะงั้น มันถูกทำลายด้วยระบบ ติกิ ตากะ
จากการที่นักเตะซิตี้ถ่ายบอลไปมาอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนที่ของนักเตะ และการออกบอลให้เพื่อนเล่นง่าย
ระบบของเป๊ปจะใช้เดอบรอยและซิลบาอยู่ระหว่างไลน์ แถมยังเล่นกันได้อย่างโดดเด่นด้วย โดยเฉพาะเดอรอย
เขาเล่นได้อย่างโดดเด่นมาก การเล่นของสองตัวทำเกมส์ ถูกสนับสนุนจากฟูลแบ็คที่ดันสูง
รวมไปถึงการโอเวอแล็ป เพื่อดึงผู้เล่นให้มีช่องมากขึ้น
อีกหนึ่งปัญหาหลักในครึ่งแรกเลย ตำแหน่งของป็อกบาก็ดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่นัก
เพราะช่องว่างที่ห่างเกินไปของป็อกบากลับแนวรุก และเมื่อแมนยูบีบสูง พื้นที่กลางสนามก็มีมากขึ้น
นักเตะซิตี้คนอื่นก็สามารถวิ่งหาช่องกันได้สบาย นั่นทำให้แนวรับแมนยูรับมือยากเข้าไปอีก
แถมเกมส์สวนกลับก็ทำได้ยาก จากการที่มีพื้นที่มากเกินไป การโดนบีบก็ง่ายขึ้น ทำให้ป็อกทำเกมส์แทบไม่ได้
แต่ในแง่ของเกมส์รับ เฟลไลนี่ยังคงสามารถทำผลงานได้ดี จากการชะลอเกมส์บุกรวมไปถึงการตัดเกมส์
โดยรวมจากทั้งหมดนี่ทำให้แมนยูดูทำอะไรซิตี้ไม่ค่อยได้เลย
ส่วนใหญ่ก็เป็นซิตี้ที่ครองเกมส์เหนือกว่าแทบทุกอย่างโดยที่แมนยุเหมือนจะตั้งเกมส์ไม่ได้เลย
คู่เซ็นเตอร์ของแมนยูที่ทำผลงานมาได้ดี ในเกมส์นี้ก็ดูเหมือนจะเล่นไม่ค่อยออก
ป็อกบาก็ดูเหมือนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ว่าควรจะอยู่ในตำแหน่ง หรือขึ้นไปเติมเกมส์ดี
และจากนั้นความผิดพลาดก็มา เมื่อคู่เซ็นเตอร์ของแมนยูโดยเล่นงานจางบอลยาว
อิเฮียนาโช่ที่เบียดแย่งโหม่งไบญี่ และบลินด์ที่เหม่อจนโดนเดอบรอยฉกบอลไป
จนกลายเป็นที่มาของประตูแรกของซิตี้
และอีกเหตุผลนึง ก่อนเสียประตูนั้นซิลบาก็ขยับไปทั่วสนาม ลงมาต่ำเพื่อเชื่อมเกมส์
นั่นเลยมีคำถามว่าเฟลไลนี่ควรไล่ตามประกบซิลบาหรือมั้ย ถ้าไล่ตามก็อาจเสียพื้นที่หน้ากองหลังไปอีก
ทำให้โดนโจมตีเข้ามาได้ง่ายขึ้นอีก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำให้โดนบอลยาวโจมตีเข้ามาและเสียประตูแรกไป
ส่วนในพื้นที่ด้านหลังเฟอนันดินโย่จะคอยถ่ายบอลเหมือนทุกเกมส์ และมีรูนีย์คอยเข้ามาไล่
เนื่องจากพื้นที่ตรงกลางที่มีเยอะ เฟอนันดินโย่ก็เล่นง่ายเลยแม้รูนีย์จะไล่หรือไม่ไล่ก็ตาม
ถ้าเข้ามาบีบ แมนยูจะเสียพื้นที่กลางสนามเพิ่มไปอีก แต่ถ้าไม่บีบเฟอนันดินโย่สามารถเลือกวางบอลได้เลย
มันเป็นเรื่องที่ปกติและง่ายๆที่ซิตี้ทำได้ดีกว่ายูไนเต็ดตามแบบฉบับเป๊ป
และอีกปัญหาใหญ่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฟอร์มที่กากของ ลินการ์ดและเอ็มเค สองคนนี้ดูไม่ฟิตเอาอย่างมาก
พกวเขาแทบช่วยอะไรในเกมส์รุกไม่ได้เลย ไหนจะการจับบอลที่ห่วยของลินการืดอีก
นั่นทำให้กองกลางของแมนซิพร้อมจะเข้ามาฉกบอลได้ตลอดเวลา และจากนั้นก็เสียบอล
แมนยูก็พยายามวิ่งไล่เพื่อคว้าบอลกลับมาทำเกมส์บุก รวมถึงพยายามเซ็ตเกมส์รับในแบบที่เคยทำมา
แต่ก็ถูกซิตี้ปั่นป่วนไปมาก เพราะซิลบากับเดอบรอย พยายามสร้างพื้นที่รวมถึงสร้างเกมส์
โดยมีแบ็คสองข้างรวมไปถึง สเตอริ่งและโนลิโต้คอยช่วยฉีกกระชากแนวรับ
นั่นจึงทำให้เอ็มเคและลินการ์ดถูกถ่างออกข้างเพื่อเล่นเกมส์รับมากขึ้นไปอีก
และประตูที่สองของซิตี้ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆและเป็นผลที่ตามมาจากนั้น
การที่สเตอริ่งพยายามเลี้ยงบอลฝ่าเข้าไปในเขตโทษ รวมถึงเดอบรอยที่พยายามสร้างจังหวะยิงให้ตัวเอง
และนั่นก็เกิดประตูที่สองขึ้นมา ซึ่งไม่ห่างจากประตูแรกมากนัก
จากนั้นแมนยูก็พยายามกลับเข้ามาในเกมส์ จนกระทั่งความพยายามสำเร็จ
ด้วยการพยายามครอสบอลเข้าไปในเขตโทษ จนได้โอกาสจากความผิดพลาดของ บราโว่ถึงสองครั้ง
และ1ในนั้นก็เกิดเป็นประตูจากอิบราฮิโมวิช แต่น่าเสียดายที่มีส้มหล่นลูกที่สองแต่แกยิงเบาเกินไป
แล้วก็จบครึ่งแรกโดยตามอยู่ 2-1
SECOND HALF
เริ่มครึ่งหลังมาน้ามูก็จัดเลย เปลี่ยนตัวสองคนเอร์เรร่ากับแรชฟอร์ดลงมาแทนปีกสองคนที่ฟอร์มกากทันที
เอร์เรร่าลงมาในตำแหน่งมิดฟิลด์สามตัวกับป็อกบาและเฟลไลนี่ โดยที่แรชฟอร์ดถ่างออกซ้ายและขวาเป็นเสี่ย
ฟอเมชั่นเป็น 4-3-3 โดยทันที และรูปเกมส์ก็เปลี่ยนไปทันตาเห็น แม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดเห็นผลเลย
แต่ก็เห็นความแตกต่างได้ ในการเพรสซิ่งที่ดีขึ้น ทำให้ซิตี้ไม่ได้ครองเกมส์นานแบบในครึ่งแรกอีก
การแก้เกมส์ของน้ามู ดันป็อกบาพร้อมทั้งเฟลไลนี่ขึ้นสูง โดยเล่นหลังอิบราซะเป็นส่วนใหญ่
แถมใช้อิบราและเฟลไลนี่เป็นสองเป้าหมายหลักในการเปิดบอลเข้าไปหา โดยใช้บอลยาวเข้าสู้
นั่นดูเหมือนจะได้ผล เพราะกดดันซิตี้ได้ดีในช่วงเริ่มต้นครึ่งหลัง
เอร์เรร่าทำหน้าที่ได้อย่างที่ในการช่วยงานในกองกลาง แถมทำให้เดอบรอยมีผลกระทบกับเกมส์น้อยลงด้วย
เขาจะช่วยทั้งในเกมส์รับและเกมส์รุก เมื่อยูไนเต็ดได้ครองบอล เขาจะหาช่องว่างเพื่อรับบอล
จากนั้นจะจ่ายบอลขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อเกมส์บุกที่ต่อเนื่อง
- ตำแหน่งการยืนของเฟลไลนี่ในครึ่งแรกและครึ่งหลัง ครึ่งหลังจะเห็นว่ายืนสูงขึ้นมาก
การดันป็อกบาและเฟลไลนี่ขึ้นสูงไปใกล้อิบรา ดูเหมือนจะให้แนวรับซิตี้ปั่นป่วนได้ไม่น้อยเลย
การบุกของยูไนเต็ด ไม่ออกข้างให้รูนีย์ครอสหรือวาเลนเซีย ก็จะถ่ายบอลไปให้แรชฟอร์ด
เลี้ยงจี้เข้าหากองหลังเพื่อหาทางทำประตู ซึ่งการครอสหลายๆครั้งเป็นงานที่ท้าทายสำหรับบราโว่อย่างมาก
- จากภาพจะเห็นได้ว่าพอเปลี่ยนรูปแบบเน้นโจมตีริมเส้น ป็อกบาจะมีบทบาทน้อยลง
จนกระทั่งนาทีที่52 เป๊ปเห็นรูปเกมส์ไม่ดีจึงตัดสินใจส่งเฟอนันโดลงมา ลงมาช่วยเกมส์รับในพื้นที่ที่ถูกโจมตี
ฟอเมชั่นเปลี่ยนไปเป็น 5-4-1 เน้นเกมส์รับมากขึ้นและเดอบรอยก็ดูเหมือนจะขยับมาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า
แถมการเปลี่ยนแทคติคของเป๊ปดูจะดีขึ้นด้วยซ้ำ ในการช่วยกันป้องกันบอลในพื้นที่สุดท้าย
นอกจากนี้การส่งตัวรับลงมา5คน ทำให้แบ่งเบาภาระลูกครอสของบราโว่มากขึ้นอีกด้วย
และยิ่งขันเกมส์รับเพิ่มขึ้นโดยการให้วิงแบ็คลงมาปิดพื้นที่ด้านข้างให้แน่นขึ้นไปอีก
- การเคลื่อนไหวของเอร์เรร่า ที่ดูเหมือนจะวิ่งไปหลายพื้นที่ แถมยังทำได้ดีอีกด้วย
นาทีท่60 เป๊ปตัดสินใจเปลี่ยนเกมส์บุกอีกครั้ง โดยถอดเอาสเตอริ่งที่เล่นไม่ค่อยออก
แล้วเอาปีกตัวใหม่อย่างซาเน่ลงมาเล่นแทนดูบ้าง
แต่แมนซิตี้ยังคงดูเป็นอันตรายจากเกมส์ของยูไนเต็ดอยู่บ้างในบางจังหวะ
โดยที่ยังคงป้องกันเอาไว้ได้อย่างดี และยังไม่เสียประตูตีเสมอ
จนกระทั่งแมนยูเปลี่ยนตัวสุดท้ายคือมาเที่ยวลงมาแทนชอว์ เพื่อเน้นเกมส์บุกให้มากขึ้น
เหมือนฟอเมชั่นจะเป็น 3-4-4 แต่ก็น่าเสียดายที่ช่วงท้ายเกมส์ ระเบียบยในเกมส์รับของแมนซิยังแน่นหนา
และเกมส์ก็ดุว่าจะจบลงที่สกอร์ 2-1 ตั้งแต่ก่อนจะหมดเวลาแล้วด้วยซ้ำ และการแก้เกมส์ของเป๊ปเอง
ก็เพิ่มวินัยเกมส์รับ จนสามารถรักษาสกอร์ได้จนจบเกมส์
- ฟอเมชั่นหลังจากมาเท่ียวลงมา
เกมส์นี้ในส่วนของบราโว่ที่ประเดิมสนาม มีสถิติส่งบอลถึง 93%จากการเล่นเป็น เอ้าท์ฟิลด์ เพลเยอร์อีกด้วย
การส่งบอลเสียส่วนใหญ่คือการวางบอลยาวซะมากกว่า นี่อาจบอกได้ว่าทำไมเป๊ปอยากได้โกลด์แบบนี้
มากกว่าโจ ฮาร์ท เพราะถ้าไม่นับลูกกลางอากาศ กับจังหวะที่เล่นยาก1-2ที บราโว่ก็ถ่ายบอลได้ดีเช่นกัน
แต่ก็ยังมีเสียงตามมาอีกมากมายว่าจังหวะที่บวกกับรูนีย์ ควรเป็นใบแดงมั้ย? หรือจุดโทษก็ตามที
- การเซ็ตบอลตั้งเกมส์จากยราโว่ ส่งพลาดแค่สองครั้งเท่านั้น
- ควรเป็นใบแดงและจุดโทษมั้ย?
CONCLUSION
แม้จะเป็นผลลัพธ์ที่น่าปวดใจ พร้อมกับฟอร์มที่น่าผิดหวังในครึ่งแรก
แต่อย่างน้อยเรื่องดีๆคือเราได้เห็นการแก้เกมส์ที่ดีขึ้นในครึ่งหลังของแมนยู
แต่ทำไมครึ่งแรก ต้องให้เฟลไลนี่และป็อกบายืนต่ำขนาดนั้น ซึ่งซิตี้ดูมีแบบแผนกว่ายูไนเต็ดเยอะมาก
ในการจัดแทคติคและรูปแบบฟอเมชั่นในครึ่งแรก
แต่อย่างน้อยครึ่งหลังแมนยูก็จัดชุดใหญ่และทำได้ดีมากขึ้น ในการแก้แผนและฟอเมชั่น
รวมไปถึงการเล่นที่ดุดันที่ไม่ได้เห็นมานานสามปีหลังจากป๋าวางมือ
แต่ก็เป็นแมนซิตี้เองที่ทำได้ดีกว่า ซิตี้ใช้สิ่งที่เค้ามี รวมถึงการปรับตังกับรูปแบบของเกมส์ได้อย่างดี
ในการบุกเข้าโจมตี การทำลายแนวรับ หรือแม้แต่วินับในเกมส์รับ การป้องกันที่ดีเองก็ตาม
จบเกมส์น้ามูได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีนักเตะที่ทำให้ผิดหวังสองสามคน ซึ่งแกก็คงผิดหวังจริงๆ
แต่คำถามคือ น้ามูแกวางแทคติครวมถึงจัดตัวผิดมาตั้งแต่ต้นรึเปล่า ผลถึงได้เป็นแบบนี้??
ปล.แปลมาจากเว็บนอกนครับ ผิดถูกขออภัยครับ